ประทานความเมตตาไม่หวังผลตอบแทน หรือแม้แต่ไม่ให้ผู้คนทั้งใต้หล้าทราบ ยินดีรับเอาความผิดทั้งหมดเอาไว้ ต่อให้ความหายนะจมลง นี่ก็คือนักปราชญ์
เฉินฉางเซิงคือใต้เท้าสังฆราช แน่นอนว่าใต้เท้าสังฆราชคือนักปราชญ์ ปัญหาก็คือ เขาไม่อยากเป็นนักปราชญ์ อยากเป็นเพียงคนดีเท่านั้น
แต่คนดีต้องได้รับผลดีตอบแทนแน่
เฉินฉางเซิงยึดมั่นกับสิ่งนี้ เนื่องจากเขาเคยพบเจอตัวอย่างมามากมายนัก
จักรพรรดินีและซางสิงโจวอาจจะถูกเรียกว่าผู้มีความมุ่งมั่นหรือนักวางแผนร้ายได้เลย สรุปก็คือไม่สามารถใช่คำว่าคนดีมานิยามได้
สมเด็จใต้เท้าสังฆราชอาจารย์อาคือคนดี ดังนั้นเขามีชีวิตอยู่อย่างลำบาก และไม่ว่าการต่อสู้นั้นจะมีผลเช่นไร เขาก็ล้วนต้องตาย
เปี๋ยยั่งหงก็ตายแล้ว หวังผ้อก็เกือบตายมาแล้วหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าคนดีมักจะมีอายุไม่ยืนยาว
มิน่าเล่าซูหลีจึงไม่ยินดีจะเป็นคนดี
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ข้าเห็นเปี๋ยยั่งหงตายด้วยตาตนเอง”
เหมาชิวอวี่รู้สึกทอดถอนใจ
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “ข้าอยากเป็นคนดี ยังต้องได้ผลดีตอบแทน อาศัยข้าเพียงคนเดียวทำไม่ได้ ข้าต้องให้คนช่วย”
หลายคนล้วนกำลังช่วยเขา อย่างเช่นถังซานสือลิ่ว อย่างเช่นซูม่ออวี๋ อย่างเช่นลั่วลั่ว อย่างเช่นสวีโหย่วหรง
ก็เหมือนเมื่อครู่ ด้านหน้าหน้าต่างเหมือนกัน สวีโหย่วหรงและเหมาชิวอวี่เอ่ยอะไรมามากมาย โน้มน้าวให้เขาไม่ทำอะไร
แต่เฉินฉางเซิงมองว่า นี่ไม่เพียงพอ
เขามองไปยังเหมาชิวอวี่เอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าต้องให้ท่านช่วย”
ไม่เหมือนกับสวีโหย่วหรง คำขอร้องของเขาง่ายดายนัก เหตุผลก็ง่ายดายนัก
เขาขอให้เหมาชิวอวี่ช่วยคนดีในโลกนี้ให้ได้รับเรื่องดีๆ ตอบแทน
ความอัปยศอดสูในโลกเป็นการยากที่จะตัดสินว่าคุณมีความผิดหรือไม่มันง่ายมากที่จะตัดสินว่าดีหรือไม่ดี?
วิถีชีวิตที่ไม่แน่นอน มีโทษหรือไม่ยากที่จะตัดสิน มาตรฐานการตัดสินว่าดีเลวจะง่ายเพียงนี้เชียวหรือ
เหมาชิวอวี่มองสบตาเขา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักหน่วง “หากข้าไม่เห็นด้วยกับความคิดของท่าน ท่านจะทำอย่างไร”
“ไม่ทราบ”
เฉินฉางเซิงคิดอย่างตั้งใจ ก่อนเอ่ยอย่างเกรงใจ “ไม่ทราบจริงๆ”
นี่มิใช่การทำซ้ำอย่างง่ายๆ และก็ไม่ใช่การเน้นน้ำเสียง แต่เขาคิดไม่ออกจริงๆ หากเป็นอย่างนั้นละก็ ตนนั้นควรจะทำอย่างไร
เหมาชิวอวี่มองสบตาเขาเงียบๆ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ดี”
นี่เป็นคำตอบที่ง่ายมาก
เขายืนงงอยู่นาน หลังจากนั้นจึงหัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน
เหมาชิวอวี่ก็หัวเราะออกมา
หลายปีที่ไม่เจอกัน สมเด็จท่านใต้เท้าสังฆราชยังคงเป็นหนุ่มวัยรุ่นที่ธรรมดาคนนั้นในตอนแรก
……
……
ครานั้นในสุสานเทียนซู หลังจากที่เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงเคยได้พบกับผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่มีนามว่าจี้จิ้น เคยมีการสนทนากับหลายเรื่อง
เขาเอ่ยว่านางนั้นเป็นคนดี นางเอ่ยว่าเขาก็เป็นคนดี
นี่มิใช่การทำตัวห่างเหิน แต่เป็นการประเมินอย่างจริงใจ
แต่นั่นมิใช่เป้าหมายทางจิตวิญญาณที่สวีโหย่วหรงเสาะหา
ความดีเลวและวิถีพรตไม่มีความเชื่อมโยงกัน
หากมิใช่เพราะว่าพบเจอกับเฉินฉางเซิง นางอาจเมินเฉยต่อโลกนี้กว่านี้ก็ได้ รู้สึกเย่อหยิ่งกว่านี้อีกหน่อย
ก็เหมือนกับจักรพรรดินีเทียนไห่อย่างนั้น
แน่นอนว่าต่อให้เผชิญหน้ากับเฉินฉางเซิง นางก็ไม่รู้สึกว่าตนนั้นเป็นคนดีในความหมายธรรมดา อาทิเช่นเรื่องนี้ที่อยู่ตรงหน้า เฉินฉางเซิงเพียงเพราะหวั่นไหวไปด้วยเรื่องของสวินเหมย เพียงแค่ดำเนินมันด้วยความปรารถนาดี นางกลับหวังประโยชน์บางอย่างจากสิ่งนี้
ป่าในสุสานเทียนซูถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งบางๆ มองดูแล้วเหมือนป่าฉยงหลินที่งดงามก็มิปาน
นอกจากนี้ยังมีเกล็ดหิมะบางส่วนที่หลงเหลืออยู่บนแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าสีดำ ซึ่งดูเหมือนหนังสือที่จำลองมาจากทองเหลืองสลักมากกว่า มีความกินใจที่แตกต่างไม่เหมือนปกติ
สวีโหย่วหรงละสายตาจากแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า และทอดตกลงบนกายคนผู้หนึ่ง นางเอ่ยอย่างเฉยเมย “ในตอนแรกเฉินฉางเซิงและข้าเคยสัญญากับท่านว่าจะไปจากสุสานเทียนซู ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะทำตามสัญญาของเราแล้ว ท่านคิดว่าอย่างไร”
บนบ่าของผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่มีนามว่าจี้จิ้นเต็มไปด้วยหิมะ และเห็นได้ชัดว่าเขารอที่นี่มานานแล้ว
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของสวีโหย่วหรง จี้จิ้นซาบซึ้งนัก ในแววตากลับปรากฏความหวาดกลัวออกมา “ได้จริงๆ น่ะหรือ”
สุสานเทียนซูนั้นคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในดินแดน แน่นอนว่ากฎเกณฑ์ก็ต้องเข้มงวดเป็นแน่
ผู้บำเพ็ญพรตต้องให้คำสาบานว่าตลอดชีวิตจะไม่ดำเนินออกจากสุสานเทียนซู จึงจะสามารถกลายเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ได้ จึงจะมีอำนาจพิเศษในการมองแผ่นป้ายอนุสรณ์ได้ตลอดเวลา
หลายพันปีมานี้ มีเพียงซูหลีที่เคยบังคับนำตัวผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ไปจากสุสานเทียนซู และก็ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ออกไปแบบมีชีวิตมาก่อน
สวีโหย่วหรงเอ่ยอย่างน่งเฉยว่า “ข้าคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เฉินฉางเซิงคือใต้เท้าสังฆราช คำพูดที่พวกเราเอ่ยออกมา ล้วนถือเป็นกฎ
จี้จิ้นเอ่ยอย่างไม่สบายใจ “แต่ฝั่งราชสำนักต้าโจวเล่า”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “เมื่อคืนวาน ฮ่องเต้แห่งต้าโจวได้ทรงลมพระนามแล้ว”
ตอนนี้จี้จิ้นจึงได้มั่นใจว่าตนนั้นสามารถไปได้แล้ว
ร่างกายของเขาสั่นเทา คุกเข่าลงท่ามกลางพื้นหิมะ โขกศีรษะกับพื้นเพื่อคำนับสวีโหย่วหรงหนึ่งที
การปิดกั้นตัวเองเมื่อหลายปีก่อนและการกักขังที่ตามมาในหลายปีนี้ ทั้งยังความรู้สึกผิดที่เกาะกินจิตใจ เวลานี้ทั้งหมดล้วนแปรเปลี่ยนเป็นความยินดี
สิ่งที่ตามติดมากลับเป็นความผิดหวังและความไม่สบายใจ
เขาใช้ชีวิตอยู่ในสุสานเทียนซูมาหลายปีเยี่ยงนี้ จะต้องไปแล้วจริงๆ น่ะหรือ ตนนั้นจะจากไปเยี่ยงนี้น่ะหรือ
สวีโหย่วหรงไม่ได้ให้เวลาเขาโศกเศร้ามากนัก นางเอ่ย “ผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์คนอื่นหากประสงค์จะจากไปละก็ ย่อมได้”
จี้จิ้นได้สติกลับมา เอ่ยขึ้น “ขอบพระทัยในบุญคุณของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และสมเด็จใต้เท้าสังฆราช ข้าจะไปแจ้งพวกเขาเดี๋ยวนี้”
สวีโหย่วหรงหยิบจดหมายออกมาจากแขนเสื้อพร้อมยื่นให้แก่เขา ก่อนเอ่ย “ข้าช่วงข้าส่งจดหมายหนึ่งฉบับ”
จี้จิ้นมาจากสำนักต้นไหวทางตอนใต้ หลังจากจากสุสานเทียนซูไปแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องกลับไปที่นั่น
จดหมายฉบับนี้ต้องการมอบให้แก่ผู้อาวุโสท่านนั้นแห่งสำนักต้นไหว
สวีโหย่วหรงจากกระท่องนั้นที่แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า มายังถนนสายใหญ่สายหนึ่งที่กว้างใหญ่ทางตอนใต้ของสุสาน
การสอบราชสำนักได้หยุดไปสองปีแล้ว เหล่านักพรตแห่งสุสานเทียนซูน้อยลงกว่าปีที่แล้วมานัก ที่นี่เงียบเหงายิ่งนัก
นางไปยังบ้านเดิมของสวินเหมย พบว่าหลายปีมานี้ไม่มีผู้ใดพักอาศัยอยู่ แต่กลับทำความสะอาดอย่างดี
คนหนุ่มที่ทำข้าวเนื้ออบอยู่ที่นี่ในปีนั้นและเหล่าคนหนุ่มที่ทานข้าวเนื้ออบในปีนั้น ไม่ได้กลับมานานแล้ว
หลังจากนั้นนางเอามือสองข้างไพล่หลังดำเนินต่อไปทางทิศใต้ มองไปรอบด้านอย่างพิจารณา
ก็เหมือนกับก่อนหน้าที่อยู่พระราชวังหลี ช่างเหมือนกับขุนนางแก่ที่มีโอกาสได้กลับมาเยือนบ้านเกิดได้ออกมาเดินท่องตลาดจริงๆ
สำหรับนักบำเพ็ญพรตบนโลกแล้วคือสุสานเทียนซูที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับนางแล้วเป็นเพียงวิวทิวทัศน์ที่ควรค่าแก่การทัศนาเท่านั้น
ในไม่ช้าเธอก็เดินข้ามพื้นศิลาสีเขียวที่เต็มไปด้วยลำคลอง และมาถึงทางใต้ของสุสานเทียนซู
ลมและหิมะเคลื่อนตัวเล็กน้อย พลันมีหญิงสาวในชุดดำปรากฏกายข้างๆ นาง
“เจ้าปล่อยให้ข้าวิ่งไปหลายที่ ข้านึกว่าเจ้าวางแผนไว้เสียอีก แต่ข้าคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะลืมคนที่สำคัญที่สุดท่านนั้น”
มังกรดำตัวน้อยมองนาง และเอ่ยเยาะเย้ยว่า “ให้ผู้ชายคนนั้นส่งจดหมาย จะถึงเมื่อไหร่กันเล่า ข้าจะไปเอง”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “จดหมายลายมือข้าและจี้จิ้น ล้วนเป็นความบริสุทธิ์ใจที่ข้าประสงค์จะแสดงออกมา”
มังกรดำเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าเตรียมจะให้หวังผ้อทำสิ่งใดกัน”
สวีโหย่วหรงไม่ได้ตอบคำถามนี้ นางเพียงมองไปยังถนนเสินเส้นนั้นอย่างเงียบๆ”
ถนนเสินที่สร้างศิลาขาวยังคงอยู่ที่นั่นดู บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นในลมหิมะ
ศาลาเหลียงถิงไม่อยู่ที่นั่นอีกต่อไป และแม่ทัพเฒ่าผู้ซึ่งนั่งมาหกร้อยปีได้เสียชีวิตในเมืองเสวี่ยเหล่าเสียแล้ว
ด้านบนสุดของถนนเสินมีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
เฉินฉางเซิงบอกนางว่า บนแผ่นป้ายนั้นไม่มีตัวอักษรสักตัว
เหนียงเหนียงทรงสวรรคตที่นั่น
นางคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ มีคุณสมบัติที่จะดำเนินไปยังจุดที่อยู่บนสุดของถนนเสิน
แต่นางไม่ทำ
นางเพียงอยากใช้ความสามารถของตนเดินขึ้นไป
ก็เหมือนกับที่เฉินฉางเซิงและโก่วหานสือรวมถึงคนอื่นๆ ยังคงไม่ลืมสวินเหมยอย่างนั้น
ในปีนั้นสวินเหมยไม่ได้ขึ้นไป เนื่องจากฮั่นชิงเฝ้าอยู่ตรงนั้น
หากนางจะเดินขึ้นไป ผู้ใดจะขวางอยู่ตรงนั้นกัน