ภายในห้องของเหลิ่งซวงเสวี่ย ในเวลานี้ อาหารค่ำถูกจัดเตรียมรอไว้แล้ว
ถึงแม้ว่าเมื่อบรรลุถึงระดับนี้ พวกนางจะไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารครบสามมื้อต่อวัน อย่างไรก็ตาม หากมีเวลาว่าง พวกนางก็จะรับประทานอาหารกันตามปกติ
บนโต๊ะตรงหน้ามีชามอาหารสองชุดและตะเกียบสองคู่วางอยู่ ไม่จำเป็นต้องคาดเดาด้วยซ้ำว่าอาหารอีกชุดหนึ่งเป็นส่วนของฉินอวี้โม่
“ขอบคุณมาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างและกล่าวขอบคุณเหลิ่งซวงเสวี่ยก่อนนั่งลงตรงข้ามนาง
เหลิ่งซวงเสวี่ยก็ไม่กล่าวสิ่งใดและเริ่มรับประทานอาหารอย่างเงียบ ๆ
ประมาณสองก้านธูปต่อมา ทั้งสองก็เริ่มอิ่มกันแล้ว
“ศิษย์พี่เหลิ่ง บอกตามตรง ข้าสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิตของท่านยิ่งนัก”
ฉินอวี้โม่มองเจ้าหญิงน้ำแข็งตรงหน้าและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
หากเทียบกับเถาเซี่ยวเซี่ยวผู้มีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลา เหลิ่งซวงเสวี่ยกระตุ้นความสนใจของนางได้มากกว่า
เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องราวที่โศกเศร้าและขมขื่นบางอย่างอยู่เบื้องหลังชีวิตของเหลิ่งซวงเสวี่ย...
“ข้าก็เช่นกัน”
เหลิ่งซวงเสวี่ยกล่าวเพียงสั้น ๆเพื่อบอกว่านางเองก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่เช่นกัน หากไม่มีเหตุผลบางอย่างเป็นตัวกระตุ้น เชื่อว่าคนจากดินแดนระดับต่ำก็คงไม่เต็มใจก้าวเข้ามาในดินแดนระดับสูงอย่างง่าย ๆ
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะเล่าเรื่องราวของข้าก่อน”
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าหากต้องการจะเปิดอกคุยกัน นางจะต้องแสดงความจริงใจออกไปก่อน ถึงอย่างไรนางก็ยินดีเล่าเรื่องราวเหล่านั้น
จากนั้นนางก็เล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงสถานการณ์ของดินแดนระดับต่ำให้เหลิ่งซวงเสวี่ยได้ทราบโดยที่ไม่ปิดบังสิ่งใด
หลังจากได้ทราบเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด เหลิ่งซวงเสวี่ยก็ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย
แม้คาดเดาไว้แล้วว่าประสบการณ์ชีวิตของฉินอวี้โม่จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่นางก็ไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะผ่านอุปสรรคขวากหนามมามากมายเช่นนี้
การที่อดทนฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างมาจนถึงจุดนี้ได้โดยที่ไม่ย่อท้อพิสูจน์ให้เห็นว่าฉินอวี้โม่มิใช่คนธรรมดา ๆ เดิมทีเหลิ่งซวงเสวี่ยรู้สึกถูกชะตากับนางอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก
เหลิ่งซวงเสวี่ยมิใช่คนที่จะกล่าววาจาปลอบประโลมผู้ใด นางจึงตบไหล่ฉินอวี้โม่เบา ๆ ทว่านั่นถือเป็นการแสดงทัศนคติของนางแล้ว
“มิใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาคิดหรอก การที่ฝ่าลมโต้คลื่นมามากมายจะช่วยให้เผชิญกับปัญหาในอนาคตได้ง่ายขึ้นมาก เจ้าหนูทั้งสองก็เฉลียวฉลาดยิ่งนัก แม้ยังไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด ข้าก็มั่นใจว่าจะได้พบพวกเขาในอีกไม่นาน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่โต
แม้ยังไม่มีข่าวคราวหรือเบาะแสเกี่ยวกับบุตรน้อยทั้งสอง นางก็รู้สึกได้ว่าจะได้พบกันพร้อมหน้าในไม่ช้า
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับฉินอวี้โม่ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการพัฒนาพลังของตน ถึงอย่างไรเจ้าหนูทั้งสองก็คงจะอยู่ด้วยกันแล้วและได้รับการปกป้องคุ้มครองเป็นอย่างดี พวกเขาจึงจะปลอดภัยยิ่งกว่าการอยู่เคียงข้างนาง
“ใช่ อีกไม่นาน”
เหลิ่งซวงเสวี่ยพยักศีรษะ นางตั้งตารอที่จะได้พบกับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ที่ฉินอวี้โม่กล่าวถึงเช่นกัน
“แล้วศิษย์พี่ล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่มองเหลิ่งซวงเสวี่ยด้วยแววตาใคร่รู้
“ข้าเกิดในเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากนิกายหมื่นกระบี่ไปราวห้าวัน และข้าเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในครอบครัว”
เหลิ่งซวงเสวี่ยเล่าเรื่องราวชีวิตของตน และมันเป็นเรื่องที่ระทึกขวัญและโศกเศร้าไม่น้อย
เดิมทีนางเป็นเพียงสมาชิกของครอบครัวธรรมดา ๆ ในเมืองแห่งนั้นซึ่งมีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่ไม่โดดเด่น อย่างไรก็ตาม เมื่อครั้งเยาว์วัย บิดามารดาของนางได้ทำสัญญาหมายมั่นแต่งงานกับทายาทของตระกูลที่ร่ำรวยในเมืองนั้น
ในภายหลัง ทายาทผู้นั้นก็ไม่พอใจในพรสวรรค์ที่นางมีและแอบสมคบคิดกับบุตรสาวของตระกูลร่ำรวยในอำเภอที่มีทั้งพลังและพรสวรรค์ที่เหนือกว่าเหลิ่งซวงเสวี่ย
ทั้งสองไม่เพียงแต่ทำลายความไร้เดียงสาและสัญญาการแต่งงานของเหลิ่งซวงเสวี่ยเท่านั้น ทว่ายังวางแผนการร้ายจนบิดามารดาของเหลิ่งซวงเสวี่ยต้องเสียชีวิตไป
ในตอนนั้น เหลิ่งซวงเสวี่ยเองก็ถูกทั้งสองล่อลวงเข้าไปในถ้ำของอสูรมายาที่น่าสะพรึงกลัวและเกือบที่จะเอาชีวิตไม่รอด
เคราะห์ดีที่นางได้พบกับสมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ในถ้ำแห่งนั้นและมันเปลี่ยนแปลงสภาวะร่างกายของนางไปอย่างสิ้นเชิง เดิมทีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของนางอยู่เพียงระดับทั่วไปเท่านั้น ทว่าหลังจากนั้น นางก็ได้รับกายาเยือกแข็งในตำนานมาซึ่งส่งผลให้ความเร็วในการฝึกยุทธ์ของนางเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าและพลังความแข็งแกร่งของนางก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่
หลังจากนั้น นางก็เดินทางกลับไปยังเมืองของตนเพื่อสังหารบุรุษไร้หัวใจและสตรีคู่ครองคนใหม่ด้วยมือของตัวเองในพิธีกราบไหว้ฟ้าดินของพวกเขา ส่วนคนอื่น ๆ ที่มีส่วนรู้เห็นทำให้บิดามารดาของนางต้องตาย เหลิ่งซวงเสวี่ยก็ไม่ไว้ชีวิตพวกเขาแม้แต่คนเดียวและทำลายทั้งสองตระกูลจนสิ้นซาก
“ข้าไม่สนใจหากเขาต้องการจะยกเลิกสัญญาการแต่งงาน แต่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ทำร้ายบิดามารดาของข้า”
เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต ใบหน้างดงามของเหลิ่งซวงเสวี่ยก็กลายเป็นเย็นชายิ่งกว่าเดิม นางกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉยทว่าลอบมองฉินอวี้โม่เป็นระยะ ๆ เพราะต้องการดูว่าอีกฝ่ายจะแสดงปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร
“ศิษย์พี่ทำถูกแล้ว ความตายเป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับบุคคลประเภทนั้น !”
ปฏิกิริยาตอบสนองของฉินอวี้โม่เหนือกว่าความคาดหมายของเหลิ่งซวงเสวี่ยไปมาก
ต่อให้ทราบอยู่แล้วว่าฉินอวี้โม่แตกต่างไปจากคนทั่วไปและคงจะไม่ตัดสินตนว่าเป็นสตรีโหดเหี้ยมเพียงเพราะเรื่องนี้ ทว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยก็คาดไม่ถึงว่าฉินอวี้โม่จะสนับสนุนการกระทำของตนอย่างไม่ลังเลเช่นนี้
ฉินอวี้โม่จับมือเหลิ่งซวงเสวี่ยและเข้าใจแล้วว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงกลายเป็นคนที่เย็นชาเช่นนี้
หลังจากเผชิญเรื่องราวที่เลวร้ายมากมาย เหลิ่งซวงเสวี่ยจะยังใสซื่อไร้เดียงสาได้อย่างไรกัน ? การสังหารบุคคลที่จิตใจชั่วช้าเหล่านั้นก็ไม่ถือเป็นการกระทำที่เลวร้ายแม้แต่น้อย
ชีวิตของเหลิ่งซวงเสวี่ยเป็นเหมือนกับบทของนางเอกในละครไม่มีผิด และทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับนางล้วนพิสูจน์ถึงสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน
และด้วยการที่ได้รับกายาเยือกแข็งมา อนาคตของนางจะไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง…
“หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ท่านเลื่อนชั้นไปเป็นศิษย์ในไม่ได้ ?”
ฉินอวี้โม่นึกบางอย่างขึ้นได้และเอ่ยถามออกไป
เหลิ่งซวงเสวี่ยก็พยักศีรษะและยืนยันข้อสันนิษฐานของนาง
“อย่างไรก็ตาม ข้าถูกถอนสิทธิ์เพียงแค่สามปีเท่านั้นและตอนนี้ก็ครบกำหนดสามปีแล้ว นิกายหมื่นกระบี่ยังคงเป็นขุมกำลังที่เที่ยงธรรม ถึงแม้ว่าจะมีการห้ำหั่นกันด้วยกลอุบายบ้าง พวกเขาก็ยังรักษาหลักปรัชญาพื้นฐานไว้ แม้แต่เฉินหว่านเอ๋อร์ เถียนซินและอีกหลายคนก็มิใช่ข้อยกเว้น”
นับเป็นโอกาสยากที่จะได้เห็นเหลิ่งซวงเสวี่ยพูดจายาวเหยียดเช่นนี้และยังยืนยันกับฉินอวี้โม่ว่านิกายหมื่นกระบี่เป็นขุมกำลังที่ควรค่าแก่การเข้าร่วม
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ฉินอวี้โม่เข้าใจและคิดในใจว่าหากเฉินหว่านเอ๋อร์และเถียนซินเข้ามาก่อกวนและสร้างปัญหาให้นางอีกในอนาคต นางก็ควรจะยั้งมือไว้บ้าง ถึงอย่างไรคนอย่างเหลิ่งซวงเสวี่ยก็คงไม่คิดพูดให้คนเช่นนั้นดูดีและสิ่งที่นางกล่าวมาคงจะเป็นความจริง
“จะว่าไปแล้ว…หนูอ้วนเถาก็มีต้นกำเนิดมาจากนิกายหมื่นกระบี่เช่นกัน สถานะของนางไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก”
จู่ ๆ นางก็กล่าวเสริมขึ้นมา แม้ไม่ทราบเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเถาเซี่ยวเซี่ยวเท่าใดนัก นางก็ยืนยันข้อมูลนี้ได้
หลังจากใช้เวลาอยู่ในเรือนเดียวกันมานานกว่าหนึ่งปี ต่อให้เป็นเหลิ่งซวงเสวี่ยเอง นางก็ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของเด็กสาวช่างจ้อในระดับหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวเป็นคนที่ได้รับการทะนุถนอมมาอย่างดีตั้งแต่เด็ก ทว่าก็มีความชาญฉลาดในแบบของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวช่างจ้อรับรู้เกี่ยวกับสภาวะอารมณ์ของมนุษย์เป็นอย่างดี และสามารถแยกคนดีและคนชั่วออกจากกันได้อย่างง่ายดาย นั่นเป็นสาเหตุที่เหลิ่งซวงเสวี่ยยอมรับในตัวฉินอวี้โม่ตั้งแต่ต้น
ถึงอย่างไร คนที่เถาเซี่ยวเซี่ยวต้องการเข้าหาและผูกมิตรด้วยจะต้องมิใช่คนเลวร้ายอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาหมั่นฝึกฝนกันและเข้าร่วมหอชั้นในด้วยกันให้ได้เถอะ เมื่อถึงตอนนั้น เราจะได้ทราบว่าหนูอ้วนเถาเป็นใครกันแน่”
ฉินอวี้โม่เขย่ามือเหลิ่งซวงเสวี่ยเล็กน้อยก่อนลุกขึ้นยืน
เหลิ่งซวงเสวี่ยก็รู้สึกอึดอัดพอสมควร ทว่าในขณะเดียวกันนางก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบางอย่าง ราวกับว่าทันทีที่เล่าเรื่องราวของตนให้ฉินอวี้โม่ได้ฟัง สภาวะจิตใจของนางก็ปลอดโปร่งขึ้นมาก
“ไม่จำเป็นต้องบอกหนูอ้วนเถาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้นางร่าเริงเช่นนี้ต่อไปเถอะ”
หลังจากไตร่ตรองเล็กน้อย เหลิ่งซวงเสวี่ยก็กล่าวกำชับกับฉินอวี้โม่เบา ๆ
การรักษาความสุขและความไร้เดียงสานั้นไว้มิใช่เรื่องง่าย หากเป็นไปได้ นางก็หวังว่าเด็กสาวจะรับรู้ถึงความจริงที่เลวร้ายเหล่านี้ในภายหลัง
“เด็กนั่นมิใช่คนโง่เขลาหรอก”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม แม้จะไม่เคยเอ่ยปากออกมา คาดว่าเด็กสาวเถาเซี่ยวเซี่ยวก็คงจะคาดเดาบางอย่างได้แล้ว