ราชันเร้นลับ 1372 : อีกหนึ่งวิธีใช้งานตะเกียงวิเศษประทานพร

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

คล้ายกับราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดตสัมผัสถึงการมาเยือนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เธอวางม้วนคัมภีร์โบราณในมือลง หันเหความสนใจไปยังแขกพิเศษหน้าประตู

ไคลน์ทำความเคารพพอเป็นพิธี กล่าวเข้าประเด็น

“ขอยืมตะเกียงวิเศษประทานพรหนึ่งวัน”

แบร์นาแดตพยักหน้ารับ ยกมือขึ้นและหยิบตะเกียงวิเศษด้านข้างขึ้นมา

ทาสรับใช้ล่องหนของหญิงสาว ถือตะเกียงรูปทรงประหลาดดังกล่าวมาส่งให้ไคลน์

ไคลน์เหยียดแขนไปรับ กล่าวเสียงต่ำ

“ขอบคุณ”

แบร์นาแดตมิได้กล่าวสิ่งใด ไม่ได้กลัวเลยสักนิดว่า ตัวเองจะตายอย่างเป็นปริศนาเนื่องจากข้อพรเกินขีดจำกัด

หญิงสาวเชื่อว่า มิสเตอร์ฟูลสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เพราะตัวตนลึกลับรายนี้เคยแสดงพลังในทำนองเดียวกันมาก่อน

วินาทีถัดมา ไคลน์ซึ่งอยู่ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เลือนหายไปร่าง ‘รุ่งอรุณ’ และกลับมายังปราสาทต้นกำเนิด

มันวางตะเกียงวิเศษประทานพรลงบนโต๊ะ และพบว่าไส้ตะเกียงถูกจุดขึ้นเอง ก่อตัวเป็นร่างสีทองซีดอันบิดเบี้ยวและพร่ามัว

“เจ้ายังมิได้ทำตามสัญญา ข้าจะไม่มอบพรใดให้เจ้าอีก” เทพแห่งตะเกียงกล่าวด้วยน้ำเสียงองอาจสง่างาม “อย่าได้ลืมว่าเจ้าของตะเกียงคนปัจจุบันคือบุตรสาวของโรซายล์ ในคราวก่อน ความปรารถนาแรกของเจ้าคือการถ่ายโอนจำนวนครั้งการขอพรของเธอมาเป็นของเจ้า เปลี่ยนให้เจ้ากลายเป็นผู้แบกรับผลข้างเคียงของพรข้อที่สามแทน… แต่ในตอนนี้ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าทำซ้ำในเรื่องเดิม”

ในตอนที่ไคลน์ใช้ตะเกียงพิเศษประทานพรหลบหนีจากสถานการณ์ยากลำบาก ความเป็นเจ้าของของสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ชิ้นนี้มิได้ถูกโอนถ่ายมาด้วย ราชินีเงื่อนงำแบร์นาแดต ยังคงเป็นเจ้าของอยู่เหมือนเดิม

ดังนั้น จำนวนครั้งการขอพรของทั้งไคลน์และแบร์นาแดตจึงถูกไปนับพร้อมกัน

ย้อนกลับไปในช่วงเวลาดังกล่าว ความปรารถนาแรกของไคลน์คือการโอนถ่ายจำนวนการขอพรสองครั้งของแบร์นาแดตมายังตน ส่งผลให้จำนวนการขอพรของแบร์นาแดตกลายเป็นศูนย์ และจำนวนการขอพรของไคลน์คือสอง

แต่ในเวลาเดียวกัน ความปรารถนาดังกล่าวย่อมต้องถูกนับจำนวนครั้งด้วย ส่งผลให้จำนวนการขอพรของแบร์นาแดตกลายเป็นหนึ่ง และจำนวนการขอพรของไคลน์กลายเป็นสาม

ถัดมา ไคลน์ทำการขอพรข้อที่สอง ซึ่งนั่นทำให้จำนวนครั้งของแบร์นาแดตและไคลน์เพิ่มขึ้นพร้อมกัน

ลงเอยด้วย จำนวนการขอพรของแบร์นาแดตกลับไปเป็นสองครั้งเท่าเดิม ยังไม่เกิดจุดวิกฤติ ส่วนไคลน์กลายเป็นสี่ครั้ง และผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาด เมื่อทำการละเมิดกฎของตัวตนระดับเทพภายนอก ชายหนุ่มต้องเสียชีวิตอย่างกะทันหันภายในวิหารโครงกระดูกของอาดัม ประสบความสำเร็จในการหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบาก

ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว หากไคลน์ขอพรเพิ่มอีกข้อ จำนวนการขอพรของแบร์นาแดตจะกลายเป็นสาม และนั่นจะทำให้เธอต้องเผชิญเหตุการณ์สุดสยดสยองอย่างมิอาจเลี่ยง

แน่นอนว่า ชายหนุ่มสามารถเลียนแบบความปรารถนาเดิมได้ โดยการโอนถ่ายจำนวนครั้งของแบร์นาแดตมายังตนและยอมเสียสละโควตาการ ‘คืนชีพ’ อีกสักครั้ง ทว่า เทพแห่งตะเกียงได้ออกตัวชัดเจนแล้วว่า หากไคลน์ขอพรเพิ่ม มันจะทำการบิดเบือนความปรารถนา จนออกมาในรูปแบบที่ไคลน์ไม่อยากเห็น

เฮ้อ… คราวก่อนเรารีบเกินไป แถมโรซายล์ยังได้รับผลกระทบจากดวงจันทร์บรรพกาล ส่งผลให้มีช่องโหว่ในการขอพร… ตอนนั้นเราควรแนบรายละเอียดไปด้วยในพรข้อแรก ว่าให้จำนวนครั้งการขอพร ถูกนับเฉพาะฝ่ายเรา หรือไม่ก็แทรกความปรารถนาระหว่างพรข้อแรกและข้อที่สอง โอนถ่ายสิทธิ์ความเป็นเจ้าของจากแบร์นาแดตมายังเรา และหลังจากที่เราตายไป ความเป็นเจ้าของก็จะสิ้นสุดลง และตะเกียงวิเศษประทานพรก็จะกลับคืนสู่เจ้าของเดิม… ไคลน์ถอนหายใจกับตัวเอง พลางยิ้มให้เทพแห่งตะเกียง:

“คงรู้จักการ ‘แผลง’ และ ‘ผนวกใหม่’ ใช่ไหม? ด้วยระดับของตะเกียงและสถานะปัจจุบันของเจ้า ข้าสามารถใช้พลังปราสาทต้นกำเนิดเพื่อ ‘ปลูกถ่าย’ ความเป็นเจ้าของจากแบร์นาแดตมายังตัวข้าได้ หรือไม่ก็ยังมีอีกหลายวิธี เช่นการ ‘ขโมย’ เป็นไง?”

ร่างสีทองอันบิดเบี้ยวของเทพแห่งตะเกียงปิดปากเงียบ กล่าวหลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที

“แม้จะไม่เจ้าเล่ห์เหมือนหมอนั่น แต่ความไร้ยางอายแทบไม่ต่างกัน… เปล่าประโยชน์ เมื่อเจ้าสะสมความปรารถนาและถึงคราวเสียชีวิตจากผลของกฎ กรรมสิทธิ์ของตะเกียงจะกลับไปอยู่กับบุตรสาวของโรซายล์อีกครั้ง ถึงตอนนั้นข้าจะทำการบิดเบือนกฎ นับความปรารถนาของเจ้ารวมเข้ากับจำนวนการขอพรของหล่อน… อย่างที่ได้กล่าวไป จนกว่าเจ้าจะทำตามสัญญา ข้าจะไม่มอบพรใดให้เจ้าอีก”

ไคลน์ยังคงยิ้ม

“ครั้งหนึ่ง ข้าเคยฟังเรื่องราวเกี่ยวกับนักลงทุน: ในยามบริษัทมีปัญหา นักลงทุนรุ่นแรกมีแนวโน้มที่จะเต็มใจช่วยเหลือมากกว่า ทั้งที่เคยจ่ายเงินให้บริษัทไปแล้วมากมาย แต่ถ้าไม่จ่ายเพิ่ม สิ่งที่เคยลงทุนมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า… แต่แน่นอน หากสามารถทวงคืนเงินที่เคยลงทุนไป หรือเปลี่ยนหุ้นที่ถืออยู่ให้เป็นเงินก้อนโตได้ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง… เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นแบบไหน”

เทพแห่งตะเกียงจ้องหน้าไคลน์บนเก้าอี้เดอะฟูล ยิ้มและตอบ

“ดูเหมือนว่า หลังจากควบคุมปราสาทต้นกำเนิดในเชิงลึก เจ้าจะได้รับคารมคมคายนักต้มตุ๋นของหมอนั่นมาด้วย… อย่างไรก็ดี เว้นเสียแต่เจ้าจะคลายผนึกให้ข้า ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องยาก ที่ข้าจะสร้างอิทธิพลใดในขอบเขตของลำดับ 0… อย่างมากก็ทำได้เพียงอาศัยกฎจากเหนือลำดับ ลงโทษให้เจ้าตายโดยไร้สาเหตุ… แต่ดูเหมือนว่า ผลลัพธ์ดังกล่าวจะไม่มีประโยชน์กับสิ่งที่เจ้าพยายามกระทำ เพราะความตายหมายถึงความล้มเหลว และเจ้าคงรู้อยู่แก่ใจดี อาการเสียสติที่เกิดขึ้นขณะเลื่อนลำดับจะส่งผลกับร่างโคลนทั้งหมด มิอาจเลี่ยงได้โดยการปลูกถ่าย”

ไคลน์ยิ้มพลางพยักหน้า

“ถูกต้อง และอันที่จริง ข้าก็ยังไม่ได้คิดความปรารถนา แค่ต้องการเตรียมตัว”

กล่าวจบ ชายหนุ่มชำเลืองตะเกียงวิเศษประทานพร

“…เท่าที่ข้าทราบ ตะเกียงดวงนี้ยังมีความสามารถอื่นที่สามารถส่งผลต่อลำดับ 0… ครั้งหนึ่ง เคยมีเทพแท้จริงพยายามทำลายตะเกียงดวงนี้ แต่สุดท้ายกลับต้องล้มเหลว… ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ตะเกียงที่ผนึกเทพภายนอกไว้ จะถูกทำลายง่ายๆ ได้เช่นไร? ในตะเกียงต้องมีพลังของราชันเร้นลับ หรือไม่ก็ปราสาทต้นกำเนิดแฝงอยู่แน่”

ขณะกล่าว รอยยิ้มบนใบหน้าไคลน์ทวีความชัดเจน:

“ถ้าไม่นำมาใช้เป็นเกราะกำบังคงเสียของแย่”

“…” เทพแห่งตะเกียงเงียบไปสักพัก ไม่ตอบสนองเป็นเวลานาน

หลังจากทักทายกันอย่างจริงใจและเป็นมิตร ไคลน์กับเทพแห่งตะเกียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากมาย และเนื่องจากทั้งสองฝ่ายมีชะตากรรมร่วมกัน เพียงไม่นานก็สามารถบรรลุข้อตกลงเบื้องต้น

ถัดมา ไคลน์นำตะเกียงวิเศษประทานพรใส่ในกระเป๋าเสื้อ พร้อมใช้งานตลอดเวลา

หลังจากจัดการทุกสิ่งเสร็จสรรพ ชายหนุ่มหันเหความสนใจไปยังจุดแสงที่เกี่ยวข้องกับเทือกเขาโฮนาซิสบนสายหมอกประวัติศาสตร์

ปัจจุบัน การเตรียมการของไคลน์ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ถัดไปคือการสร้างร่างโคลนเพื่อขโมยตะกอนพลัง ‘บริวารเร้นลับ’ ที่ยังย่อยไม่หมดจากร่างต้น นำไปใส่ไว้ในร่างโคลนที่สร้างขึ้น จากนั้นก็จะถึงเวลาเผชิญหน้ากับบรรพชนตระกูลอันทีโกนัส

และนั่นจะกลายเป็นตัวจุดประกายให้มหาศึกทวยเทพถือกำเนิด

ว่ากันตามตรง ไคลน์ไม่ต้องการให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เพราะสงครามระหว่างเทพจะสร้างความเสียหายต่อโลกความจริงเป็นวงกว้าง

เพื่อป้องกันการคืนชีพของ ‘มหาต้นกำเนิด’ กุหลาบไถ่บาปได้ลอบสังหารเทพสุริยันบรรพกาลภายใต้ความช่วยเหลือจากเทวทูตมืด โดยสงครามครั้งนั้นนำมาซึ่งมหาภัยพิบัติบนทวีปตะวันออก เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตไปกว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ แผ่นดินกลายเป็นเหมือนขุมนรก

‘สงครามสี่จักรพรรดิ’ และ ‘ภัยพิบัติสีจาง’ เกือบทำลายทวีปเหนือ ผู้คนล้มตายไปมากมาย มีจำนวนไม่น้อยเกิดการกลายพันธุ์ ภูเขากลายเป็นทะเลสาบ หุบเขากลายเป็นยอดเขา แม่น้ำคดเคี้ยว แผ่นดินถล่ม และมหาสมุทรคลุ้มคลั่ง

ศึกระหว่างเทพธิดารัตติกาลและเทพสงคราม แม้การปะทะระหว่างทวยเทพจะเกิดขึ้นบนดินแดนดารา เกิดขึ้นภายในอาณาจักรส่วนตัวของเทพธิดารัตติกาล และยังได้บทสรุปค่อนข้างเร็ว ช่วยให้ไม่เกิดผลกระทบกับโลกความจริงมากนัก แต่ต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านั้น สงครามโลกที่กินระยะเวลานานกว่าหนึ่งปีได้สร้างเลือดและน้ำตาของมนุษย์ไปมากเพียงใด

หากเลือกได้ ไคลน์ก็อยากละทิ้งปราสาทต้นกำเนิด ดำเนินชีวิตต่อไปในฐานะลำดับ 1 หรือ 2 เพื่อแลกกับสันติสุขของโลก

ทว่า ตลอดเส้นทางที่ชายหนุ่มเดินผ่านมา มันได้รับไมตรีจากหลากหลายตัวตนอย่างไม่ขาดสาย มีทั้งมอบความช่วยเหลือ มอบความเมตตา และมอบความศรัทธา หากไคลน์ยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ คนกลุ่มดังกล่าวก็จะถูกผลักให้ตกอยู่ในอันตรายทันที ซึ่งนั่นไม่เรียกว่าความกรุณา หากแต่เป็นความเห็นแก่ตัว

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้ประสบความสำเร็จคนใดบ้าง ไม่ต้องแบกรับชะตากรรมของคนจำนวนมากไว้บนบ่า?

หากตนยอมแพ้ แล้วพวกเขาล่ะ?

ชาวชุมนุมทาโรต์ สาวกเดอะฟูลในเมืองเงินพิสุทธิ์และจันทรา อะซิก·อายเกส ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ วิล·อัสติน… ใบหน้าของคนสำคัญในชีวิต ทยอยผุดขึ้นในใจชายหนุ่ม

ในที่สุด มันถอนหายใจยาวอย่างเชื่องช้า

หากอามุนด์เป็นคนที่น่าไว้วางใจ ไคลน์ยินยอม ‘ยก’ สิ่งเหล่านี้ให้อีกฝ่ายอย่างเต็มใจ แต่น่าเสียดายที่ ‘เทพแห่งการหลอกลวง’ มีนิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ แม้แต่สาวกทั้งหมดของมัน ก็ยังเป็นตัวมันเอง

หากไคลน์ยอมแพ้ ยังไม่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง เหล่ามนุษย์หรือครึ่งเทพที่ชายหนุ่มห่วงใย ก็อาจถูกอีกฝ่ายจับกุมตัวหรือไม่ก็นำแว่นตาขาเดียวมาสวมไว้ที่ตาขวากันทุกคน และจากบรรดาทั้งหมด วิล·อัสตินกับสาวกเดอะฟูลจะเสี่ยงอันตรายมากที่สุด

จงเชื่อในพลังของเทพ แต่อย่าได้วางใจกับความเมตตากรุณา!

นี่คือการตัดสินใจของไคลน์ เมื่อครั้งได้สนทนากับเทพธิดารัตติกาล ชายหนุ่มยกตัวอย่างถึงวายุสลาตัน สุริยันเจิดจรัส และปัญญาความรู้เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ว่าตนจะไม่ทำให้เธอผิดหวัง และไม่ทำให้ความช่วยเหลือที่ผ่านมาต้องกลายเป็นหมัน – เทพธิดารัตติกาลคือตัวตนที่เลือกเดิมพันข้างไคลน์มากที่สุด หากชายหนุ่มยอมแพ้ พระองค์อาจต้องจ่ายหนักเพื่อให้ได้ครอบครองแม่น้ำอันธการนิรันดร์ หรือบางทีอาจไม่ได้ครอบครองมันเลยตลอดชีวิต เนื่องจากเมื่อสองเสาหลักอย่าง ‘พระเจ้า’ และ ‘ราชันเร้นลับ’ ลืมตาตื่น เทพภายนอกก็จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อโลกอีกต่อไป จึงไม่จำเป็นต้องมีวันวานคนที่สามถือกำเนิด

ฟู่ว… หลังจากนี้เราจะใช้ปราสาทต้นกำเนิดเพื่อ ‘ปลูกถ่าย’ ยอดเขาของเทือกเขาโฮนาซิสเข้ากับดินแดนดารา วิธีนี้ไม่เพียงจะลดความเสียหายที่เกิดขึ้นบนโลกความจริง แต่ยังจะช่วยให้เทพธิดาและเทพตนอื่นที่คอยปกป้องรอยแยกของบาเรีย ระดมพลังได้อย่างเต็มที่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้สนับสนุนเราส่วนใหญ่เป็นเทพจารีต… ท่ามกลางกระแสความคิด ชายหนุ่มเริ่มวางแผน

จากนั้น ไคลน์ดีดนิ้ว ระดมพลังปราสาทต้นกำเนิดเพื่อสร้างร่างโคลนมายืนข้างๆ

…………………………