ฉินอวี้โม่ปฏิเสธเฉินหว่านเอ๋อร์อย่างตรงไปตรงมาซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนคาดไม่ถึง เดิมทีคนเหล่านั้นคิดว่ามดปลวกจากดินแดนระดับต่ำที่ได้รับคำเชิญจากเฉินหว่านเอ๋อร์คงจะรู้สึกยินดีอย่างมากที่ได้เข้าร่วมกับฝ่ายของนางแทนที่จะปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเช่นนี้
แม้ศิษย์นอกทั้งหมดจะมีคุณสมบัติในการเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ใน ทว่าข้อกำหนดเบื้องต้นของพวกเขาคือต้องอาศัยอยู่ในหอชั้นนอกก่อน หากทำให้เฉินหว่านเอ๋อร์ขุ่นเคืองใจขึ้นมา นางอาจหาทางขัดขาฉินอวี้โม่จนสะดุดล้มและพลาดโอกาสนั้นไป
“ในเมื่อศิษย์น้องอวี้โม่ไม่ต้องการ ข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า แต่หากศิษย์น้องอวี้โม่นึกเปลี่ยนใจขึ้นมา ข้ายินดีต้อนรับเจ้าเข้าฝ่ายเสมอ !”
เฉินหว่านเอ๋อร์คลี่ยิ้มราวกับไม่สะทกสะท้านที่ถูกฉินอวี้โม่ปฏิเสธและสภาวะอารมณ์ของนางก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
“หึ วางมาดเสแสร้ง !”
ไม่ไกลออกไป เถียนซินและสวีเยว่ตะโกนเสียงดังออกไปโดยไม่คิดปิดบังความเป็นปฏิปักษ์ที่มีต่อเฉินหว่านเอ๋อร์
ทั้งสองก็ไม่มีความคิดที่จะชักชวนฉินอวี้โม่เข้าร่วมฝ่ายแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรมดปลวกจากดินแดนระดับต่ำก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกนาง โชคดีที่ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ไม่ได้เลือกพักอยู่ในเรือนเดียวกับพวกนาง มิเช่นนั้นทั้งสองคงจะคัดค้านเสียงแข็ง
“พี่อวี้โม่ก็เหมือนกับข้าและพี่เหลิ่ง เราไม่ต้องการเข้าร่วมฝ่ายใดและไม่อยากเป็นศัตรูของพวกท่าน แต่ถ้าหากใครหน้าไหนคิดหาเรื่องหรือสร้างปัญหาให้กับพวกเราละก็ อย่าหาว่าพวกเราไม่เตือนก็แล้วกัน !”
เถาเซี่ยวเซี่ยวจับมือฉินอวี้โม่และกล่าวเสียงดังฟังชัดเพื่อแสดงความสนับสนุนต่อจุดยืนของนาง
เหลิ่งซวงเสวี่ยก็ก้าวออกมายืนเคียงข้างฉินอวี้โม่เช่นกัน แม้ไม่กล่าวสิ่งใด ทว่าทัศนคติท่าทางของนางก็ชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัยว่ายินดีที่จะสนับสนุนและอยู่เคียงข้างฉินอวี้โม่
“จะเกิดเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ? ถึงอย่างไรเราทั้งหมดก็เป็นศิษย์นอกด้วยกัน หากมีผู้ใดที่กล้ารังแกศิษย์น้องอวี้โม่ละก็ ข้าก็ไม่ยอมเช่นกัน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินหว่านเอ๋อร์ดูแข็งทื่อมากขึ้นทว่าผู้ที่อยู่ไกลออกไปมิอาจสังเกตเห็น หลังจากกล่าววาจาที่สวนทางกับความคิดในใจ นางก็หันหลังกลับและเดินไปยังจุดประจำของฝ่ายตนเอง
หลังจากรอเวลาครู่ใหญ่ ผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งของหอชั้นนอกก็ปรากฏตัวที่ลานจัตุรัส
บรรดาผู้อาวุโสไม่กล่าวสิ่งใดมากนักโดยกล่าวเพียงว่าใกล้ถึงการประเมินเพื่อเข้าร่วมหอชั้นในแล้วและกำชับให้ทุกคนทุ่มเทฝึกฝนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ พวกเขายังกำชับให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎของหอชั้นนอกและย้ำเตือนมิให้ทำสิ่งใดที่จะเป็นการทำให้หอชั้นนอกต้องอับอายขายหน้า
ทุกคนพยักศีรษะและแสดงสีหน้าที่เคารพนอบน้อม
หลังจากเวลาผ่านไปสองก้านธูปและผู้อาวุโสเหล่านั้นแยกย้ายกันกลับไปแล้ว เถาเซี่ยวเซี่ยวก็ดึงมือฉินอวี้โม่และนำนางไปรับประทานอาหารเช้าที่โรงครัวด้วยกัน
เหลิ่งซวงเสวี่ยก็ไม่มีธุระอันใด นางจึงเดินตามทั้งสองไปอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าจะไม่กล่าวสิ่งใดตลอดเวลาที่ผ่านมา ทัศนคติท่าทางของนางก็ชัดเจนมากพอแล้ว ในระหว่างนี้ เถาเซี่ยวเซี่ยวพูดคุยกับนางเช่นเดิมทว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยยังคงเมินเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
เถาเซี่ยวเซี่ยวไม่ผิดหวังแต่อย่างใดขณะคุยจ้อกับฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยอย่างไม่หยุดหย่อน
หอชั้นนอกมีโรงครัวอยู่หลายหลังด้วยกันและมีอาหารเช้าที่เพียบพร้อมอุดมสมบูรณ์ ทั้งสามเดินตรงไปยังโรงครัวที่ใกล้เรือนที่พักของพวกตนมากที่สุดก่อนหาที่ว่างนั่งลงอย่างสบาย ๆ
หลังจากสั่งอาหารที่แต่ละคนต้องการ ทั้งสามก็รับประทานร่วมกันอย่างมีความสุข
นับตั้งแต่ที่พบกันในตอนเช้าตรู่ ตอนนั้นเวลาก็ยังไม่ถึงหกโมงเช้าด้วยซ้ำ เวลานี้ครึ่งชั่วยามได้ผ่านไปแล้วและยังไม่ถึงเวลาแปดโมงเช้าซึ่งถือเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการรับประทานอาหารมื้อเช้า ศิษย์นอกจำนวนมากจึงทยอยกันเข้ามาที่โรงครัวอย่างต่อเนื่อง ภายในเวลาเพียงไม่นาน ทั่วบริเวณห้องโถงของโรงครัวก็เต็มไปด้วยผู้คน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็สังเกตเห็นศิษย์สามคนที่ยกจานอาหารมุ่งหน้ามายังโต๊ะของนางโดยตรง
“สวัสดีศิษย์น้องอวี้โม่ พวกเราเป็นสหายของหนูอ้วนเถา พวกเราจะขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่ ?”
ทั้งสามชี้ไปยังที่นั่งว่างและเอ่ยถาม
ความแข็งแกร่งของทั้งสามบรรลุถึงขอบเขตเทพเซียนแล้วและผู้ที่ทรงพลังที่สุดในกลุ่มอยู่ในขอบเขตเทพเซียนสองดาราซึ่งถือเป็นระดับที่ยอดเยี่ยมพอสมควร พวกเขามีอายุไล่เลี่ยกับเถาเซี่ยวเซี่ยวและใบหน้ายังคงมีความเป็นเด็กเจือปนเล็กน้อย เพราะเหตุนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าพวกเขามิใช่คนที่ยากจะผูกมิตรด้วย
“พี่อวี้โม่ พวกเขาสามคนเป็นองครักษ์ของข้าเอง พวกเขาช่วยข้าไว้มากและเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การผูกมิตร”
เถาเซี่ยวเซี่ยวยืนขึ้นและกล่าวแนะนำคนทั้งสามให้ฉินอวี้โม่รู้จัก
สิ่งที่น่าทึ่งคือแม้พวกเขาทั้งสามจะมีรูปลักษณ์ที่ไม่คล้ายคลึงกันมากนัก ทว่าพวกเขาก็เป็นแฝดสามพี่น้องจากมารดาคนเดียวกัน ผู้ที่มีอายุมากที่สุดมีนามว่า ‘เมิ่งฝาน’ และตามด้วย ‘เมิ่งเถียน’ และ ‘เมิ่งจวิน’
เมื่อพวกเขานั่งลง ฉินอวี้โม่ก็สังเกตเห็นถึงความแตกต่างระหว่างพวกเขาได้อย่างชัดเจน เมิ่งฝานดูสงบนิ่งและใจเย็นมากที่สุด เมิ่งเถียนเองก็มิใช่คนที่พูดจามากนัก ทว่าในทางกลับกัน เมิงจวินเป็นคนช่างจ้อเช่นเดียวกับเถาเซี่ยวเซี่ยว
“ศิษย์น้องอวี้โม่ หากต้องการสิ่งใดหรือขาดเหลืออะไรในอนาคตก็สามารถบอกพวกเราได้เลย พวกเรายินดีช่วยอย่างเต็มที่”
เขาตบหน้าอกของตนเองอย่างกระตือรือร้นและกล่าวยืนยันให้ฉินอวี้โม่เชื่อมั่น
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะรับทราบและรู้สึกถูกชะตากับคนทั้งสามไม่น้อย
“อะไรนะ ? ศิษย์น้องอวี้โม่งั้นรึ ? พวกเจ้าควรจะเรียกนางว่าพี่อวี้โม่เหมือนกับข้า อย่าคิดล่ะว่าแข็งแกร่งกว่าแล้วจะรังแกพี่อวี้โม่ได้ เชื่อข้าเถอะว่าข้าจะอัดพวกเจ้าจนน่วม”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูแคลนและยกกำปั้นปัดป่ายไปมาขณะเน้นย้ำคำว่า ‘พี่อวี้โม่’
“พี่อวี้โม่ ข้าได้ยินว่าท่านมีพื้นเพมาจากดินแดนมหาเทพ ดินแดนมหาเทพเป็นอย่างไรหรือ ? ที่นั่นมีจอมยุทธ์ที่ทรงพลังเหมือนกับท่านเป็นจำนวนมากหรือไม่ ?”
เมิ่งจวินเปลี่ยนสรรพนามคำเรียกอย่างรวดเร็วและกล่าวได้อย่างไม่ติดขัด ถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็มีอายุมากกว่าพวกเขาจริงและการเรียกนางว่า ‘พี่อวี้โม่’ ก็มิใช่เรื่องแปลก
“มีมากเชียวล่ะ แม้ว่าทรัพยากรในดินแดนระดับต่ำจะมีน้อยกว่าดินแดนระดับสูงและมีสภาวะพลังที่บางเบามากกว่า ทว่าบรรดาอัจฉริยะของดินแดนระดับต่ำก็ไม่ด้อยไปกว่าอัจฉริยะในดินแดนระดับสูงเลย”
ฉินอวี้โม่กล่าวถึงสถานการณ์ของดินแดนมหาเทพอย่างคร่าว ๆ ซึ่งทำให้เมิ่งฝานและอีกสองคนมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับดินแดนที่อยู่ในระดับต่ำกว่า
“จะว่าไปแล้ว…ข้าอยากรู้ว่าเงื่อนไขในการเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ในของนิกายหมื่นกระบี่เป็นอย่างไรหรือ ?”
ฉินอวี้โม่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาและเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยใคร่รู้มากที่สุดในตอนนี้
นิกายหมื่นกระบี่เป็นขุมกำลังระดับสองของดินแดนและแกร่งกล้าพอสมควร หากนางได้เป็นศิษย์ในหรือเป็นศิษย์เอกของนิกาย มันจะเป็นประโยชน์ต่อนางมากทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็สนใจเพลงกระบี่ที่เลื่องชื่อของนิกายหมื่นกระบี่ซึ่งมีชื่อว่า ‘หมื่นกระบี่หวนคืน’ เป็นอย่างมาก มีเพียงศิษย์หลักของนิกายเท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้หมื่นกระบี่หวนคืนและทักษะยุทธ์ทรงพลังอื่น ๆ ได้ แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ต้องการเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ในของนิกายให้ได้โดยเร็วที่สุด
“พี่อวี้โม่ หากพวกเราศิษย์นอกต้องการจะเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ใน เราต้องผ่านการประเมินเพื่อเป็นศิษย์ในก่อน ตราบใดที่อยู่ในหอชั้นนอกติดต่อกันนานสามเดือน เราจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการประเมินนั้น และหากผ่านการประเมิน เราก็จะได้เข้าไปที่หอชั้นใน ตอนนี้ท่านยังเป็นเพียงศิษย์ฝึกหัดเท่านั้นและยังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งเดือนจึงจะมีสิทธิ์เป็นศิษย์นอกเต็มตัวหลังจากผ่านการประเมินของผู้อาวุโส และหลังจากนั้นอีกสามเดือน ท่านก็จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการประเมินเพื่อเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ใน”
เถาเซี่ยวเซี่ยวอธิบายกับฉินอวี้โม่อย่างคร่าว ๆ โดยไม่ปิดบังสิ่งใด
“ใช่ ถูกต้องแล้ว หนูอ้วนเถากล่าวถูกทุกประการ หากท่านไม่ผ่านการประเมินครั้งแรก ท่านจะต้องรอเวลาอีกหนึ่งปีจึงจะเข้าร่วมการประเมินเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ในได้อีกครั้ง คราก่อนพวกเราเข้าร่วมการประเมินแต่ทำผลงานได้ไม่ดีนักจึงต้องอยู่ที่หอชั้นนอกต่อไป หากคำนวณจากเวลา ข้าก็คงจะได้เข้าร่วมการประเมินพร้อมกับท่านในคราต่อไป”
เมิ่งฝานกล่าวต่อและเสริมเรื่องที่พวกเขาไม่ผ่านการประเมินในคราก่อน สำหรับพวกเขา เรื่องนี้ไม่ถือว่าเป็นปมที่ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้
การประเมินเพื่อเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ในของนิกายหมื่นกระบี่มิใช่เป็นการประเมินที่เรียบง่าย และความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวก็อาจจะไม่เพียงพอ…