ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 24 จัดการเรื่องราวราชวังหลี

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เมื่องานมงคลของหลัวหยางอ๋องกับม่ออวี่สิ้นสุดลง สายตาผู้คนแห่งนครหลวงก็หันไปจับจ้องงานมงคลอีกงาน

ในตอนนี้ในราชสำนักมีการแบ่งแยกฝักฝ่ายเป็นสองฝ่ายอยู่ลับๆ ขุนนางจากราชวงศ์ก่อนซึ่งมีขันทีอาวุโสหลินกงกงเป็นตัวแทนย่อมเป็นฐานให้กับจักรพรรดิผู้ทรงพระเยาว์ และตอนนี้หลัวหยางอ๋องกับม่ออวี่ก็ได้เข้ามาร่วม ส่วนฝ่ายอำนาจทางการทหารซึ่งมีเหล่าท่านอ๋องจากตระกูลเฉินอย่างเซี่ยงอ๋อง จงซานอ๋องรวมถึงเชื้อสายโดยตรงของเฉินกวนซงเป็นตัวแทนนั้นก็เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง และตระกูลเทียนไห่คอยเวียนวนไปมาระหว่างทั้งสองฝ่าย หลังสิ้นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลเทียนไห่ย่อมได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง แต่ตระกูลนี้เคยมีอิทธิพลต่อราชสำนักมายาวนานกว่าสองร้อยปี รากฐานและอำนาจยังคงเหลืออยู่ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองข้ามการมีอยู่ของตระกูลนี้ได้

งานมงคลระหว่างเฉินหลิวอ๋องและผิงกั๋ว เมื่อตีความจากมุมหนึ่งดูแล้วพอกล่าวได้ว่าเป็นตัวแทนของการผูกพันธมิตรระหว่างจวนเซี่ยงอ๋องและตระกูลเทียนไห่ ในฐานะราชสกุลฝ่ายพระมารดาจักรพรรดิ ตระกูลเทียนไห่ย่อมต้องยืนฝ่ายเขาอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะเลื่อนงานแต่งครั้งนี้ออกไป ตรงกันข้าม เมื่อสวีโหย่วหรงเข้าวังมาแล้ว กำหนดการวันงานมงคลกลับถูกเลื่อนเข้ามา

เทียนไห่เฉิงอู่ดูแก่ขึ้นกว่าเมื่อสามปีมาก การบำเพ็ญพรตจนเข้าสู่ภาวะกึ่งเทพดูไปแล้วก็ยังไม่อาจต้านทานอำนาจแห่งกาลเวลาได้

เขามองไปยังลูกชายของตนแล้วพูดขึ้นอย่างฮึกห้าว “บางทีตอนนั้นเจ้าอาจจะถูกก็ได้ แต่เมื่อถึงตอนนี้แล้ว พวกเราไม่อาจกลับตัวได้แล้ว”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดขึ้น “พระองค์จะทรงต้องการพลังของพวกเราแน่”

“แต่เมื่อเรื่องราวนี้จบลงเล่า”

สีหน้าของเทียนไห่เฉิงอู่เผยให้เห็นรอยยิ้มเยาะ

“หากพระองค์หมายจะร่วมมือกับเฉินฉางเซิง นั่นหมายความว่าเป็นการละเมิดต่อท่านปรมาจารย์เช่นนั้นแล้วเขาจะมีอะไรมาอ้างได้”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยนิ่งเงียบ ไม่คิดจะทัดทานอะไรต่ออีก

ไม่ว่าการใดล้วนแต่จำเป็นต้องมีข้ออ้างอันเหมาะสม นี้คือความชอบธรรมที่จะลงมือกระทำ

หากจักรพรรดิผู้ทรงพระเยาว์ทรงทำเช่นนั้นจริงๆ และประสบผลสำเร็จ เช่นนั้นแล้วผู้ซึ่งได้ทรยศต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ในตอนนั้น ต้องได้รับการลงโทษอย่างแน่นอน

สำหรับตระกูลเทียนไห่ ต้องถูกกวาดล้างเป็นอันดับแรกอย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย

……

……

ฤดูหนาวปีนี้หนาวเหน็บเป็นพิเศษ ดูราวกับไม่มีวันจบสิ้น

แต่มีวันหนึ่งพายุหิมะจู่ๆ ก็หยุดลง แสงตะวันแทรกผ่านชั้นเมฆอันหนาทึบ สาดส่องลงมายังนครหลวงและลำธารป่าเขา โลกทั้งใบอุ่นขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ฤดูใบไม้ผลิมาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว

ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว สรรพสิ่งกลับคืนสู่ชีวิต เช่นเดียวกับแม่น้ำที่เริ่มไหลพรั่งพรูอีกครั้งนอกนครหลวง เรื่องราวที่ถูกพักไว้ถึงเวลาเริ่มใหม่อีกครั้ง

สังฆราชหวนคืนสู่นครหลวง ไม่ว่าจะราชวังหลีกงหรือราชสำนักก็ไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่จะหยุดดำเนินการสอบใหญ่

เรื่องใหญ่สำคัญที่ถูกพักไว้นานกว่าสามปีนี้ ช่วงเวลาหนึ่งสะกดสายตาของทั้งดินแดนเอาไว้

เช่นเดียวกับฤดูใบไม้ผลิที่มากะทันหัน ข่าวการสอบใหญ่ก็กะทันหันเช่นกัน ย่อมไม่อาจเตรียมสอบได้ทัน และไม่มีการชุมนุมไม้เลื้อยเช่นกัน

นักเรียนที่ศึกษาอยู่ยังหกสำนักไม้เลื้อยรวมถึงนักเรียนจากแว่นแคว้นทั้งหลายต่างพากันเข้าสู่การเล่าเรียนอย่างโดยทันที เหล่าลูกศิษย์ซุ้มประตูภูเขาไกลออกไปทางใต้ ก็ได้เริ่มเตรียมสัมภาระ พรรคฉางเซิงถูกทิ้งร้าง รวมถึงสถานศึกษาหนานซี สำนักต้นไหว พรรคกระบี่หลีซาน รวมได้สี่สิบกว่าพรรคส่งศิษยานุศิษย์เข้าร่วมการสอบใหญ่ในปีนี้ ยังดีที่ครั้งนี้ไม่มียอดอัจฉริยะอย่างเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ และไม่มีคนอย่างจงฮุ่ย ดังนั้นแรงกดดันที่สำนักไม้เลื้อยแต่ละแห่งได้รับนั้นเบากว่าปีที่ผ่านมาอย่างมาก

แต่นี่คือการจัดสอบใหญ่ครั้งแรกนับแต่จักรพรรดิผู้ทรงพระเยาว์และใต้เท้าสังฆราชขึ้นครองอำนาจ ไม่มีใครที่กล้าจะละเลยความสำคัญ

อัศวินองครักษ์คอยลาดตระเวนสอบอยู่นอกกำแพงสำนักฝึกหลวงไม่หยุด เหล่าพ่อค้าหาบเร่ถูกไล่ออกไปนอกตรอกไป่ฮวา หอสุราซึ่งมีเส้นสายอยู่บ้างก็ถูกเรียกร้องให้เปิดดำเนินการในช่วงเวลาจำกัด

ในสำนักฝึกหลวงเงียบสงบได้ยินเพียงเสียงอ่านหนังสือและฝึกกระบี่ ซูม่ออวี๋นักเรียนที่เข้าร่วมกันยกใหญ่เตรียมตัวครั้งสุดท้าย แม้แต่ถังซานสือลิ่วเองก็ไม่ได้กลับไปยังพระราชวังหลีอีก เฝ้าจับตาดูนักเรียนเหล่านั้นในสำนักฝึกหลวงอยู่ทั้งวัน ส่งเสียงตำหนิสั่งสอนอย่างเข้มงวดอยู่เป็นพักๆ

เฉินฉางเซิงยังควบหน้าที่เจ้าสำนักแห่งสำนักฝึกหลวง แต่ติดขัดด้วยฐานะจึงไม่อ่านทำอะไรได้ ไม่แม้กระทั่งเอื้อนเอ่ยใดๆ

……

……

กว่าจะถึงวันสอบใหญ่ยังมีเวลาอีกเจ็ดวัน ถังซานสือลิ่วเดินเข้าไปยังพระราชวังหลี

พระราชวังหลีไม่ได้ห้ามให้เหล่านักบวชเข้าออก แต่ก็ยังคงสงบเงียบวังเวงเหมือนเมื่อสามปีก่อน

หรืออาจจะเป็นเพราะตำหนักทั้งหกอย่างตำหนักหญ้าจันทรา ลานตะไคร่มีพื้นที่ครึ่งหนึ่งว่างเปล่า

ตำแหน่งมุขนายกของเหมาชิวอวี่ นักพรตไป๋สือและมู่จิ่วซือ ตอนนี้ยังไม่ได้กำหนดตัว

ผู้ซึ่งเข้าแทนที่ตำแหน่งมู่จิ่วซือ ตอนนี้ไม่มีพลังที่จะจัดการเรื่องราวในวิหารปฏิญญาได้เลยสักนิดหรือแม้แต่จัดการธุระของพระราชวังหลีได้อย่างรอบด้าน ราชันย์แห่งหลิงไห่นำคนชุดดำจากตำหนักเทียนไห่เหล่านั้นเข้าควบคุม จับตามองความเคลื่อนไหวของราชสำนัก หลังจากเฉินฉางเซิงกลับนครหลวง นักพรตซือหยวนพอดีไปจากตำหนักขบวนรถอริพ่ายโดยเร็ว ไปทำหน้าที่ประกาศเผยแผ่อันสำคัญยังดินแดนแว่นแคว้นต่างๆ และเมื่อสิบวันก่อน อันหวาก็ได้นักบวชและสานุศิษย์ผู้คลั่งไคล้นับร้อยมา และเข้าร่วมการประกาศเผยแพร่ครั้งนี้ด้วย

ถังซานสือลิ่วถาม “ตำแหน่งมุขนายกโองการศักดิ์สิทธิ์ใครมารับช่วงต่อดี”

เฉินฉางเซิงตอบกลับ “อีกสามปีให้หลัง นางจะกลับมาดูแลจัดการเรื่องราวในตำหนักวัฒนธรรม”

คำว่านางที่อยู่ในประโยคนี้นั่นหมายถึงมุขนายกอันหลิน

ถังซานสือลิ่วอึ้งเล็กน้อย เมื่อคิดสักครู่ก็รู้สึกว่านี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด

มุขนายกอันหลินแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อกฎอย่างรุนแรงใดๆ มีเพียงขาดความเชื่อใจต่อเฉินฉางเซิงเท่านั้น

ออกจากนครหลวงไปบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากอยู่สามปี คงจะพอชดใช้ความผิดพลาดที่นางได้ก่อเอาไว้ นางผู้มาจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้า ให้ปกครองตำหนักวัฒนธรรมดูเหมาะสมกว่าจริงๆ

แน่นอน เขารู้ว่าที่เฉินฉางเซิงวางแผนเช่นนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะอันหวา

“เช่นนั้นแล้วมุขนายกโองการศักดิ์สิทธิ์เล่า”

“อืม…ข้าจะเก็บไว้ให้ลั่วลั่ว…รอนางขึ้นครองบัลลังก์ ค่อยวางแผนอีกที”

ถังซานสือลิ่วตอบรับอย่างเห็นด้วย “เยี่ยม!”

ตอนแรกมู่จิ่วซือใช้ฐานะจักรพรรดินีแห่งดินแดนต้าซีเข้ารับตำแหน่งมุขนายกตำหนักวัฒนธรรม เพราะเผ่ามนุษย์ต้องการมิตรภาพกับดินแดนต้าซี และเผ่ามนุษย์ยังต้องการเป็นพันธมิตรกับเผ่าปีศาจ ลั่วลั่วในฐานะเจ้าหญิงเผ่าปีศาจ ต่อให้ควบรับตำแหน่งมุขนายกโองการศักดิ์สิทธิ์อยู่ไกลออกไปถึงแปดหมื่นลี้ แล้วแต่มีใครจะพูดอะไร

ถังซานสือลิ่วถาม “แล้วฝั่งเจ้าสำนักเหมาเล่า”

เฉินฉางเซิงตอบ “เขาเสนอจวงจือห้วน ข้าไม่ได้เห็นด้วย”

ถังซานสือลิ่วนิ่งอึ้ง

เหมาชิวอวี่จากไปไม่ใช่เป็นเพราะทำความผิด แต่เป็นเพราะบรรลุสู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ หากเปรียบเทียบกับในราชสำนัก ก็อาจนับได้ว่านี่คือการเลื่อนขั้น

ก่อนจะจากไป ข่าวได้แนะนำผู้สืบทอดอำนาจตำหนักอิงหัวกับสังฆราช นี่คือเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ปกติย่อมไม่ถูกปฏิเสธ

เฉินฉางเซิงทำเช่นนี้อาจเรียกได้ว่าไม่ไว้หน้าเหมาชิวอวี่และสำนักเทียนเต้าเป็นอย่างมาก ยิ่งความรู้สึกของจวงจือห้วนแค่ก็พอที่จะนึกออก

ถังซานสือลิ่วเข้าใจเหตุผลที่เฉินฉางเซิงไม่เห็นด้วยเรื่องจวงจือห้วน ไม่ได้ร้องขอ เพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะรับมือยากอย่างมาก ตำแหน่งของตำหนักอิงหัวนั้นพิเศษ เมื่อเทียบกับจวงจือห้วน ไม่ว่าจะมุขนายกแห่งหอจงซื่อหรือจะสำนักจวนราชวังหลีและมหามุขนายกแห่งกระทรวงสิบสามชิงเหย้ามารับไม้ต่อ ก็ยังยากที่สยบผู้คนได้ สำหรับตัวเขาและซูม่ออวี๋จากสำนักฝึกหลวงยิ่งไม่ต้องพูดถึง เฉินฉางเซิงจะไม่มีวันให้เหล่าสานุศิษย์เห็นภาพลักษณ์ของผู้เลือกใช้คนสนิทโดยไม่คำนึงความสามารถแน่นอน และความสามารถของตัวเขาและซูม่ออวี๋เองก็ช่างอ่อนหัดนัก

แล้วผู้ใดเล่าจะมารับช่วงมุขนายกตำหนักอิงหัว

เฉินฉางเซิงเอ่ยชื่อหนึ่งซึ่งคาดไม่ถึงออกมา

กวนไป๋