ทั้งสามพูดคุยกันอยู่ในเรือนเป็นพักใหญ่ก่อนตัดสินใจออกไปข้างนอกเพื่อตรวจดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ทันทีที่ก้าวออกจากบริเวณเรือนที่พัก ทั้งสามก็พบกับคนกลุ่มหนึ่งที่มุ่งหน้าเข้ามาหา
คนเหล่านั้นได้แก่เถียนซิน เฉินหว่านเอ๋อร์ เสิ่นเสี่ยวไห่ สามพี่น้องตระกูลเมิ่ง รวมถึงศิษย์อีกหลายคนที่มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ของหอชั้นนอก
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ศิษย์น้องเหลิ่งและศิษย์น้องเถา พวกเจ้าทั้งสามจะไปที่ใดกันหรือ ?”
เมื่อพบหน้าสตรีทั้งสาม เฉินหว่านเอ๋อร์ก็กล่าวขึ้นเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรราวกับเหตุการณ์ปะทะเมื่อหลายวันก่อนถูกลืมเลือนไปเสียสนิท
“หน้าซื่อใจคด !”
สวีเยว่ชำเลืองมองเฉินหว่านเอ๋อร์ด้วยแววตาเย้ยหยันและแสดงความรังเกียจที่มีอย่างเปิดเผย
“ฉินอวี้โม่ แม้ก่อนหน้านี้เจ้าจะเอาชนะข้าได้ แต่ข้าก็ไม่ยอมรับหรอกว่าเจ้าเก่งกาจมากกว่าข้า คราต่อไป ข้าจะเอาชนะเจ้าด้วยมือของข้าเอง !”
เถียนซินเดินตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่และเอ่ยเรียกด้วยชื่อ ‘ฉินอวี้โม่’ แทนคำว่า ‘นังบ้านนอก’ เป็นครั้งแรก
“ไม่มีปัญหา พร้อมเมื่อไหร่ก็เชิญได้ทุกเมื่อ !”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบอย่างไม่เกรงกลัว หากเทียบกับเฉินหว่านเอ๋อร์จอมเสแสร้ง นางรู้สึกดีกับเถียนซินและสวีเยว่ที่แสดงความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจนมากกว่า อย่างน้อยที่สุด ทั้งสองก็หมายหัวนางอย่างเปิดเผยซึ่งแตกต่างจากเฉินหว่านเอ๋อร์ที่เสแสร้งแสดงละครและพยายามยุให้รำ ตำให้รั่ว
* 挑拨离间 ยุให้รำ ตำให้รั่ว ความหมายคือ ยุแยงให้ผู้อื่นแตกคอกัน ความหมายเหมือนกับเสี้ยมเขาให้ชนกันและยุแยงตะแคงรั่ว
“ศิษย์พี่เถียนซิน คราต่อไป พี่อวี้โม่ไม่จำเป็นต้องลงมือเองหรอก เพราะเพียงแค่ข้าก็เอาชนะท่านได้แล้ว”
เถาเซี่ยวเซี่ยวยกกำปั้นโบกไปมาตรงหน้าเถียนซินและกล่าวเสียงแข็งเพื่อแสดงจุดยืนว่าต้องการปกป้องฉินอวี้โม่ สำหรับเฉินหว่านเอ๋อร์ นางถูกเมินเฉยราวกับไม่อยู่ในสายตา เถาเซี่ยวเซี่ยวเองก็ไม่ต้องการเสียเวลาเสวนากับคนเสแสร้งแกล้งทำเช่นนั้น
“ศิษย์น้องทั้งสาม เรามาที่นี่ในวันนี้เพราะต้องการจะถามความคิดเห็นของพวกเจ้าในเรื่องบางอย่าง”
เสิ่นเสี่ยวไห่กล่าวขึ้นและเปิดเผยจุดประสงค์ของการมาที่นี่
เมื่อวานนี้ หอชั้นนอกของนิกายหมื่นกระบี่ได้ทำการมอบหมายภารกิจบางอย่าง หากทำสำเร็จ คนผู้นั้นจะมีโอกาสเข้าร่วมหอชั้นในได้โดยตรงและไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการประเมินเลื่อนชั้นอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ภารกิจดังกล่าวมิใช่เรื่องง่าย บรรดาผู้อาวุโสจึงหารือกันและตัดสินใจให้จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหอชั้นนอกรวมกลุ่มเพื่อดำเนินภารกิจนี้ร่วมกัน และโอกาสในการเข้าร่วมกับหอชั้นในจะถูกตัดสินในภายหลัง
เวลานี้ จอมยุทธ์สองอันดับแรกของหอชั้นนอกกำลังดำเนินภารกิจอื่นอยู่นอกนิกาย ในบรรดาผู้ที่เหลือ คนที่แข็งแกร่งที่สุดคือเสิ่นเสี่ยวไห่และเมิ่งเถียน แม้หอชั้นนอกจะมีการจัดอันดับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นสิบอันดับแรก พวกเขาเหล่านั้นก็ล้วนอยู่ในช่วงเก็บตัวเพื่อฝึกวิชา เว้นเพียงแต่จอมยุทธ์ที่มีนามว่า ‘เซียวหมิง’ เพราะเหตุนั้น หลังจากคัดเลือกเป็นเวลานาน พวกเขาจึงยังขาดแคลนคนอยู่
ในตอนนั้นเองที่เถียนซินเสนอชื่อของฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยเนื่องจากเชื่อว่าทั้งสองมีฝีมือมากพอที่จะช่วยในภารกิจครานี้ได้ สำหรับเถาเซี่ยวเซี่ยว แม้ความแข็งแกร่งโดยรวมของนางจะอ่อนแอกว่าเล็กน้อย นางก็มีสมบัติล้ำค่ามากมายที่จะช่วยมิให้นางกลายเป็นภาระของผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามจะตอบตกลงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกนาง
“ภารกิจอะไรหรือ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามและไม่รีบร้อนตกปากรับคำ
“เมื่อหลายวันก่อน เกิดเรื่องประหลาดในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า ‘หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา’ เดิมทีมันเป็นหมู่บ้านรกร้างที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่นอกเหนือจากโรงเตี๊ยมสองหลัง ทว่าในช่วงที่ผ่านมา จอมยุทธ์ที่ผ่านไปที่หมู่บ้านนั้นล้วนหายตัวไปอย่างลึกลับ ผู้อาวุโสก็ได้ส่งคนออกไปสืบเรื่องนี้แล้วทว่าคนผู้นั้นกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่ส่งข่าวกลับมาเช่นกัน เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจมอบหมายภารกิจนี้และวัดระดับความแข็งแกร่งของศิษย์นอกในเวลาเดียวกัน หลังจากทำภารกิจสำเร็จ เราจะได้รับตำแหน่งสองที่นั่งในการเข้าสู่หอชั้นในโดยไม่ต้องผ่านการประเมิน มันถือเป็นรางวัลที่ไม่เลวเลย”
เมิ่งฝานกล่าวอธิบายเนื้อหาของภารกิจให้กับฉินอวี้โม่และอีกสองคนได้ทราบอย่างคร่าว ๆ
“เรื่องที่น่าสนุกเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเราไม่มีทางพลาดอยู่แล้ว”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวขึ้นเป็นคนแรก นางไม่เคยออกไปในที่ห่างไกลเช่นหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆามาก่อน และครานี้นางจะได้ออกไปท่องโลกเพื่อหาความบันเทิงให้กับตนเองเสียที
ฉินอวี้โม่หันมองเหลิ่งซวงเสวี่ยเล็กน้อย หากจำไม่ผิด หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาควรจะเป็นถิ่นกำเนิดของนาง
“ข้าไม่เป็นไร”
เหลิ่งซวงเสวี่ยส่ายศีรษะเบา ๆ นางมองข้ามเรื่องนั้นไปนานแล้ว ในเมื่อมีโอกาสดีเช่นนี้ นางจะไม่ยอมพลาดอย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นเราจะไปที่นั่นด้วย หากได้สิทธิ์ที่จะเข้าร่วมกับหอชั้นในสองที่และศิษย์พี่เถียนซินได้เข้าไปก่อน ข้าไม่มั่นใจนักว่าข้าจะเอาชนะนางได้เมื่อถึงการประจันหน้าคราต่อไป”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบตกลงและกล่าวติดตลกกับเถียนซิน
“เหอะ เรื่องนั้นมันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว !”
เถียนซินแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ต่อให้ไม่ได้รับโอกาสนั้นมา ข้าก็ยังเข้าร่วมกับหอชั้นในได้แน่ เพราะเหตุนั้น แม้ว่าคนอื่นจะได้รับโอกาสนั้นไปก่อน ข้าก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด !”
นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเย้ยหยันต่อฉินอวี้โม่
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ข้าจะสรุปให้ฟังว่าจะมีใครเดินทางไปบ้าง”
เสิ่นเสี่ยวไห่ขัดจังหวะทั้งสองและเริ่มบ่งบอกถึงรายชื่อของผู้ที่จะออกไปทำภารกิจในครานี้
เขา เซียวหมิง สามพี่น้องตระกูลเมิ่ง เฉินหว่านเอ๋อร์ เถียนซินและสวีเยว่ รวมกับฉินอวี้โม่ เหลิ่งซวงเสวี่ย เถาเซี่ยวเซี่ยวและผู้ติดตามของเฉินหว่านเอ๋อร์ที่มีนามว่า ‘ผางเลี่ยง’ รวมกันเป็นกลุ่มของสิบสองคน
ทั้งสิบสองคนถือเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจของหอชั้นนอก แม้แต่เมิ่งจวินและเถาเซี่ยวเซี่ยวที่อ่อนแอกว่าคนอื่น ๆ ก็ยังมีพลังอยู่ในขอบเขตเทพเซียนสองดาราขั้นต้นแล้วซึ่งจัดว่าเป็นจอมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นในดินแดน
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
ในเมื่อรวมกลุ่มกันครบแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอีกต่อไป เสิ่นเสี่ยวไห่จึงถ่ายทอดคำสั่งออกไปโดยตรง
และเพื่อให้สมาชิกในกลุ่มปรองดองและร่วมมือกันเป็นอย่างดี พวกเขาจึงเลือกให้เสิ่นเสี่ยวไห่เป็นหัวหน้ากลุ่มชั่วคราวและการดำเนินการทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา
เถียนซินและสวีเยว่เดินด้วยกันขณะชำเลืองมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเย้ยหยันเป็นครั้งคราว
เฉินหว่านเอ๋อร์ก็ต้องการกล่าวบางอย่างกับฉินอวี้โม่ ทว่าถูกเถาเซี่ยวเซี่ยวขวางไว้เสียก่อน นางจึงรู้สึกเสียหน้าและไม่เข้าไปใกล้พวกนางอีก
คนทั้งสองคู่เดินขนาบด้านข้างโดยมีกลุ่มใหญ่ของฉินอวี้โม่ประจำอยู่ตรงกลาง
สามพี่น้องตระกูลเมิ่งและฉินอวี้โม่สนิทสนมกันอยู่แล้ว แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเดินด้วยกันและพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เสิ่นเสี่ยวไห่เองก็ชื่นชมฉินอวี้โม่มาก และด้วยการที่เขาและเซียวหมิงเป็นสหายที่ดีต่อกัน เพราะเหตุนั้น ทั้งสองจึงเดินอยู่ใกล้กับฉินอวี้โม่และพูดคุยกันเป็นระยะ ๆ บรรยากาศของทั้งกลุ่มจึงดูเป็นมิตรและกลมเกลียวกันยิ่งนัก
“เฮอะ อย่าหลงระเริงเพียงเพราะมีจำนวนคนมากกว่า มันไม่ได้วิเศษวิโสแต่อย่างใด”
เถียนซินและสวีเยว่ถึงกับคันปากและอดกล่าวเหน็บแนมไม่ได้ ในความจริง พวกนางก็ต้องการเข้ามาใกล้เพื่อฟังบทสนทนาของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทว่ายังต้องรักษาหน้าไว้
เฉินหว่านเอ๋อร์ก็แทบจะเสียสติเพราะความริษยาทว่าพยายามสงบสติอารมณ์ไว้เพื่อมิให้ธาตุแท้เปิดเผยออกไป แม้แต่ผางเลี่ยงที่ตามติดนางตลอดทางก็ไม่ทันสังเกตเห็นถึงบรรยากาศของนางที่เปลี่ยนไป
หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาตั้งอยู่ทางใต้ของนิกายหมื่นกระบี่และอยู่ไม่ไกลออกไปนัก ทุกคนจึงเดินหน้าอย่างไม่รีบร้อนพร้อมกับกระบี่คู่กายและใช้เวลารวมสิบวันก่อนมาถึงที่เมืองอวิ๋นหลานซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา
เมืองอวิ๋นหลานคือที่ที่เหลิ่งซวงเสวี่ยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ และตระกูลของอดีตคู่หมั้นใจหยาบของนางก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
เมื่อมาถึงหน้าประตูเมืองอวิ๋นหลาน ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นพลังจากร่างของเหลิ่งซวงเสวี่ย แม้เรื่องราวในอดีตจะจบลงไปนานแล้ว มันก็ยังมีความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่เป็นเงาไม่หาย
นางจับมือเหลิ่งซวงเสวี่ยไว้เพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายลง
“เข้าไปในเมืองและสืบหาข่าวกันก่อนเถอะ จากนั้นเราจะวางแผนกันว่าควรทำเช่นไรต่อ”
เสิ่นเสี่ยวไห่ออกคำสั่งและทุกคนก็มุ่งหน้าเข้าไปในเมืองอย่างรวดเร็ว