หลังจากใช้เวลาอยู่ในห้องของเหลิ่งซวงเสวี่ยเป็นพักใหญ่ ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็กลับไปยังห้องของตน
ตลอดช่วงหลายวันต่อมา นางก็ไม่ได้ออกไปที่ลานประลองยุทธ์ของหอชั้นนอกและเลือกที่จะเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในห้องส่วนตัว อย่างไรก็ตาม นั่นทำให้หลายคนที่ได้ยินเรื่องฝีมือการต่อสู้ของฉินอวี้โม่ที่โดดเด่นกว่าเสิ่นเสี่ยวไห่และขลุกตัวอยู่ที่ลานประลองยุทธ์ตลอดทั้งวันเพื่อรอที่จะได้เห็นฝีมือของนางต้องผิดหวังไปตาม ๆ กัน
เวลาสิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ภายในเวลาสิบวันนี้ ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าพลังของนางดูจะพัฒนาขึ้นเล็กน้อยและอาจทะลวงพลังได้ทุกเมื่อ
สำหรับคฤหาสน์เฟิงหัว นางยังคงติดต่อกับมันไม่ได้เช่นเดิม อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมีซิวอยู่ในนั้น ฉินอวี้โม่จึงไม่เป็นกังวลนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสถานการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ มันก็ถือเป็นเคราะห์ดียิ่งนักที่ฉินอี้เฟยและคนอื่น ๆ ตัดสินใจที่จะแยกย้ายกันเพื่อฝึกวิชาในก่อนหน้านี้และไม่ได้เลือกที่จะเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว
เช้าตรู่ของวันนี้ ฉินอวี้โม่เพิ่งออกจากสภาวะการเก็บตัวเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเถาเซี่ยวเซี่ยว
“พี่เหลิ่ง ท่านคิดถึงข้ารึไม่ ? ข้าคิดถึงท่านจนจะแทบตายเลยล่ะ”
ณ ห้องนั่งเล่น เถาเซี่ยวเซี่ยวดึงมือเหลิ่งซวงเสวี่ยเพื่อไปหาที่พูดคุยกัน นางพยายามใช้เสียงเบาเนื่องจากกังวลว่าจะรบกวนการฝึกฝนของฉินอวี้โม่โดยไม่คิดว่าช่วงเวลาการเก็บตัวของฉินอวี้โม่จะสิ้นสุดลงแล้ว
“การเก็บตัวฝึกวิชามิใช่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้ โดยเฉพาะคนอย่างข้าที่ไม่เหมาะกับการเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวจริง ๆ นึกไม่ออกเลยว่าตาเฒ่าทั้งหลายที่เก็บตัวจำศีลเป็นเวลานานหลายร้อยปีทนอยู่เช่นนั้นได้อย่างไร”
เนื่องจากทราบดีว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยจะไม่ตอบโต้ต่อคำพูดของนาง นางจึงพูดเองเออเองอย่างไม่หยุดหย่อน
“ทุกคนล้วนมีวิธีในการฝึกฝนของตนเองอยู่ อย่างเจ้าเองก็เหมาะที่จะออกไปท่องโลกและสั่งสมประสบการณ์ข้างนอกมากกว่า”
จู่ ๆ เหลิ่งซวงเสวี่ยก็กล่าวขึ้นและนั่นทำให้เสียงของเถาเซี่ยวเซี่ยวเงียบกริบและชะงักค้างไปชั่วขณะ
“พี่เหลิ่ง นี่ท่านกำลังพูดกับข้าอยู่หรือ ?!”
เด็กสาวอ้าปากค้างก่อนกล่าวด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เถาเซี่ยวเซี่ยวทราบดีว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยเป็นคนอย่างไร แม้พักอยู่ในเรือนหลังเดียวกันมานานกว่าหนึ่งปี เหลิ่งซวงเสวี่ยก็เอ่ยปากกล่าวกับนางไม่ถึงสิบประโยคด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่นางมักจะเป็นฝ่ายที่ก่อกวนเหลิ่งซวงเสวี่ยในขณะที่อีกฝ่ายเพียงรับฟังอย่างเงียบ ๆ หรือไม่ก็แสดงท่าทางที่พร้อมจะปิดประตูส่งแขกทุกเมื่อ
คิดไม่ถึงเลยว่าในวันนี้เจ้าหญิงน้ำแข็งจะตอบสนองต่อคำพูดของนางและยังเป็นประโยคที่ยาวอย่างผิดปกติเช่นนี้
“มิใช่ข้าแล้วจะเป็นผีสางที่ไหนรึ ?”
เหลิ่งซวงเสวี่ยกล่าวอย่างเรียบเฉย แม้ยังคงเย็นชาและดูเย่อหยิ่งเข้าถึงยากเช่นเดิม ทว่านางก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
ก่อนหน้านี้เรียกได้ว่านางตกอยู่ในสภาวะที่มืดแปดด้าน ทว่าบทสนทนาอันยืดยาวกับฉินอวี้โม่ทำให้นางตระหนักถึงสิ่งหนึ่ง…
นางไม่จำเป็นต้องจมปลักกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและไม่จำเป็นต้องสนใจความคิดของผู้อื่น ตราบใดที่มิตรสหายและคนที่นางรักให้การยอมรับ เท่านั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เพราะเหตุนั้น เหลิ่งซวงเสวี่ยจึงตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเล็กน้อย จากเดิมที่เคยเย็นชากับเถาเซี่ยวเซี่ยว แม้เด็กสาวจะคุ้นชินและไม่คิดมากนัก เหลิ่งซวงเสวี่ยก็รู้สึกว่าควรปฏิบัติต่อเถาเซี่ยวเซี่ยวให้ดีขึ้นเพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องพูดคุยคนเดียวเป็นส่วนใหญ่
“สวรรค์ ! นี่ท่านกำลังหยอกล้อข้ารึ ?!”
เถาเซี่ยวเซี่ยวตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม นางอดไม่ได้ที่จะก้าวออกไปข้างหน้าและต้องการจิ้มแก้มเหลิ่งซวงเสวี่ยเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นตัวจริง แต่แล้วก็ถูกอีกฝ่ายหยุดไว้เสียก่อน
“ศิษย์พี่เหลิ่ง ท่านควรจะเย็นชากับหนูอ้วนเถาให้มากกว่านี้ มิเช่นนั้น…ท่านจะต้องรำคาญนางแน่ ฮ่า ๆ ๆ”
ฉินอวี้โม่เปิดประตูห้องออกมาทันเห็นสถานการณ์ของทั้งคู่ นางจึงกล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดังออกมา
เหลิ่งซวงเสวี่ยยกยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้ นางเองก็รู้สึกว่าฉินอวี้โม่กล่าวถูกต้องทุกประการ
ก่อนหน้านี้ที่นางไม่เคยตอบโต้ เถาเซี่ยวเซี่ยวก็สามารถเอ่ยปากพูดยาวเหยียดได้เป็นเวลานานแล้ว หากมีการตอบโต้เป็นระยะ ๆ คาดว่าเด็กสาวคงจะพูดไม่หยุดตลอดสามวันสามคืน
“พี่อวี้โม่ ท่านหัวเราะข้าหรือ !”
เถาเซี่ยวเซี่ยวแสร้งพ่นลมหายใจด้วยความโกรธเคืองและวิ่งตรงไปหาฉินอวี้โม่ที่ยืนอยู่หน้าประตู
“คอยดูเถอะ หากข้าจั๊กจี้ท่าน ท่านจะได้หัวเราะไม่หยุดแน่”
ทั้งสองหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานและทำให้บรรยากาศในเรือนเล็ก ๆ หลังนี้มีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
“พี่อวี้โม่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
หลังจากต่อสู้เล่นสนุกกันพักใหญ่ เถาเซี่ยวเซี่ยวก็จับมือและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“พี่เหลิ่งไม่เพียงแต่ตอบข้าเท่านั้น ทว่ายังหัวเราะออกมาด้วย หากพี่เหลิ่งแสดงมุมน่ารักเช่นนี้เมื่ออยู่ข้างนอก เดาไม่ได้เลยว่าจะมีบุรุษหนุ่มในนิกายหมื่นกระบี่หลงใหลในตัวนางมากเพียงใด และหากเป็นเช่นนั้น เฉินหว่านเอ๋อร์ เถียนซินและคนอื่น ๆ ก็สู้พี่เหลิ่งไม่ได้แน่”
เหลิ่งซวงเสวี่ยถึงกับพูดไม่ออกและอดแตะศีรษะของเด็กสาวด้วยความเอ็นดูไม่ได้
“พี่เหลิ่งของเจ้าหัวเราะกับพวกเราก็พอ คนอื่นไม่สำคัญหรอก เจ้าไม่คิดหรือว่าสตรีงดงามที่เย็นชาเช่นนี้จะทำให้คนอื่นหงุดหงิดและริษยาเอาได้ ?”
ฉินอวี้โม่จิ้มแก้มนิ่มของเถาเซี่ยวเซี่ยวและกล่าวขึ้นโดยไม่อธิบายมากนัก
“เหอะ หากใครกล้ารังแกท่าน ข้าจะอัดให้น่วมเลยล่ะ !”
เถาเซี่ยวเซี่ยวแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์และทำหน้ามุ่ยแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“พรืด…”
ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยหัวเราะเบา ๆ เถาเซี่ยวเซี่ยวผู้นี้เป็นสตรีที่มีชีวิตชีวายิ่งนัก ในขณะเดียวกัน นางก็เป็นคนฉลาดอย่างแท้จริงและสามารถเข้าใจบางคำพูดได้โดยไม่ต้องมีคำอธิบายใด เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้คนชื่นชอบได้มากแล้ว
“อีกอย่าง…ก่อนหน้านี้ข้าออกไปข้างนอกและได้ยินข่าวบางอย่างมา ตอนที่ข้าเก็บตัวเมื่อหลายวันก่อน พี่อวี้โม่แสดงฝีมือที่น่าตกใจออกมาและเอาชนะได้แม้กระทั่งศิษย์พี่เสิ่นเสี่ยวไห่ซึ่งถือเป็นถึงจอมยุทธ์อันดับสามของหอชั้นนอก มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่เจ้าคะ ?”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ เถาเซี่ยวเซี่ยวก็เอ่ยถามออกไปและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชื่นชมยิ่งกว่าเดิม
“มันมิใช่การเอาชนะหรอก มันเป็นเพียงการประมือกันอย่างสูสีเท่านั้น ความแข็งแกร่งของศิษย์พี่เสิ่นไม่ได้อยู่ในระดับที่อ่อนแอเลยและวันนั้นเขาก็ไม่ได้แสดงฝีมือออกมาอย่างเต็มที่ มิเช่นนั้น ข้าคงจะพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า”
ถึงอย่างไร ข่าวลือก็เป็นข่าวลือและเนื้อหาที่แต่งเติมขึ้นมาก็เป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่ยอมรับไม่ได้ ต่อให้ใช้ไพ่ตายทั้งหมดโดยที่ยังไม่สามารถใช้งานคฤหาสน์เฟิงหัวได้ นางก็มิอาจคาดเดาได้เลยว่าจะเอาชนะเสิ่นเสี่ยวไห่ได้หรือไม่ แม้ว่านางจะมีสภาวะร่างกายที่พิเศษและมีไพ่ตายที่ทรงพลัง รวมถึงมีโอกาสอีกมากมายก็จริง ทว่าเสิ่นเสี่ยวไห่ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ถึงอย่างไร ผู้ที่สามารถเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับสองเช่นนิกายหมื่นกระบี่ได้ ผู้ใดกันที่จะเป็นจอมยุทธ์ที่อ่อนแอ
แม้แต่เถียนซินที่นางเอาชนะได้อย่างง่ายดายก็ยังมีจุดเด่นในบางด้าน ในอนาคตข้างหน้า หากต้องประจันหน้ากันอีกครา ฉินอวี้โม่ก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้อีกหรือไม่
“ทรงพลังยิ่งนัก ศิษย์พี่เสิ่นเสี่ยวไห่คือจอมยุทธ์อันดับสามของหอชั้นนอกซึ่งด้อยกว่าอันดับหนึ่งและอันดับสองเพียงไม่มาก หากพี่อวี้โม่ต่อกรกับเขาได้ นั่นก็หมายความว่าท่านมีพลังพอที่จะสู้กับอีกสองคนได้ อย่างไรก็ตาม พลังของคนทั้งสองและศิษย์พี่เสิ่นเสี่ยวไห่บรรลุถึงขอบเขตเทพเซียนสองดาราขั้นสูงสุดแล้ว ทว่าพี่อวี้โม่อยู่เพียงขอบเขตเทพสวรรค์ขั้นสูงสุดเท่านั้น”
ความชื่นชมที่เถาเซี่ยวเซี่ยวมีต่อฉินอวี้โม่ไม่เคยลดน้อยลงและยังมองว่านางทรงพลังอย่างยิ่ง
“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าคิดว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน ข้าหรือศิษย์พี่เหลิ่ง ?”
ฉินอวี้โม่อดเอ่ยถามเพื่อหยอกเย้าเถาเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้ ทว่านางเองก็สงสัยในสิ่งที่ถามออกไปเช่นกัน
“พลังของศิษย์พี่เหลิ่งแกร่งกล้ามากและมีโอกาสชนะจอมยุทธ์ทั้งสามอันดับแรกของหอชั้นนอกด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม พลังของพี่เหลิ่งในปัจจุบันก็อยู่ที่ขอบเขตเทพเซียนสองดาราเหมือนกับจอมยุทธ์เหล่านั้น ข้าจึงคิดว่าพี่อวี้โม่คงจะแข็งแกร่งมากกว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรท่านทั้งสองก็แข็งแกร่งมากกว่าข้า และข้ายังอ่อนแอเกินไป”
เถาเซี่ยวเซี่ยวเริ่มจากการวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของพี่สาวทั้งสองก่อนแสดงสีหน้าท่าทางที่น่าเห็นใจ
“เด็กน้อยเอ๋ย~”
ฉินอวี้โม่โยกศีรษะเถาเซี่ยวเซี่ยวไปมาเบา ๆ มุมปากของเหลิ่งซวงเสวี่ยก็ยกเป็นรอยยิ้มบาง นางรู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวร่าเริงผู้นี้ยิ่งนัก