สวีโหย่วหรงมองไปยังถนนเสินเงียบๆ มองอยู่นาน
ลมหิมะตกไม่ต่อเนื่อง ไม่มีผู้ใดปรากฏตัวขึ้น
มังกรดำไม่รู้ไปคว้าเอาข้อวัวมาจากที่ใด นางกำลังแทะอย่างเมามัน ก่อนเอ่ยอย่างไม่ชัดเจนว่า “หากไม่ถึงตอนสุดท้าย ผู้ใดจะกล้ามาสังหารเจ้ากัน”
สวีโหย่วหรงอมยิ้ม หันหน้าเดินไปทางด้านนอกสุสานเทียนซู
มังกรดำยื่นมือเข้าไปในลมหิมะ น้ำมันที่เคลือบอยู่เมื่อถูกอุณหภูมิที่ต่ำมากจับเข้าก็กลายเป็นผงละเอียด หลังจากนั้นก็ถูกเป่าจนปลิวไป มันสะอาดขึ้นทันที
นางหันไปทางเงาร่างของสวีโหย่วหรงก่อนเอ่ย “เจ้าให้หวังผ้อมาทำอะไรกันแน่”
สวีโหย่วหรงไม่ได้ตอบทำถามนี้
……
……
มังกรดำจู่ๆ ก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างบางขึ้นมา หรี่ตาอย่างพิเคราะห์
นางวิ่งตามสวีโหย่วหรงไป พร้อมตะโกนต่อเนื่องไม่หยุด
“เจ้าจะให้เขาบุกถนนเสินหรือ”
“ซางสิงโจวต้องออกหน้าหยุดยั้งเขาด้วยตนเองแน่”
“อย่างนั้นต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่”
……
……
เรื่องที่เหมาชิวอวี่บรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่นานก็กล่าวขานไปทั้งดินแดน ในขณะเดียวกันก็สั่นสะเทือนไปทั้งดินแดน
พระราชวังหลีพระราชทานฉายานามให้เขาในเวลาอันรวดเร็ว
หากว่ากันตามกฎเดิม ต่อมาก็ต้องจัดตำหนักให้เขา
แปดมรสุมในปีนั้นล้วนมีตำหนักของตนเอง อย่างเช่นเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ก็พำนักในศาลาวั่นโส่วเมืองซีหนิง กวนซิงเค่อคือโขดหินเศษดาวของหนานไห่ ตำหนักของเฉายวิ๋นผิงก็คือภูเขาหลางยาที่จักรพรรดินีเทียนไห่เคยพระราชทานให้แก่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ เพียงแต่ไม่มีผู้ใดทราบเท่าใดนัก สิ่งที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ต้องแลกมา เพียงแค่มาเยี่ยงเฉินฉางเซิงที่เมืองหลวงเสียที
ตำหนักที่เหมาชิวอวี่เลือก ทำให้ผู้คนแปลกใจอยู่สักหน่อย แต่ก็เป็นอะไรที่คาดการณ์ไว้แล้ว
เขาเลือกตำหนักหานซาน
หานซานอยู่ทางเหนือของดินแดน ห่างไกลจากเมืองหลวงมาก แต่อยู่ใกล้กับทุ่งหิมะที่ปกครองโดยราชามาร
ที่สำคัญก็คือ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอความลับสวรรค์
หอความลับสวรรค์ได้กลับคืนสู่การครอบครองของราชวงศ์ต้าโจว แต่สิ่งปลูกสร้างที่ที่รอบด้านของทะเลสาบสวรรค์ที่หานซาน รวมไปถึงร่องรอยเหล่านั้นที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ทิ้งเอาไว้
เหมาชิวอวี่ใช้การเลือกนี้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของตน นี่ก็คือหลังจากค่ายทหารจี้ซงซานหมดอำนาจแล้วพระราชวังหลีจึงมีอำนาจขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่มีปฏิกิริยาอะไรจากราชวงศ์ต้าโจว พวกเขายังคงเงียบอยู่ ไม่ได้มีการคัดค้านอะไร
ซางสิงโจวยังคงอยู่ที่อารามฉางชุนในเมืองลั่วหยาง ฮ่องเต้ยังคงพำนักอยู่ในพระราชวัง น้อยมากที่ดำเนินออกนอกวัง การพบเจอผู้คนยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่
คืนนั้นที่สวีโหย่วหรงเข้าวัง ไม่รู้ว่าทำให้เกิดความคิดเชื่อมโยง การคาดเดาและความไม่สงบสุขมากมายเพียงใด แต่ตอนนี้เมื่อมาพิจารณาดูแล้ว พายุและเมฆหนาคงยังไม่มาชั่วขณะ
ในขณะที่ผู้คนต่างก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ก็เกิดความไม่เข้าใจมากมายขึ้นเช่นกัน สายตามากมายมองไปยังตำหนักที่เงียบสงบบางแห่งในเมืองหลวง ทอดมองลงบนโคมไฟสีแดงส้มเหล่านั้น
พิธีมงคลสมรสระหว่างหลัวหยางอ๋องและม่ออวี่ใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว เฉินฉางเซิงจะไปเป็นประธานในพิธีมงคลสมรส สวีโหย่วหรงในฐานะที่เป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของเจ้าสาว แน่นอนว่าก็ต้องไปเช่นกัน
……
……
พิธีมงคลสมรสที่มีคนจับตามากกว่าหมื่นคนนี้ไม่ได้จัดขึ้นในจวนอ๋องแต่จัดขึ้นในส่วนส้มจี๊ด
มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ในสวนส้มจี๊ดคึกคักขึ้นมากมายบรรดา เสียงแสดงความยินดีและเรื่องรื่นเริงของแขกผู้มีเกียรติดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเทียบกับตำหนักหน้าแล้วที่พักอาศัยทางด้านหลังก็ดูเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด
ราชันย์แห่งหลิงไห่นำมุขนายกกว่าสิบท่านยืนอยู่รอบป่าหิมะทั้งสี่ด้าน กั้นที่นี่และตำหนักด้านหน้าไว้อย่างสิ้นเชิง
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ในศาลาหิมะ คอยฟังความเคลื่อนไหวที่อยู่ด้านหน้า เขาส่ายหน้าก่อนเอ่ย “คิดไม่ถึงเลยว่างานมงคลสมรสของพวกเขาจะจัดขึ้นที่นี่ ข้ายังคิดว่านางจะย้ายไปจัดที่ถนนไท่ผิงเสียอีก”
สวีโหย่วหรงถอนสายตาที่เฝ้ามองดอกล่าเหมยกลับมา นางเอ่ยตอบ “นางไม่ยินดีที่จะเป็นเพื่อนบ้านกับท่านอ๋องเหล่านั้น และถนนไท่ผิงก็ให้ความทรงจำที่ไม่ดีกับนางสักเท่าไหร่”
เมืองหลวงและเมืองลั่วหยางในปีนี้หนาบเหน็บนัก แต่ตามเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฤดูเหมันต์ก็ใกล้จะจบสิ้นลงเต็มที
ต้นล่าเหมยที่อยู่นอกศาลาสองสามต้นนั้น เปล่งประกายสีแดงฉูดฉาดและเย้ายวน บางทีผ่านไปอีกlสักสองสามวันก็คงมองไม่เห็นแล้วกระมัง
เฉินฉางเซิงมองไปยังต้นล่าเหมยเหล่านั้น นึกไปถึงเมื่อสามปีก่อนที่ม่ออวี่และเจ๋อซิ่ว ประหารชีวิตโจวทงด้วยการตัดชิ้นส่วนมือและเท้าบนถนนไท่ผิง เขาอดไม่ไหวต้องถอนใจออกมา
เกล็ดน้ำแข็งหิมะบนกิ่งเหมยค่อยๆ ตกลงมา นั่นก็เป็นเพราะว่าสวนดอกไม้ทางด้านหลังมีลมพัดมาหอบใหญ่
ม่ออวี่ ปรากฏตัวขึ้นหลังจากพายุหิมะ
การแต่งหน้าของนางในวันนี้จัดจ้านยิ่งนัก แต่ไม่ล้าสมัยเลย เพียงงดงามสะดุดตา ราวกับโลหิตที่คล้ายกับดอกเหมยนั่นเอง
เฉินฉางเซิง ไม่ทันยังไม่ทันได้กล่าวแสดงความยินดี กลิ่นหอมอบอวลก็เข้ามาปะทะกับกายตนทันที
ม่ออวี่กอดเขาไว้ในอ้อมอก
เฉินฉางเซิงตกตะลึง อยากจะผลักนางออก เมื่อเห็นความเหนื่อยล้าที่ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วและดวงตานาง และการแต่งหน้าเข้มปานนี้ยังไม่สามารถปกปิดได้ เขาก็ทนไม่ได้รั้งกายออก
ม่ออวี่โผเข้าสู่ซอกคอเขาพร้อมทั้งสูดหายใจลึก ก่อนเอ่ย “สบายจริงๆ เสียดายที่อีกหน่อยคงไม่ได้ดมอีกแล้ว”
สวีโหย่วหรงเลิกคิ้ว นางหันกลับไป
ม่ออวี่มองนางก่อนเอ่ยเยาะ “เมื่อไม่เห็น ใจก็สงบ หากท่านไม่โกรธ เหตุใดต้องหันหนีไปเล่า”
“โหย่วหรงไม่เป็นไร โหย่วหรงไม่โกรธ”
สวีโหย่วหรงมองไปยังต้นล่าเหมยที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยกับตัวเองไปด้วย
หลังจากนั้นนางก็หันกลับมา มองไปที่ม่ออวี่พลางยกยิ้มอย่างน่ารักก่อนเอ่ย “ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
ม่ออวี่มองไปที่นาง ก่อนเอ่ยเยาะเย้ยว่า “เจ้าก็เสแสร้งต่อไปเถอะ”
ไม่มีผู้ใดเข้าใจสวีโหย่วหรงไปมากกว่านาง
นางรู้ดีว่านิสัยของสวีโหย่วหรงแปลกประหลาดถึงเพียงใด มันแตกต่างกับภายนอกอย่างสิ้นเชิง
สวีโหย่วหรงมองไปทางเฉินฉางเซิง ก่อนเดินออกนอกสวนไป
มือทั้งสองข้างของเขาอ้าออกอยู่อย่างนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตนนั้นสัมผัสกับร่างกายของม่ออวี่ได้โดยตรง ดูแล้วช่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ยิ่งนัก
เมื่อเห็นว่าสวีโหย่วหรงไปแล้ว ม่ออวี่จึงได้ปล่อยมือ
ภายใต้ศาลาหิมะยามนี้เหลือเพียงพวกเขาสองคน
บรรยากาศดูมีลับลมคมในยิ่งนัก แน่นอนว่าก็ต้องกระอักกระอ่วนยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเฉินฉางเซิงแล้ว
…ไม่ว่าจะเป็นเพราะม่ออวี่จงใจจะทำให้สวีโหย่วหรงโกรธจนไปเสีย หรือว่านางเองก็ตั้งใจที่จะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้มีโอกาสอยู่กันตามลำพัง
ทันใดนั้นตำหนักด้านหน้าก็กดเสียงครึกโครม เฉินฉางเซิงรีบเอ่ย “ความนิยมของท่านอ๋องดูเหมือนจะไม่เลวเลย”
“เรื่องความนิยมพรรค์นี้ ก็ต้องดูว่ามันจะเกิดภัยคุกคามต่อคนอื่นหรือไม่ ดังนั้นความนิยมของข้าแต่ไหนแต่ไรก็ล้วนเป็นเรื่องไม่ดี”
ม่ออวี่เอ่ยว่า “พี่น้องของข้าเหล่านั้นหรือแม้แต่หลานชายเองก็ล้วนดูแคลนเขา เพียงแต่ว่า…อย่างจงซานอ๋องหรือหลูหลิงอ๋องยังนับว่าชื่นชอบอยู่บ้าน อย่างว่าตระกูลเฉินก็มีคนแปลกแยกอย่างเขาอย่างนี้ ที่ไม่สนใจในเรื่องอำนาจบาตรใหญ่เอาเสียเลย ไม่มีแม้แต่ความทะเยอทะยาน ความกล้าหาญมีน้อยเสียจนน่าสงสาร”
ความขี้แยของหลัวหยางอ๋องเป็นที่ล่ำลือนัก เฉินฉางเซิงก็ไม่กล้าเอ่ยอันใดมาก
จู่ๆ ม่ออวี่ก็มองไปที่เขาก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านรู้ไหมว่าเฉินหลิวอ๋องพูดอย่างไรเมื่ออยู่ในอารามฉางชุน”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็แน่ใจ เมื่อครู่นี้นางจงใจทำให้สวีโหย่วหรงโกรธจนจากไปนั่นเอง
“เฉินหลิงอ๋องเอ่ยว่านางกำลังคลั่ง”
ม่ออวี่จ้องตาเขาก่อนเอ่ย “ข้าเชื่อในการตัดสินใจของเขา”
เฉินฉางเซิงชะงักไปก่อนเอ่ย “ข้าไม่เข้าใจเจตนาของท่าน”
“ตั้งแต่ที่นางยังเล็ก ข้ากับเฉินหลิวอ๋องและยังมีผิงกั๋วก็รู้จักนาง เพียงแต่พวกเราไม่ทราบว่านางเป็นใครกันแน่ นางไม่ใช่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รับประทานอาหารอย่างที่พวกศิษยานุศิษย์คิดจินตนาการกัน ทั้งยังไม่ใช่มนุษย์หิมะที่เยือกเย็นดุจหยก นางแจ้งแก่ใจในเป้าหมายของตนนัก นางเย็นชากับโลกนี้ทั้งใบ แต่เจ้ารู้ไหมว่านั่นหมายความถึงสิ่งใด”
“คำกล่าวเหล่านี้เจ้าเคยบอกกับข้าแล้ว ข้าไม่คิดว่านางกับจักรพรรดินีเทียนไห่เป็นคนประเภทเดียวกัน”
“ช่วงนี้นางทำเรื่องราวต่างๆ มากมายนัก หรือว่าเรื่องเหล่านี้ยังไม่สามารถทำให้ท่านตื่นตัวได้สักหน่อยหรือ”
“เพราะข้ายังไม่เคยได้รับความเย็นชาจากนางเลย”
ม่ออวี่คิด อดไม่ได้ที่จะยอมรับก่อนเอ่ย “น่าปฏิบัติกับท่านแตกต่างกับคนอื่นนัก”
เฉินฉางเซิงเอ่ยอย่างตั้งใจว่า “อย่างนั้นข้ามีอะไรให้ต้องกังวลกันเล่า”
ม่ออวี่เอ่ยอย่างขุ่นข้องเล็กน้อย “วันนี้คือวันยิ่งใหญ่แห่งการสมรสของข้า ไม่ต้องมาโอ้อวดต่อหน้าข้าได้หรือไม่”
เฉินฉางเซิงเอ่ยถามอย่างงุนงง “พวกเราอวดอะไรกัน”
“ถังซานสือลิ่วเอ่ยไว้ไม่ผิดเลย”
ม่ออวี่เอ่ยอย่างเคียดขึ้ง “ช่างเป็นคู่รักที่……เสียจริง”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “เด็กชายและเด็กหญิงที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ร่าเริงสดใสน่ะหรือ”
ม่ออวี่เอ่ยอย่างเย็นชา “ตรัสรู้เอาเองเถอะ”