หากต้องการเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ในของนิกายหมื่นกระบี่ ศิษย์เหล่านั้นจะต้องผ่านการประเมินที่เข้มงวด ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการทดสอบด้านพลังการต่อสู้และพรสวรรค์เท่านั้น ทว่ายังรวมถึงบุคลิกนิสัยของแต่ละบุคคลอีกด้วย
สำหรับผู้ที่มีจิตใจชั่วร้าย ต่อให้มีพลังที่แกร่งกล้า นิกายหมื่นกระบี่ก็ไม่ต้องการคนเหล่านั้น สำหรับศิษย์ที่จะเข้าร่วมนิกายหมื่นกระบี่ได้ คุณสมบัติแรกที่สำคัญที่สุดคือคนเหล่านั้นจะต้องมีศีลธรรมในหัวใจ
แน่นอนว่าความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นการต่อสู้ระหว่างแต่ละฝ่ายของหอชั้นนอกไม่ถือเป็นปัญหาร้ายแรงที่จะทำให้ศิษย์ขาดคุณสมบัติที่พึงมีไป
เพราะถึงอย่างไรก็มีเพียงการแข่งขันเท่านั้นที่จะช่วยให้จอมยุทธ์พัฒนาพลังได้เร็วขึ้นและมันถือเป็นสถานการณ์ที่ยอมรับได้
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จสิ้น ฉินอวี้โม่ เถาเซี่ยวเซี่ยวและเหลิ่งซวงเสวี่ยก็กลับไปยังเรือนที่พักของพวกตน
“พี่อวี้โม่ ปกติแล้วเราจะไม่สุงสิงกับคนในหอชั้นนอก ท่านจะฝึกฝนเพียงลำพังในห้องส่วนตัวหรือจะไปที่ลานประลองยุทธ์เพื่อประมือกับศิษย์คนอื่น ๆ ก็ย่อมได้ มันจะไม่มีปัญหาใด ๆ หอชั้นนอกของเรามีกฎที่ชัดเจนโดยอนุญาตให้ต่อสู้กันได้ตราบใดที่ไม่ทำร้ายกันจนเป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะเหตุนั้น หากไม่มีเหตุการณ์ที่หนักหนาจนเกินไป ผู้อาวุโสจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว”
เหลิ่งซวงเสวี่ยแยกกลับไปยังห้องพักของตนในขณะที่เถาเซี่ยวเซี่ยวเดินตามเข้ามาในห้องของฉินอวี้โม่และอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ของนิกายหมื่นกระบี่
การเก็บตัวในเรือนเพื่อฝึกวิชาและการไปที่ลานประลองยุทธ์เพื่อประมือกับผู้อื่นคือสองวิธีที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งได้เร็วที่สุด สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันของฉินอวี้โม่ การไปที่ลานประลองยุทธ์เพื่อประมือกับศิษย์คนอื่น ๆ และหาโอกาสในการทะลวงพลังจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แม้เถาเซี่ยวเซี่ยวจะมีอายุเพียงยี่สิบเอ็ดปี นางก็บรรลุขอบเขตเทพเซียนหนึ่งดาราแล้ว และโดยปกตินางมักใช้เวลาเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อฝึกฝนด้วยตัวเองและแทบจะไม่ออกไปที่ลานประลองยุทธ์
ในทางตรงกันข้าม เหลิ่งซวงเสวี่ยมักปรากฏตัวอยู่ที่ลานประลองยุทธ์เป็นประจำและผู้ที่เป็นคู่มือให้กับนางได้ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แม้แต่เฉินหว่านเอ๋อร์ เถียนซินและอีกหลายคนก็ยังมิใช่คู่มือของนาง
นั่นคือสาเหตุที่เฉินหว่านเอ๋อร์และเถียนซินแสดงทัศนคติท่าทางเช่นนั้นต่อฉินอวี้โม่
หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ เถาเซี่ยวเซี่ยวก็ขอตัวกลับไปที่ห้องของตนเพื่อฝึกฝนพร้อมกล่าวว่าจะไม่ออกมาในอีกเจ็ดวันข้างหน้า และหากฉินอวี้โม่มีเรื่องด่วนใดหรือต้องการสิ่งใดในระหว่างนี้ นางก็สามารถเข้าไปหาเมิ่งฝานได้
ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้รบกวนสหายร่วมเรือนทั้งสองและเก็บตัวอยู่ในห้องของตนเองเป็นพักใหญ่ก่อนเดินเท้าไปยังทิศทางของลานประลองยุทธ์
นางได้พบกับคนมากหน้าหลายตาในระหว่างทาง อย่างไรก็ตาม เมื่อคนเหล่านั้นสังเกตเห็นฉินอวี้โม่ พวกเขาก็เลือกที่จะหลบเลี่ยงออกไปและไม่เข้ามาทักทาย ในขณะเดียวกัน บางคนก็มองนางด้วยสายตาเหยียดหยามและเพียงพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาเมื่อเดินสวนทางกัน
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าผู้ที่เลือกหลบเลี่ยงออกไปน่าจะเป็นคนที่มีจุดยืนเป็นกลางโดยที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ส่วนผู้ที่แค่นเสียงอย่างไม่ปิดบังคือคนของฝ่ายเถียนซินและสวีเยว่ เห็นได้ชัดว่าทุกคนกำลังตีตัวออกห่างจากนาง
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่สนใจแม้แต่น้อย หลังจากปฏิเสธเฉินหว่านเอ๋อร์อย่างไม่ไว้หน้าในคราก่อน นางก็คาดเดาผลลัพธ์เช่นนี้ไว้แล้ว ถึงอย่างไรนางก็ไม่คิดจะอยู่ที่หอชั้นนอกนานนัก ตราบใดที่คนเหล่านี้ไม่เข้ามาหาเรื่องหรือสร้างปัญหากวนใจก่อน นางก็จะเพิกเฉยต่อพวกเขาไปโดยตรง ทว่าหากผู้ใดกล้าก่อกวนใจ นางก็จะไม่ปรานีเช่นกัน
ลานประลองยุทธ์ของหอชั้นนอกตั้งอยู่ถัดจากลานจัตุรัสและเป็นลานกว้างที่มีขนาดใหญ่มาก
ในเวลานี้ จอมยุทธ์จำนวนมากกำลังรวมตัวกันอยู่ที่ลานประลองยุทธ์
ศิษย์นอกหลายคนมาที่นี่เพื่อเรียนรู้วิชาจากคู่ต่อสู้และพัฒนาฝีมือไปพร้อม ๆ กัน สำหรับฝ่ายของเฉินหว่านเอ๋อร์และเถียนซินซึ่งเป็นศัตรูคู่อริกัน พวกนางก็ชอบที่จะท้าประลองกันเป็นครั้งคราวส่งผลให้ลานประลองของหอชั้นนอกมีชีวิตชีวายิ่งนัก
ฉินอวี้โม่ก้าวเข้าไปในบริเวณลานประลองโดยไม่ดึงดูดสายตาของผู้ใดนัก
เวลานี้ จอมยุทธ์สองคนกำลังประชันฝีมือกันอย่างดุเดือดบนสังเวียนและเป็นที่สนใจของสายตาทุกคู่
ความแข็งแกร่งของทั้งสองบรรลุขอบเขตเทพเซียนสองดาราแล้วและถือเป็นศิษย์อันดับต้น ๆ ในบรรดาศิษย์นอกทั้งหมด คนหนึ่งมาจากฝ่ายของเฉินหว่านเอ๋อร์ในขณะที่คู่ต่อสู้มาจากฝ่ายของเถียนซิน
ส่วนบรรดาผู้ชมที่นั่งเรียงรายด้านล่างสังเวียนและส่งเสียงโห่ร้องให้กำลังใจทั้งสองก็เป็นสมาชิกจากทั้งสองฝ่าย รวมถึงคนอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง
เฉินหว่านเอ๋อร์ เถียนซินและสวีเยว่ล้วนนั่งอยู่กับฝ่ายของตนโดยมีผู้ติดตามจำนวนมากรายล้อมรอบตัว
“พี่อวี้โม่ มานั่งตรงนี้เถอะ”
ณ มุมหนึ่งไม่ไกลออกไป สามพี่น้องตระกูลเมิ่งกำลังนั่งอยู่ด้วยกันและรับชมการต่อสู้บนสังเวียน เมิ่งจวินผู้ซึ่งมีอายุน้อยที่สุดเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นฉินอวี้โม่และโบกมือเรียกให้นางไปนั่งด้วยกัน
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเดินตรงเข้าไปหาสามพี่น้องก่อนนั่งลงอย่างสบาย ๆ
“พี่อวี้โม่ ท่านมาที่นี่เพื่อรับชมเรื่องสนุก ๆ หรือวางแผนที่จะประมือกับคนอื่นด้วยล่ะ ?”
เมิ่งจวินเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ แม้ยังไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ เขาก็แอบตั้งหน้าตั้งตาและคาดหวังไว้มาก
“ข้าขอรอดูสถานการณ์ต่อไปก่อนจะดีกว่า”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางไม่รีบร้อนและวางแผนที่จะรับชมสถานการณ์ต่อไปสักระยะก่อนตัดสินใจ
“คงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินผลแพ้ชนะระหว่างทั้งสองคนนั้น”
เมิ่งเถียนผู้ซึ่งมักจะไม่เอ่ยปากพูดจับจ้องไปยังการต่อสู้บนสังเวียนและกล่าวแสดงความคิดเห็นของตน
ความแข็งแกร่งของทั้งสองแทบจะเท่าเทียมกัน เว้นแต่จะนำไพ่ตายออกมาใช้ ผลลัพธ์ในการดวลฝีมือของทั้งสองก็มีเพียงผลลัพธ์เดียวเท่านั้น นั่นก็คือการเสมอกัน
“อีกไม่นานการต่อสู้ก็คงจะยุติลง”
เมิ่งฝานกล่าวขึ้นเช่นกันและคาดเดาว่าเฉินหว่านเอ๋อร์และเถียนซินจะสั่งหยุดการต่อสู้นี้ในไม่ช้า
เป็นจริงดังที่คิดไว้ ทั้งสองคนบนสังเวียนติดอยู่ในสภาวะชะงักงันนานกว่าสองก้านธูปก่อนเฉินหว่านเอ๋อร์และเถียนซินจะแผดเสียงขึ้นเพื่อหยุดการต่อสู้อย่างพร้อมเพรียงกัน
ทั้งสองคนบนสังเวียนก็มองหน้ากันด้วยความไม่อยากเชื่อก่อนเหาะลงจากสังเวียนและแยกย้ายกลับไปยังฝ่ายของตนอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน !”
เฉินหว่านเอ๋อร์ยืนขึ้นและชำเลืองมองไปที่เถียนซิน เห็นได้ชัดว่าวาจาที่กล่าวออกไปเมื่อครู่เป็นสิ่งที่นางจงใจกล่าวกับอีกฝ่าย
“เหอะ วันนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน !”
เถียนซินแค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา จากนั้นนางก็หันหลังกลับและเตรียมนำสมาชิกของฝ่ายตนออกไป
ทว่าทันทีที่นางหันไปและสังเกตเห็นฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งนั่งอยู่ในมุมหนึ่งพอดิบพอดี สีหน้าของเถียนซินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“นังบ้านนอก เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ? ลานประลองยุทธ์มิใช่ที่ที่มดตัวกระจ้อยจากดินแดนระดับต่ำอย่างเจ้าจะมาเหยียบย่ำได้ อย่าหาเรื่องให้ตัวเองอับอายขายหน้าจะดีกว่า !”
นางก้าวเข้าไปหาฉินอวี้โม่เล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง ในเวลานี้ นางกำลังอารมณ์เสียอยู่พอดิบพอดีและเมื่อเห็นฉินอวี้โม่ปรากฏตัวมาตรงหน้า นางจึงมองฉินอวี้โม่เป็นเหยื่อระบายอารมณ์ของนางไปโดยปริยาย
“ไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่หักห้ามมิให้ข้ามาที่นี่ อีกอย่าง…เถียนซิน อย่าเพิ่งกล่าววาจามั่นใจไปนักเลย แม้ข้าจะเป็นมดปลวกจากดินแดนระดับต่ำจริง ๆ ทว่าคนบางคนก็มีค่าไม่เท่ามดปลวกด้วยซ้ำ !”
เดิมทีฉินอวี้โม่ไม่ต้องการสนใจคนเหล่านี้ ทว่าในเมื่อเถียนซินกล่าววาจายั่วยุนางก่อน นางก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยและยืนขึ้นพร้อมกล่าวเหน็บแนมตอบโต้อย่างไม่ไว้หน้า
“นังด้วงบ้านนอก เจ้าว่าอย่างไรนะ ?!”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ สีหน้าของเถียนซินก็บิดเบี้ยวเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะจ้องฉินอวี้โม่ตาเขม็งและแผ่แรงกดดันออกไป
“ข้าเพียงพูดความจริง ทำไมกัน ? รับความจริงไม่ได้และรู้สึกอับอายขึ้นมางั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและไม่คิดที่จะอ่อนข้อให้อีกฝ่าย
“ฮ่า ๆ ๆ น่าขันยิ่งนัก มดตัวน้อยจากดินแดนระดับต่ำอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้าเช่นนี้ ? ฉินอวี้โม่…ในเมื่อมาถึงลานประลองแล้ว เจ้ากล้ารับคำท้าและต่อสู้กับคนของข้ารึไม่ ?”
เถียนซินหัวเราะด้วยความโกรธแค้น เมื่อเห็นว่าแรงกดดันของตนทำอะไรฉินอวี้โม่ไม่ได้ นางก็เปล่งเสียงออกไปมากขึ้น
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม มิใช่ทุกคนที่จะมีคุณสมบัติพอที่จะท้าดวลกับข้าได้ เหตุใดเจ้าไม่ลองประมือกับข้าดูล่ะ ? อยากเห็นนักว่าอัจฉริยะของดินแดนระดับสูงเช่นเจ้าจะมีฝีมือสักเพียงใด !”
คำว่า ‘อัจฉริยะ’ ถูกเน้นย้ำอย่างชัดเจน ทว่าเป็นน้ำเสียงที่แสดงถึงการเยาะเย้ยถากถางอย่างเปิดเผย