เนื่องจากรับรู้ได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้แผ่จิตมุ่งร้ายมาสู่ตน ฉินอวี้โม่จึงยิ้มตอบโดยไม่กล่าวสิ่งใดให้ยืดยาวและกลับไปนั่งลงตามเดิม
หลังจากดวลฝีมือกับเถียนซินและเอาชนะอีกฝ่ายได้ นางก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของศิษย์นอกเพิ่มมากขึ้น ต้องกล่าวเลยว่าการดวลฝีมือกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเป็นประโยชน์ต่อนางอย่างแท้จริง
เดิมทีฉินอวี้โม่วางแผนที่จะท้าดวลกับเฉินหว่านเอ๋อร์ต่อ ทว่าเมื่อสังเกตจากท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกมา เกรงว่าเฉินหว่านเอ๋อร์คงจะไม่ยอมประมือกับนางเป็นแน่ เพราะเหตุนั้น นางจึงปล่อยให้อีกฝ่ายเสแสร้งแสดงละครต่อไป ทว่าหากมีโอกาสในอนาคต การสั่งสอนบทเรียนให้กับสตรีจอมเสแสร้งในตอนนั้นก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไป
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ไม่คิดที่จะพูดคุยกับตนอีกต่อไป เฉินหว่านเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ต่อ นางจึงหันหลังกลับพร้อมนำทางผู้ติดตามบางส่วนของตนออกจากลานประลองยุทธ์ไป
คนที่เหลือก็นั่งลงตามเดิมโดยบางคนพยายามหาคนที่จะจับคู่ดวลฝีมือด้วย ในขณะที่บางส่วนเพียงต้องการรับชมการต่อสู้อันน่าตื่นเต้นหลังจากนี้
ในบรรดาสามพี่น้องตระกูลเมิ่ง เมิ่งฝานและเมิ่งจวินมักจะไม่ทำสิ่งใดอย่างโจ่งแจ้งสะดุดตา พวกเขาจึงไม่คิดที่จะเข้าร่วมการดวลฝีมือในครานี้
ในทางตรงกันข้าม เมิ่งเถียนต้องการดวลฝีมือกับฉินอวี้โม่มาก ทว่าเขาก็รู้สึกว่ายังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจนเกินไป
เพราะถึงอย่างไร ฉินอวี้โม่ก็แสดงให้เห็นถึงพลังที่เหนือความคาดหมายของทุกคนและคงจะมีจอมยุทธ์หลายคนที่ต้องการประมือกับนาง เขาจึงไม่ต้องการตัดกำลังนางในตอนนี้ก่อน
หลังจากเวลาผ่านไปสองก้านธูป จอมยุทธ์สองคนก็ก้าวลงจากสังเวียนและอีกคนเหาะเข้าไปแทนที่
เขาคือบุรุษหนุ่มที่มีอายุประมาณยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปีซึ่งมีใบหน้าที่หล่อเหลาและมีกลิ่นอายความสุภาพอ่อนน้อมแผ่ออกมา แม้จะมีพลังที่บรรลุถึงขอบเขตเทพเซียนสองดาราขั้นสูงสุดเท่ากัน แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็เหนือยิ่งกว่าเถียนซินก่อนหน้านี้เสียอีก
“นั่นมันศิษย์พี่เสิ่นเสี่ยวไห่ !”
ทันทีที่บุรุษหนุ่มปรากฏตัวบนสังเวียน หลายคนก็จดจำเขาได้ทันทีและสตรีหลายคนก็อดอุทานออกมาไม่ได้
‘เสิ่นเสี่ยวไห่’ คือจอมยุทธ์อันดับสามของหอชั้นนอก ณ ตอนนี้ เขาเป็นจอมยุทธ์ที่แกร่งกล้าสามารถและมากประสบการณ์ ในการประเมินเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ในคราก่อน มันประจวบเหมาะกับที่เขาบังเอิญพบโอกาสบางอย่างในโลกภายนอก เขาจึงพลาดการประเมินครานั้นไปอย่างน่าเสียดาย มิเช่นนั้น ด้วยพรสวรรค์ในระดับของเขา เสิ่นเสี่ยวไห่ก็ควรจะกลายเป็นศิษย์ในของนิกายหมื่นกระบี่ได้ตั้งแต่เมื่อปีก่อนแล้ว
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ข้าจะขอประมือเพื่อเรียนรู้จากเจ้าจะได้รึไม่ ?”
เขายิ้มให้กับฉินอวี้โม่และเอ่ยถามอย่างอบอุ่น ท่าทางอ่อนน้อมของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกชื่นชอบยิ่งนัก
“นับว่าเป็นเกียรติของข้าเช่นกันที่จะได้ประมือกับศิษย์พี่เสิ่น”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่มีทางปฏิเสธ จอมยุทธ์สามอันดับแรกของหอชั้นนอกถือเป็นเป้าหมายแรกของนาง หากได้เรียนรู้จากคนเหล่านั้น นางจะมีความเข้าใจใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นและอาจพบโอกาสทะลวงพลังก็เป็นได้
ร่างที่เหาะขึ้นบนสังเวียนดึงดูดสายตาของผู้ชมทุกคนได้ทันที
“ศิษย์พี่เสิ่นกำลังจะประมือกับศิษย์น้องฉินอวี้โม่ ไม่อาจทราบได้เลยว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ”
ใครคนหนึ่งกล่าวด้วยความสงสัยใคร่รู้ พวกเขาล้วนทราบถึงพลังความแข็งแกร่งของเสิ่นเสี่ยวไห่เป็นอย่างดี แม้ฉินอวี้โม่เอาชนะเถียนซินได้ โอกาสที่นางจะเอาชนะเสิ่นเสี่ยวไห่ที่แข็งแกร่งกว่าเถียนซินมากกว่าหนึ่งในสิบส่วนก็คงมีไม่มากนัก
“ข้าคิดว่าโอกาสเป็นห้าสิบห้าสิบ ก่อนหน้านี้ ตอนที่ศิษย์น้องฉินอวี้โม่เอาชนะเถียนซิน เห็นได้ชัดว่านางแทบไม่ต้องออกแรงด้วยซ้ำ เพียงเท่านี้ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงภูมิหลังที่แท้จริงของศิษย์น้องฉินอวี้โม่ได้แล้ว แม้ศิษย์พี่เสิ่นเสี่ยวไห่จะแข็งแกร่งมาก เขาก็ไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายในการประมือและอาจเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ไม่ง่ายนัก”
หลายคนเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์และเปรียบเทียบจากความเข้าใจที่พวกตนมีต่อพลังของทั้งสอง
“เป็นจริงอย่างที่ว่า ทว่าสิ่งที่สำคัญคือศิษย์พี่เสิ่นเสี่ยวไห่และศิษย์น้องฉินอวี้โม่ไม่ได้มีความบาดหมางหรือความขัดแย้งต่อกันมาก่อน ทั้งสองคงจะประมือกันเพียงเพื่อพัฒนาตัวเองเท่านั้นและไม่มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หากทั้งสองยั้งมือและไม่แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา ข้าคิดว่าทั้งสองอาจจะอยู่ในระดับเดียวกัน เพียงแต่…คาดเดาไม่ได้เลยว่าครานี้ศิษย์น้องฉินอวี้โม่จะแสดงเรื่องที่น่าตื่นเต้นใดออกมาให้เห็นรึไม่ ?”
หลายคนเห็นด้วยกับการคาดการณ์ของบุคคลผู้นั้นและรู้สึกว่าฝีมือของฉินอวี้โม่และเสิ่นเสี่ยวไห่คงจะอยู่ในระดับเดียวกัน เพราะเหตุนั้นจึงยากที่จะระบุผู้ชนะได้ในตอนนี้
สามพี่น้องตระกูลเมิ่งเองก็คิดเช่นเดียวกันและตั้งตารอชมการประมือที่กำลังจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม มิอาจคาดเดาเลยว่าครานี้ฉินอวี้โม่จะสร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขาได้มากเพียงใด…
“ศิษย์น้องฉินอวี้โม่ ไม่ทราบว่าเจ้ามีความเชี่ยวชาญในเพลงกระบี่หรือไม่ ?”
เสิ่นเสี่ยวไห่ไม่รีบร้อนลงมือและเอ่ยถามออกไป
ในความเป็นจริง ด้วยพรสวรรค์ของเขา เสิ่นเสี่ยวไห่สามารถเข้าร่วมขุมกำลังระดับหนึ่งของโลกแห่งเทพได้ไม่ยาก ทว่าสาเหตุที่เขาเลือกนิกายหมื่นกระบี่ก็เป็นเพราะเขามีความสนใจเกี่ยวกับเพลงกระบี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของนิกาย ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นไปได้ เขาก็มักจะเลือกดวลฝีมือกับผู้อื่นด้วยการใช้ทักษะกระบี่
“ไม่มีปัญหา หากศิษย์พี่เสิ่นเสี่ยวไห่ต้องการจะประมือด้วยกระบี่ ข้าก็พอจะตอบสนองต่อความต้องการของท่านได้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบ แม้อาวุธที่นางชำนาญที่สุดจะมิใช่กระบี่ อย่างไรก็ตาม กระบี่ยาวก็เป็นอาวุธแรกที่นางศึกษาจนทำความเข้าใจปริศนาและท่วงท่าของมันได้ แม้แต่ทักษะหอกที่นางโปรดปรานก็เป็นสิ่งที่เรียนรู้และเข้าใจในภายหลัง
ในปัจจุบันนี้ ทักษะความชำนาญในศาสตร์กระบี่ของฉินอวี้โม่ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายเลย แม้ยังไม่ชำนาญเท่าบรรดายอดนักกระบี่ ทว่านางก็มีฝีมือมากพอที่จะต่อสู้ได้
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี”
เสิ่นเสี่ยวไห่รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นทันที จากนั้นเขาก็โบกมือเล็กน้อยและกระบี่ยาวที่ควบแน่นขึ้นมาจากพลังมายาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
“เราสู้กันด้วยกระบี่พลังมายาจะดีรึไม่ ?”
เขาเอ่ยถามความคิดเห็นของฉินอวี้โม่
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกระบี่ยาวที่ควบแน่นมาจากพลังมายาก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม รูปร่างของกระบี่พลังมายาทั้งสองก็แตกต่างกันพอสมควร
กระบี่ยาวตรงหน้าฉินอวี้โม่เป็นเพียงขนาดปกติที่เรียวยาวและถนัดมือซึ่งดูจะไม่มีพลังที่โดดเด่นนัก
ในทางกลับกัน กระบี่พลังมายาตรงหน้าเสิ่นเสี่ยวไห่มีความยาวประมาณหนึ่งจั้งและกว้างเกือบสองฉื่อ มันเปล่งแสงหลากสีออกมาอย่างสลัว ๆ ซึ่งดูลึกลับและทรงพลังยิ่งนัก
ทันทีที่ทั้งสองเคลื่อนไหวความคิด กระบี่ยาวทั้งสองก็เริ่มฟาดฟันกันอย่างรวดเร็ว
ทักษะกระบี่ของเสิ่นเสี่ยวไห่มุ่งเน้นไปกับการรุกโจมตีโดยทุกกระบวนท่าทุกการเคลื่อนไหวเปี่ยมไปด้วยพลังและความดุดันเกรี้ยวกราด
ในอีกฝั่งหนึ่ง ทักษะกระบี่ของฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนแปลงรูปแบบอยู่ตลอดเวลาและมุ่งเน้นไปกับความคล่องแคล่วยืดหยุ่น
กระบี่ยาวทั้งสองก็ไม่ได้ปะทะกันโดยตรง และหากเข้าใกล้กันมากจนเกินไป พวกมันก็จะแยกออกจากกันอีกครั้งอย่างอัตโนมัติ
แต่ถึงกระนั้น ฉินอวี้โม่ก็ยังสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณนักสู้ที่ไร้ที่สิ้นสุดซึ่งอัดแน่นอยู่ในกระบี่ของเสิ่นเสี่ยวไห่ นางพอจะเข้าใจว่าเหตุใดเสิ่นเสี่ยวไห่จึงเลือกเข้าร่วมนิกายหมื่นกระบี่ เขาคงจะเป็นจอมยุทธ์ที่หลงใหลและหมกมุ่นในศาสตร์แห่งกระบี่เป็นอย่างมาก…
ผู้ชมรอบสังเวียนประลองมิอาจละสายตาจากการต่อสู้ของทั้งสองคนบนสังเวียนได้เลย
แม้กระบวนท่าของทั้งสองจะดูเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนมากนัก พวกเขาก็มองเห็นว่าการประจันหน้าครานี้เต็มไปด้วยความลับและความถ่องแท้ของศาสตร์แห่งกระบี่
“ศิษย์น้องฉินอวี้โม่มีฝีมือที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ !”
ใครคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น พลังในการต่อสู้ของฉินอวี้โม่เหนือชั้นกว่าความคาดหมายของพวกเขายิ่งนัก แม้แต่ทักษะกระบี่ที่นางแสดงให้เห็นในตอนนี้ก็ยังถือว่าน่าตกใจมาก
“ทักษะกระบี่ของศิษย์น้องอวี้โม่ช่างคล่องแคล่วปราดเปรียวยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น ทุกท่วงท่าทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าก็ดูจะไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย ไม่อาจทราบได้เลยว่าศิษย์น้องอวี้โม่ทำสิ่งนี้ได้อย่างไร ?”
แม้ยังกวัดแกว่งกระบี่อยู่ เสิ่นเสี่ยวไห่ก็อดเอ่ยถามออกไปไม่ได้
เพราะในขณะที่ฉินอวี้โม่กำลังร่ายรำกระบี่ ราวกับว่านางและกระบี่ในมือได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยวัยของฉินอวี้โม่ มันเป็นไปได้ยากที่ทักษะกระบี่ของนางจะบรรลุถึงระดับของฟ้าคนเป็นหนึ่งเดียวได้…
“ศิษย์พี่เสิ่น ระวัง !”
ฉินอวี้โม่ไม่คิดอธิบายให้ยืดยาว และด้วยความคิดเพียงแวบเดียว จู่ ๆ กระบี่ยาวตรงหน้านางก็เปลี่ยนไป