เนื่องจากคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะตอบโต้เช่นนี้และถึงขั้นเลือกที่จะท้าดวลกับนางโดยตรง เถียนซินจึงชะงักไปเล็กน้อย
“ฮ่า ๆ ๆ ตลกชะมัด เจ้าคิดจะท้าดวลกับข้าอย่างนั้นหรือ ? นังบ้านนอก…รนหาที่ตายเสียแล้ว !”
เถียนซินกล่าวและอดหัวเราะเยาะไม่ได้ นางมีความแข็งแกร่งที่จัดเป็นสิบอันดับแรกของหอชั้นนอก พลังในขอบเขตเทพเซียนสองดาราขั้นสูงสุดของนางก็ถือเป็นระดับของอัจฉริยะแม้ในบรรดาศิษย์ในก็ตาม
ทว่าฉินอวี้โม่ที่อยู่ตรงหน้ามีพลังเพียงขอบเขตเทพสวรรค์ขั้นสูงสุดเท่านั้น ในการเอาชนะสตรีผู้นี้ เถียนซินมั่นใจว่าไม่จำเป็นต้องทุ่มเทอย่างสุดฝีมือด้วยซ้ำ
“ฮ่า ๆ ๆ เลิกพูดพล่ามไร้สาระเถอะ”
ฉินอวี้โม่หัวเราะอย่างไม่ยี่หระและเหาะขึ้นบนสังเวียนทันที
เดิมทีเมิ่งจวินต้องการที่จะห้ามปรามฉินอวี้โม่ ทว่าเมิ่งฝานหยุดเขาไว้เสียก่อน ท่าทางที่แน่วแน่ของฉินอวี้โม่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านางมั่นใจในชัยชนะครานี้ นอกจากนี้ พวกเขาเองก็สงสัยใคร่รู้มากเช่นกันว่าแท้จริงแล้วนางมีพลังในการต่อสู้มากเพียงใด เถียนซินจึงถือเป็นเครื่องมือทดสอบที่ดี
“ตามที่เจ้าปรารถนา !”
เถียนซินเหาะขึ้นไปบนสังเวียนและยืนตรงข้ามกับฉินอวี้โม่ขณะมองนางด้วยสีหน้าที่รังเกียจเดียดฉันท์
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ข้าว่าล้มเลิกการต่อสู้นี้จะดีกว่า เจ้ามิใช่คู่มือของเถียนซินหรอก ยอมรับความพ่ายแพ้และอย่าประมือกันอีกเลย”
เฉินหว่านเอ๋อร์ส่งเสียงขึ้นมาได้ตรงจังหวะและแสดงสีหน้าที่กังวลในความปลอดภัยของฉินอวี้โม่ ทว่าแท้ที่จริงแล้วหัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความรังเกียจที่มีต่อฉินอวี้โม่
นางเชื่อว่าสาเหตุที่ฉินอวี้โม่ริเริ่มท้าดวลกับเถียนซินด้วยตนเองเป็นเพราะว่าสมองของฉินอวี้โม่มีปัญหา ถึงอย่างไร ช่องว่างความแตกต่างระหว่างทั้งสองก็มีมากจนเกินไปและฉินอวี้โม่ไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย
ที่สำคัญคือเฉินหว่านเอ๋อร์ไม่ต้องการให้เถียนซินเฉิดฉายขึ้นมาและได้รับความสนใจจากทุกคน เพราะเหตุนั้น การขัดขวางการต่อสู้ระหว่างทั้งสองจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับนาง
“เถียนซิน เจ้าเองก็เช่นกัน เจ้าจะรังแกศิษย์ใหม่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน ? ศิษย์น้องอวี้โม่เพิ่งเข้ามาอยู่ร่วมที่หอชั้นนอกของพวกเราเพียงไม่นานและยังไม่ถือเป็นศิษย์นอกเต็มตัวด้วยซ้ำ ต่อให้เจ้าจะเอาชนะนางได้ มันก็ไม่ถือเป็นชัยชนะที่น่าภาคภูมิใจ มันไม่มีประโยชน์อะไรกับการประมือครั้งนี้หรอก”
เฉินหว่านเอ๋อร์เสแสร้งทำเป็นคนดีและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับฉินอวี้โม่ ทว่านางยังคงซ่อนความชิงชังเอาไว้ในน้ำเสียง
“เฉินหว่านเอ๋อร์ หุบปากไปเสีย เจ้ามาแส่อะไรด้วย ?!”
ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะตอบโต้ เถียนซินก็อดตะโกนด้วยความไม่พอใจไม่ได้ แม้นางจะอคติกับฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็จริง ทว่านางไม่ชอบหน้าเฉินหว่านเอ๋อร์จอมเสแสร้งมากกว่า
การที่เอาแต่เสแสร้งแสดงละครตบตาทุกคนเช่นนี้ มันเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจอย่างแท้จริง
“หากท่านต้องการจะสู้กับข้าด้วย…ก็เชิญต่อแถวรอได้เลย หลังจากสั่งสอนให้นางรู้สำนึก ข้าจะประมือกับท่านอีกครั้ง แต่หากท่านไม่กล้าก็จงเงียบปากไปเสีย”
ฉินอวี้โม่ตอบโต้และกล่าวเย้ยหยันเฉินหว่านเอ๋อร์ด้วยการบอกให้นางต่อแถวรอเพื่อดวลฝีมือกับตน
“ช่างไม่รู้จักการประมาณตน !”
เฉินหว่านเอ๋อร์คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งเถียนซินและฉินอวี้โม่จะตอบโต้นางเช่นนี้
“บัดซบ ศิษย์พี่หว่านเอ๋อร์เป็นห่วงพวกเจ้าแท้ ๆ ต่อให้พวกเจ้าจะไม่เห็นคุณค่าก็ไม่เป็นไร ทว่าเหตุใดจึงต้องกล่าววาจาดูหมิ่นศิษย์พี่หว่านเอ๋อร์เช่นนี้ด้วย ?!”
หนึ่งในผู้ติดตามของเฉินหว่านเอ๋อร์อดกล่าวปกป้องนางไม่ได้
“ใช่ ศิษย์พี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้กล่าววาจาล่วงเกินพวกเจ้าเลยสักนิด นางเพียงพูดความจริงเท่านั้น พวกเจ้าไม่ควรตอบแทนศิษย์พี่หว่านเอ๋อร์เช่นนี้และทำให้นางกลายเป็นคนผิด”
คนอื่น ๆ จากฝ่ายของเฉินหว่านเอ๋อร์ก็กล่าวขึ้นตาม ๆ กันขณะมองฉินอวี้โม่และเถียนซินด้วยแววตาตำหนิไม่พอใจ
“เหอะ แล้วศิษย์พี่เถียนซินกล่าวสิ่งใดผิดรึ ? นี่เป็นเรื่องระหว่างนางและฉินอวี้โม่ มันเกี่ยวอะไรกับเฉินหว่านเอ๋อร์ไม่ทราบ ? ถ้านางต้องการจะทำตัวเป็นคนดีก็เชิญออกไปที่อื่นเถอะ เผื่อจะได้เจอกับยายแก่ที่หกล้มหรือเหตุการณ์อื่น ๆ ที่นางจะเข้าไปช่วยเหลือได้ ไม่ต้องมาเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีอยู่ที่นี่ !”
ผู้ที่อยู่ในฝ่ายของเถียนซินไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกันและกล่าวขึ้นเพื่อสนับสนุนนาง
“ใช่ เสแสร้งทำเป็นจิตใจดีและเป็นมิตรเพื่อตบตาทุกคน พวกเรามิใช่แฟนตัวยงของเจ้า เราไม่หลงกลจนหน้ามืดตามัวเช่นนั้นหรอก หากต้องการจะรับชมการต่อสู้ก็นั่งเงียบ ๆ ไป หากไม่ต้องการก็รีบไสหัวออกไปเสีย จะมัวเสียเวลากับเรื่องไร้สาระพวกนี้ไปเพื่ออะไรกัน ?!”
เมิ่งจวินอดกล่าวขึ้นไม่ได้ และแน่นอนว่าเขาสนับสนุนฉินอวี้โม่อย่างเปิดเผย
พวกเขาเป็นสหายของเถาเซี่ยวเซี่ยวมานานและทราบดีว่าเฉินหว่านเอ๋อร์เป็นคนอย่างไร หากเทียบกับฝ่ายของเถียนซินที่แสดงออกอย่างชัดเจนต่อหน้า การเสแสร้งของเฉินหว่านเอ๋อร์ก็น่ารังเกียจยิ่งกว่าเสียอีก
ในขณะที่บรรดาผู้ติดตามของเฉินหว่านเอ๋อร์และเถียนซินกำลังถกเถียงกัน การต่อสู้ระหว่างฉินอวี้โม่และเถียนซินบนสังเวียนก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“นังบ้านนอก บอกตามตรง ข้าเห็นเจ้าเจริญตายิ่งกว่าเฉินหว่านเอ๋อร์เสียอีก น่าเสียดายที่เจ้าเป็นแค่มดปลวกจากดินแดนระดับต่ำที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเช็ดรองเท้าให้ข้าด้วยซ้ำ !”
เถียนซินโจมตีฉินอวี้โม่พลางกล่าววาจาเหยียดหยาม
“เหอะ ไม่รู้ว่าเจ้าไปเอาความรู้สึกสูงส่งเช่นนี้มาจากที่ใด ทว่าคนของดินแดนระดับต่ำเพียงมีทรัพยากรที่น้อยกว่าเท่านั้น ใช่ว่าจะมีความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ที่ด้อยกว่า หากเจ้าเกิดในดินแดนระดับต่ำละก็ เจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้เชิดหน้าชูตาด้วยซ้ำและคงจะด้อยกว่าคนที่อ่อนแอที่สุดในดินแดนระดับต่ำเสียอีก”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงเย้ยหยันและตอบโต้อย่างไม่ทุกข์ร้อน
ต้องกล่าวเลยว่าความแข็งแกร่งของเถียนซินถือว่าไม่เลวเลย ไม่ว่าจะเป็นฝีมือด้านการต่อสู้หรือการใช้พลังมายา ทุกอย่างล้วนอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม
ภายใต้สถานการณ์ที่ฉินอวี้โม่ยังยั้งมือเอาไว้ นางจึงถูกเถียนซินบีบไล่ต้อนอย่างหนักและไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย
“เหอะ ถือว่าไม่เลวเลย ไม่แปลกใจที่จะกลายเป็นศิษย์ฝึกหัดของเราได้ ทว่าถึงอย่างไรศิษย์ฝึกหัดก็ยังคงเป็นศิษย์ฝึกหัดอยู่วันยังค่ำ ด้วยพรสวรรค์และพลังในระดับของเจ้า ตลอดทั้งชีวิตนี้ เจ้าจะไม่มีทางเข้าร่วมกับหอชั้นในของนิกายหมื่นกระบี่ได้ !”
ภายในพริบตา ทั้งสองฝ่ายก็ปลดปล่อยการโจมตีออกไปมากกว่าสิบกระบวนท่าแล้วโดยที่ยังไม่เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจน
เถียนซินเองก็ต้องประหลาดใจกับฝีมือในการต่อสู้ของฉินอวี้โม่พอสมควร ถึงอย่างไรช่องว่างความแตกต่างระหว่างระดับพลังของทั้งสองก็มิใช่น้อย ๆ และหากมิใช่เพราะมีฝีมือในระดับหนึ่ง เถียนซินก็คงเอาชนะได้ภายในไม่กี่กระบวนท่าแทนที่จะติดอยู่ในสภาวะจนมุมเช่นนี้โดยที่ยังไม่สามารถระบุผลลัพธ์ที่แน่ชัดได้ภายในสิบกว่ากระบวนท่า
นางตระหนักดีว่าต่อให้จะยับยั้งฉินอวี้โม่ไว้ได้ นางก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายใด ๆ ให้กับอีกฝ่ายได้
ความเร็วของฉินอวี้โม่น่าสะพรึงกลัวเกินไปและพลังป้องกันก็อยู่ในระดับที่น่าทึ่งยิ่งนัก ในเวลานี้ กระบวนท่าโจมตีของเถียนซินถูกปล่อยตรงไปที่ร่างของฉินอวี้โม่อย่างจัง แม้ดูเหมือนจะทำให้ฉินอวี้โม่กระเด็นออกไปได้ ทว่ามันกลับไม่เกิดบาดแผลหรืออาการบาดเจ็บใด ๆ เห็นได้ชัดว่าฉินอวี้โม่ไม่แยแสการโจมตีของนางด้วยซ้ำ
“ไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องฉินอวี้โม่จะต่อสู้กับเถียนซินได้ถึงระดับนี้ เดิมทีข้าคิดว่านางจะพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าเสียอีก”
จอมยุทธ์คนหนึ่งที่วางตัวเป็นกลางกล่าวขึ้นและเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในที่แห่งนี้เช่นกัน
แรกเริ่มเดิมที เมื่อฉินอวี้โม่ท้าดวลกับเถียนซิน พวกเขาล้วนคิดไปในทางเดียวกันว่าฉินอวี้โม่กำลังหาเรื่องใส่ตัว ทว่าตอนนี้พวกเขาตระหนักแล้วว่าตนคิดผิดไป
ฉินอวี้โม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเถียนซินได้ นางจึงกล่าววาจาท้าทายอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว
ภายในสังเวียนประลอง เถียนซินตกอยู่ในสถานการณ์ที่การโจมตีของนางไม่อาจกระทบถึงตัวของฉินอวี้โม่ได้อีกต่อไปและนั่นทำให้นางเริ่มกังวลขึ้นมา
“ข้าประมาทเจ้าเกินไปจริง ๆ !”
อย่างไรก็ตาม ความกังวลนั้นไม่ปรากฏบนสีหน้าของนาง เถียนซินพยายามทำใจให้สงบและเร่งการโจมตีให้เร็วขึ้น
เนื่องจากการประจันหน้าครานี้เป็นการดวลฝีมือธรรมดาทั่วไป ทักษะยุทธ์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างจึงไม่ถูกนำออกมาใช้และทั้งสองฝ่ายใช้เพียงกระบวนท่าธรรมดาในการต่อสู้กัน
หากเทียบกับฉินอวี้โม่ แน่นอนว่าทักษะยุทธ์ของเถียนซินทรงพลังมากกว่า ถึงอย่างไรภูมิหลังและรากฐานของดินแดนระดับสูงย่อมเหนือกว่าดินแดนระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม แม้ทักษะยุทธ์ของฉินอวี้โม่จะอ่อนแอกว่า นางก็มีชั้นเชิงและมีความคล่องแคล่วมากกว่าอีกฝ่าย หลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่ เถียนซินก็ตกเป็นฝ่ายที่ถูกยับยั้งส่งผลให้นางแสดงศักยภาพของทักษะยุทธ์ออกมาได้ไม่เต็มที่
ในขณะที่เวลาผ่านไป ฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบในที่สุด…