ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 21 คนดีคนหนึ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ราชันย์แห่งหลิงไห่และนักพรตซือหยวนจู่ๆ ก็พรวดเข้ามา เมื่อเห็นว่าข้างกายของเฉินฉางเซิงมีสวีโหย่วหรง ชะงักไปเล็กน้อย หลังจากนั้นสีหน้าก็ปรากฏความเบิกบานออกมา

พวกเขาทั้งสองล้วนเป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวงขั้วอำนาจใหม่ เนื่องจากความสัมพันธ์ของจักรพรรดินีเทียนไห่ แน่นอนว่าต้องสนิทสนมกับสวีโหย่วหรง หลังจากทำความเคารพแล้ว ความเบิกบานบนสีหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆ เก็บอาการไป เอ่ยกับเฉินฉางเซิงว่า “เจ้าสำนักเหมาออกจากบำเพ็ญพรตแล้ว”

ยามที่ใต้เท้าสังฆราชรุ่นก่อนยังอยู่ในวาระ อย่างน้อยมีผู้แข็งแกร่งทั้งสามท่านที่เชื่อฟังคำสั่งของพระราชวังหลี แต่ตอนนี้คนเดียวก็หามีไม่ ดังนั้นความที่เหมาชิวอวี่จะเกิดปรากฏการณ์บรรลุขั้นเทพนั้น สำหรับพระราชวังหลีแล้วมันสำคัญมากมาก หรือแม้แต่จะพูดได้เลยว่าเวลาช่วงนี้คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของพระราชวังหลี

วันนี้เขาออกจากบำเพ็ญบรตแล้ว นั่นหมายถึงการบรรลุชั้นเทพสำเร็จแล้ว ได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์

สำหรับสำนักฝึกหลวงแล้ว แน่นอนว่านี่คือเรื่องใหญ่เทียมฟ้า

แต่สีหน้าและแววตาของราชันย์แห่งหลิงไห่และนักพรตซือหยวนดูเคร่งขรึมนัก

ในเวลาหลายปีที่ผ่านมา เหมาชิวอวี่ดูแลเฉินฉางเซิงและสำนักฝึกหลวงมากมายนัก หลังจากที่เฉินฉางเซิงรับตำแหน่งใต้เท้าสังฆราชและจากเมืองหลวงไป เขากลายเป็นผู้ดำเนินการตามเจตจำนงของเฉินฉางเซิงในเกียวโตเมืองหลวงอย่างเป็นรูปธรรม

ปัญหาก็คือ เหมาชิวอวี่ยังคงเป็นขั้วอำนาจเดิมของสำนักฝึกหลวง และตอนนี้เขาได้ก้าวข้ามผ่านธรณีประตูนั้นแล้ว จึงไม่สามารถใช้สายตาปกติเพ่งมองได้อีกต่อไป

ในช่วงเวลานี้ ขั้วอำนาจเก่าและขั้วอำนาจใหม่ของสำนักฝึกหลวงมีความขัดแย้งหนักหนา วันก่อนเฉินฉางเซิงเพิ่งกลับถึงเมืองหลวง ก็ทำการล้มล้างสำนักการศึกษากลางเสียแล้ว

หลังจากเหมาชิวอวี่ทราบเรื่องเหล่านี้แล้ว จะมีความคิดเช่นไรกันนะ

……

……

ฤดูเหมันต์ก็จะผ่านพ้นไปแล้ว อากาศกลับไม่อบอุ่นขึ้นเลย แต่กลับหนาวเย็นขึ้นเสียด้วยซ้ำ

ลมหนาวราวกับมีดกำลังพัดหิมะที่เหมือนขนนกจากท้องฟ้าให้ตกลงมา ทำให้พระราชวังมากกว่าสิบแห่งกลายเป็นสีขาวโพลน

สวีโหย่วหรงเอ่ย “ให้ข้าลองพบดูได้หรือไม่”

ราชันย์แห่งหลิงไห่มองไปทางเฉินฉางเซิง

แน่นอนว่าเขาทราบดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างใต้เท้าสังฆราชและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แต่เรื่องนี้สำคัญเกินไป

เหมาชิวอวี่บรรลุขั้นเทพสำเร็จ สถานะในสำนักฝึกหลวงจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

หากเขาไม่สามารถถูกใต้เท้าสังฆราชได้ อย่างนั้นวันนี้ก็คงจะเป็นวันแรกที่เขาสามารถบรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นวันแรก และก็จะเป็นวันสุดท้ายเช่นกัน

มองไปยังเหมาชิวอวี่ที่อยู่ตรงพายุหิมะด้านนั้น มองเขาที่มีผมสีขาวปกคลุมไหล่อยู่ ยังมีแขนเสื้อทั้งสองข้างที่ถูกลมพัดปลิว เฉินฉางเซิงนึกถึงสถานการณ์ในปีนั้นที่พบอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก ณ งานเลี้ยงสำนักไม้เลื้อย

เหมาชิวอวี่ในตอนนั้นเป็นเจ้าสำนักเทียนเต้า และก็เป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ให้ประสาทวิชาคนแรกของลั่วลั่วด้วย

เฉินฉางเซิงยังนึกเรื่องราวขึ้นได้อีกมากมาย ด้านนอกของสุสานเทียนซูนั้นเหมาชิวอวี่อุ้มเอาร่างของสวินเหมยเอาไว้ด้วยน้ำตาท่วม เหมาชิวอวี่นั่งเงียบ ๆ ในโรงน้ำชาเมื่อชมแสดงศิลปะการต่อสู้ เมื่อเขาไปสังหารโจวทง รถม้าของเหมาชิวอวี่ก็ปรากฏตัวนอกลานที่เต็มไปด้วยดอกไห่ถัง

หลายปีมานี่ เหมาชิวอวี่ไม่ได้เอ่ยอันใดมากมาย ทำเรื่องอันใดมากมาย แต่ยังคงยืนอยู่เบื้องหลังเขาและสำนักฝึกหลวงมาโดยตลอด

อาจด้วยเนื่องจากความสัมพันธ์แบบใต้เท้าสังฆราชอาจารย์กับศิษย์ อาจเนื่องด้วยการฝากฝังของมหามุขนายกเหมยหลี่ซา

แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด เหมาชิวอวี่ล้วนดีกับเขามาก

เฉินฉางเซิงยื่นมือออกปักเกล็ดหิมะที่ตกลงมาเบื้องหน้า และปักความคิดที่ไม่จำเป็นออกไป

เขามองไปยังสวีโหย่วหรงก่อนเอ่ยว่า “อย่างนั้นเจ้าก็ไปเถิด”

นักพรตซือหยวนมีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย แต่ไม่กล้าขัดคำสั่ง ผู้แข็งแกร่งแห่งสำนักฝึกหลวงและค่ายกลต่างๆ ก็ทยอยล่าถอยออกไป

……

……

ตำหนักหลังนั้นท่ามกลางลมหิมะเงียบอยู่นาน

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด สวีโหย่วหรงเดินออกมา นางยิ้มให้เฉินฉางเซิงเล็กน้อย

ราชันย์แห่งหลิงไห่และนักพรตซือหยวนลอบถอนหายใจพร้อมกัน

สวีโหย่วหรงจากไปท่ามกลางลมหิมะ น่าจะมีอีกหลายเรื่องต้องไปจัดการ

เฉินฉางเซิงเดินเข้าไปในตำหนัก ยืนเคียงไหล่กับเหมาชิวอวี่เบื้องหน้าหน้าต่าง มองไปยังพระราชวังหลีท่ามกลางลมหิมะ

ด้านในพระราชวังหลีเงียบมาก ท่ามกลางทุ่งหิมะไม่มีร่องรอยใด เงาร่างของราชันย์แห่งหลิงไห่และนักพรตซือหยวนดูชัดเจนยิ่งนัก

“คนน้อยลงทุกที”

สีหน้าของเหมาชิวอวี่ทอดถอนใจยิ่งนัก

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขาดี

ผู้นำแห่งสำนักฝึกหลวงในตอนแรก คนที่จากไปแรกสุดก็คือเหมยหลี่ซา ต่อมามู่จิ่งชือถูกใต้เท้าสังฆราชรุ่นก่อนทำลายวรยุทธ์สำนักฝึกหลวง และขับไล่ออกจากพระราชวังหลี นักพรตไป๋สือถูกสังหารในเมืองเวิ่นสุ่ย คืนก่อนมหามุขนายกอันหลินก็พ้นจากตำแหน่งอย่างน่าเศร้า

ตอนนี้ต่อให้เป็นเหมาชิวอวี่เองหรือแม้แต่กระทั่งหู้ซานสือเอ้อร์ก็ไม่มีทางเรียกรวมพลจำนวนที่ค่ายกลพระราชวังหลี ต้องการได้ครบ

อีกประการหนึ่งเหมาชิวอวี่เองก็จะจากที่นี่ไปแล้ว

เฉินฉางเซิงเอ่ย “อาจารย์อาให้ข้าทำเรื่องนี้เถิด อย่างนั้นอย่างไรก็ยังคงต้องทำ”

เรื่องนี้หมายถึงใช้ตำแหน่งของใต้เท้าสังฆราชควบคุมไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักฝึกหลวง

มีเรื่องบางอย่างหมายถึงเรื่องเหล่านั้นที่เคยเกิดขึ้นแล้วอย่าง เช่นเรื่องการจากไปเหล่านั้น

“ได้ยินมาว่าเมื่อคืนนี้ท่านเอ่ยออกมาหนึ่งประโยคหรือ”

เหมาชิวอวี่เอย “ท่านจะได้รับโทษทัณฑ์ทั้งหมดที่ท่านควรจะได้รับ ”

เฉินฉางเซิงเอ่ย “ใช่ ขอรับ”

เหมาชิวอวี่หันไปมองใบหน้าด้านข้างของเขา “แต่ผู้ใดจะมีคุณสมบัติมาตัดสินว่าท่านจะมีโทษหรือไม่”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิดอยู่นาน หลังจากนั้นก็ให้คำตอบที่ทำให้เหมาชิวอวี่ถึงกับประหลาดใจ

“เหตุใดพวกท่านจึงไม่เคยถามคำถามนี้กับศิษย์พี่และอาจารย์ของข้า”

เขาไม่ได้เอ่ยถึงจิตใจของประชาชนทั้งยังไม่ได้เอ่ยถึงประวัติศาสตร์ยิ่งไม่ได้พูดถึงอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์แต่กลับย้อนถามขึ้นมาหนึ่งประโยค

เหมาชิวอวี่สังเกตเห็นแววตาของเขาจริงจังมาก แววตามั่นคง หลังจากนั้นพบว่าตนนั้นตอบคำถามนี้ไม่ได้

เฉินฉางเซิงก็ไม่ได้คิดว่าจะได้คำตอบ เขาเอ่ยต่อ “อาจจะเนื่องด้วยข้ายังวัยรุ่นหรือ ถังซานสือลิ่วเคยเอ่ยว่า วัยรุ่นก็คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เนื่องจากความถูกต้องและวัยรุ่นไม่มีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นอาวุโสก็ไม่ได้หมายความว่าถูกต้อง”

เหมาชิวอวี่เอ่ย “เมื่อพบเจอเรื่องมากมาย ประสบการณ์มากมาย หรือว่าอาจจะสามารถเดินอ้อมน้อยลงหน่อยได้”

เฉินฉางเซิงเอ่ย “ระหว่างสองประเด็น เส้นตรงใกล้ที่สุด แน่นอนว่าไม่อ้อม”

นี่หมายถึงกระบี่ของเขา มาจากมีดสั้นของหวังผ้อ

“”แน่นอนว่าความกระตือรือร้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่การปกครองใต้หล้าก็เหมือนกับการปรุงอาหารสดชิ้นเล็ก ๆ ไม่สามารถบุ่มบ่ามได้”

เหมาชิวอวี่มองไปที่เขาก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง “นี่คือหนทางของสมเด็จใต้เท้าสังฆราชยุคก่อน”

ข้อแตกต่างระหว่างสมเด็จใต้เท้าสังฆราชยุคก่อนและจักรพรรดินีเทียนไห่รวมไปถึงซางสิงโจวทั้งสองก็อยู่ที่ตรงนี้

เขาไม่ใส่ใจความขัดแย้งระหว่างอำนาจเก่าและใหม่ทั้งสองขั้ว และก็ไม่ใส่ใจความขัดแย้งของราชวงศ์ตระกูลเฉินและจักรพรรดินีเทียนไห่

เขาเพียงสนับสนุนวิธีที่ทำให้สถานการณ์ทั้งใต้หล้าสงบสุข

ยี่สิบปีก่อน ซางสิงโจวสมคบคิดการกบฏ มองเห็นความวุ่นวายทั้งใต้หล้า ดังนั้นเขาจึงคัดค้าน

ยี่สิบปีต่อมา จักรพรรดินีเทียนไห่ยังคงไม่ยอมกลับคืนสู่ราชวงศ์ตระกูลเฉิน มองเห็นความวุ่นวายทั้งใต้หล้า ดังนั้นเขาจึงคัดค้าน

เหมาชิวอวี่มองไปยังเงาร่างที่ค่อยๆ ดำเนินไปไกล ณ จุดที่ลึกเข้าไปในลมหิมะ ก่อนเอ่ย “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทำอย่างนี้จะต้องทำให้ทั้งใต้หล้าวุ่นวายแน่นอน หากเป็นใต้เท้าสังฆราชพระองค์อื่น จะต้องพยายามห้ามปรามและหยุดยั้ง ตอนนี้ข้ากลับเลือกที่จะมองแต่ทำเป็นไม่เห็น ช่างไม่ทราบเลยจริงๆว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกหรือเรื่องที่ผิด

เมื่อครู่ยามสวีโหย่วหรงโน้มน้าวเขา ทั้งยังคาดการณ์คำนวณอย่างซับซ้อน หลังจากนั้นจึงเอ่ยมาหนึ่งประโยค

“ในเมื่อเป็นลมอ่อนสองชายเสื้อ เหตุใดจึงจ้องมองไม่ลงมือ”

ลมอ่อนสองชายเสื้อ เป็นสัญลักษณ์นักพรตของเหมาชิวอวี่

“ที่จริงข้าคิดมาตลอด วิธีการในครานั้นของอาจารย์อาอาจจะไม่ถูกต้อง”

เฉินฉางเซิงนึกถึงคืนนั้นในสุสานเทียนซู ท่านใต้เท้าสังฆราชอาจารย์อายืนอยู่ท่ามกลางน้ำนิ่งในเขตยากแค้นในเมืองหนานเฉิง ด้านหนึ่งก็ต่อกรกับจักรพรรดินีเทียนไห่ ด้านหนึ่งก็ไม่ลืมที่จะปกป้องประชาชนที่ไร้มลทินเหล่านั้น ยิ่งรู้สึกว่าเคารพอย่างสุดซึ้ง ทั้งยังมีความรู้สึกซับซ้อนมากมาย

ท่านใต้เท้าสังฆราชอาจารย์อาเป็นคนดี

แต่คนดีควรลำบากเยี่ยงนี้หรือ

เหมาชิวอวี่ทราบว่าเขากำลังคิดสิ่งใด เอ่ยตักเตือนอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาท พวกเขายังคงต้องทำตนเป็นคนดี”

“ไม่ต้องทำตนเป็นคนดีเนื่องจากเดิมทีข้าก็เป็นคนดี”

เฉินฉางเซิง มองไปยังเขาก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าหวังเพียงว่าคนดีๆ จะได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน”