เมืองอวิ๋นหลานเป็นเพียงเมืองระดับสามที่มีขนาดเล็กและมีผู้คนสัญจรไปมาไม่มากนัก
ทันทีที่ฉินอวี้โม่และกลุ่มจอมยุทธ์ปรากฏตัวที่ประตูเมือง พวกนางก็ตกเป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย
คนทั้งกลุ่มก็เข้าไปพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก่อนที่เจ้าเมืองอวิ๋นหลานจะทราบข่าวและรีบมุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็ว
“ไม่ทราบว่าท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายมาที่เมืองอวิ๋นหลานเล็ก ๆ ของเราด้วยเหตุอันใดหรือ ?”
หลังจากที่ได้พบกับฉินอวี้โม่และคณะจอมยุทธ์ เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่เคารพนอบน้อม
เห็นได้ชัดว่าเจ้าเมืองอวิ๋นหลานสัมผัสถึงพลังความแข็งแกร่งของพวกนางได้ ในเมื่อทราบว่าคนเหล่านี้มิใช่คนธรรมดาที่ผ่านมา เขาในฐานะเจ้าเมืองของเมืองเล็ก ๆ จึงมิอาจทำสิ่งใดให้คนเหล่านี้ขุ่นเคืองใจได้
ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อยเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุด จอมยุทธ์ทั้งสิบสองคนก็คงจะมาจากขุมกำลังระดับสองของดินแดน
“เราเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่และถูกส่งมาที่นี่เพื่อสืบเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองอวิ๋นหลาน หากเป็นไปได้ เราก็อยากจะขอความร่วมมือจากเจ้าเมืองอวิ๋นหลานขอรับ”
เสิ่นเสี่ยวไห่กล่าวตอบ ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์จากนิกายหมื่นกระบี่ ถือว่าเขามีหน้ามีตามากกว่าเจ้าเมืองของเมืองขนาดเล็กอย่างเมืองอวิ๋นหลานเสียอีก
“ที่แท้ก็เป็นคณะศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่นี่เอง ข้าขออภัยจริง ๆ ที่หยาบคายและไม่ได้ให้การต้อนรับอย่างดี”
โจวเทียนเฉิง—เจ้าเมืองอวิ๋นหลานเป็นบุคคลที่ชาญฉลาดและมีไหวพริบดี เมื่อได้ทราบตัวตนของอีกฝ่าย เขาก็รีบประกบกำปั้นแสดงความเคารพต่อเสิ่นเสี่ยวไห่และทุกคนด้วยท่าทางที่นอบน้อมยิ่งกว่าเดิม
“สิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาทำให้ข้ารู้สึกจนปัญญาเช่นกัน ช่างโชคดีจริง ๆ ที่พวกท่านจอมยุทธ์จากนิกายหมื่นกระบี่มาเพื่อจัดการกับปัญหานี้ หากต้องการสิ่งใด พวกท่านสามารถบอกข้าได้ทุกเมื่อ ตราบใดที่ทำได้ ข้าจะไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน”
เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาทำให้โจวเทียนเฉิงต้องปวดหัวไม่น้อย
แม้หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาจะตั้งอยู่ห่างจากเมืองอวิ๋นหลานของพวกเขาเป็นระยะที่ไกลพอสมควร ทว่าบรรดาผู้ที่หายตัวไปในที่แห่งนั้นก็มีทายาทรุ่นเยาว์หลายคนของตระกูลในเมืองอวิ๋นหลานรวมอยู่ด้วย
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา คนของตระกูลเหล่านั้นต่างก็ต้องการคำตอบสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและกดดันเจ้าเมืองอย่างเขาทุกวิถีทาง เขาจึงจำต้องหาคำอธิบายไปให้กับคนเหล่านั้นให้ได้
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้โจวเทียนเฉิงรู้สึกอับจนหนทาง เขาต้องการจะสะสางเรื่องนี้โดยเร็วทว่าไม่มีหนทางทำได้ด้วยตัวเอง
“ถ้าเช่นนั้น เราต้องขอบคุณท่านเจ้าเมืองไว้เป็นการล่วงหน้า”
เสิ่นเสี่ยวไห่ประกบกำปั้นแสดงความขอบคุณต่อโจวเทียนเฉิง ท่าทางนอบน้อมและสุภาพของเขาก็ทำให้เจ้าเมืองอวิ๋นหลานคลายความเกร็งลง
ก่อนหน้านี้เขากังวลว่ากลุ่มจอมยุทธ์จากนิกายระดับสองจะยโสโอหังและวางตัวสูงส่งจนเข้าถึงได้ยาก ทว่าตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าเขาคิดมากเกินไปเองและข่าวลือที่เขาเคยได้ยินล้วนเป็นความจริง ศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่เหล่านี้ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดีและพวกเขาถือเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่มีชื่อเสียงในแง่ดีที่สุดของดินแดนซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง
“เชิญท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายพักในจวนเจ้าเมืองเถอะ ข้าในฐานะเจ้าบ้านจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี”
หลังจากไตร่ตรองเล็กน้อย เขาก็เอ่ยเชิญชวนด้วยน้ำเสียงที่สุภาพเช่นเดิม
“ไม่ดีกว่าขอรับ พวกเราพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ดีอยู่แล้ว หากต้องการหรือขาดเหลือสิ่งใด เราจะไปพบท่านที่จวนเจ้าเมืองเอง”
เสิ่นเสี่ยวไห่ส่ายศีรษะและปฏิเสธกลับไป เขาไม่มีความคิดที่จะไปพักในจวนเจ้าเมืองแม้แต่น้อย
แม้สัมผัสได้ว่าโจวเทียนเฉิงเชิญพวกตนไปพักที่นั่นด้วยความจริงใจ เขาก็รู้สึกว่าการที่พวกตนพักอยู่ในโรงเตี๊ยมจะสะดวกและมีความเป็นอิสระมากกว่า
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่คัดค้าน”
โจวเทียนเฉิงพยักศีรษะและกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนกำชับให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมให้การต้อนรับคณะจอมยุทธ์เหล่านี้เป็นอย่างดี จากนั้นเขาก็กลับไปยังจวนเจ้าเมืองและจัดการธุระของตนต่อ
ภายในโรงเตี๊ยม จอมยุทธ์ทั้งสิบสองคนแยกย้ายไปยังห้องพักของตน โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีขนาดใหญ่พอสมควรและมีห้องเป็นจำนวนมาก ทุกคนจึงมีห้องพักส่วนตัวโดยที่ไม่ต้องรบกวนกันและกัน
ฉินอวี้โม่พักอยู่ในห้องถัดจากเถาเซี่ยวเซี่ยวและเหลิ่งซวงเสวี่ย สามพี่น้องตระกูลเมิ่งก็พักอยู่บนชั้นที่สามเช่นเดียวกับพวกนาง รวมถึงเซียวหมิงที่พักอยู่ในชั้นเดียวกัน
เสิ่นเสี่ยวไห่ เถียนซินและคนอื่น ๆ พักอยู่ในชั้นที่สองซึ่งไกลจากกันพอควร
ทุกคนไม่รีบร้อนพักผ่อน ทว่ารวมตัวกันในห้องโถงของโรงเตี๊ยมเพื่อพูดคุยหารือเกี่ยวกับข้อมูลเบาะแสที่เจ้าเมืองโจวเทียนเฉิงส่งมา
แม้ได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆามาบ้างแล้ว แต่พวกมันก็ไม่ละเอียดเท่ากับข้อมูลของโจวเทียนเฉิง
จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับจากโจวเทียนเฉิง มันมีบันทึกเกี่ยวกับระยะเวลาที่เริ่มเกิดความผิดปกติในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา รวมถึงสถานการณ์ในบริเวณโดยรอบหมู่บ้านซึ่งมีการทำเครื่องหมายไว้อย่างชัดเจน
หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาในปัจจุบันเป็นหมู่บ้านที่รกร้างอย่างแท้จริงและประชากรที่เคยอาศัยที่นั่นหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างไรก็ตาม จากการคาดการณ์ของพวกเขา มีความเป็นไปได้สูงว่าคนเหล่านั้นจะเสียชีวิตไปทั้งหมดแล้ว
และเหตุการณ์ประหลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้น
“มีบันทึกไว้ว่าในยามราตรี พื้นที่รอบหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาจะปกคลุมไปด้วยชั้นหมอกหนา เพราะเหตุนั้น ข้าคิดว่าพวกเราควรจะไปที่นั่นในตอนกลางวันเพื่อรักษาความปลอดภัยของทุกคน”
หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เสิ่นเสี่ยวไห่ก็กล่าวเสนอออกไป
“ไม่ได้ ต้องไปกลางคืน”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา เหลิ่งซวงเสวี่ยผู้ซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดก็กล่าวขึ้นอย่างห้วน ๆ
สายตาของทุกคนหันขวับไปที่นางทันทีและรอฟังคำอธิบายต่อไป
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และกล่าวขึ้นเอง “ศิษย์พี่เหลิ่งคงจะหมายความว่าในเมื่อมีหมอกหนาในยามราตรี นั่นก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเรื่องผิดปกติในเวลานั้น หากเราไปที่นั่นในตอนกลางวัน เราอาจจะไม่ได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์กลับมา”
นางเองก็คิดเช่นเดียวกับเหลิ่งซวงเสวี่ย อีกทั้งบันทึกของเจ้าเมืองอวิ๋นหลานก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าไม่มีเรื่องผิดปกติใดเกิดขึ้นในช่วงกลางวัน ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เคยส่งคนไปสำรวจสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและคนกลุ่มนั้นต่างก็เดินทางกลับมาอย่างปลอดภัยดี
นั่นหมายความว่าสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาจะเกิดขึ้นเพียงในยามราตรีและพวกนางจะได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อเข้าไปสำรวจในเวลานั้น
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นเราจะไปกันในยามราตรี หากเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากล เราก็จะต้องร่วมมือกันอย่างดีและช่วยดูแลซึ่งกันและกัน”
เสิ่นเสี่ยวไห่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจโดยไม่ถามความคิดเห็นจากผู้ใด
แม้เถียนซินและสวีเยว่จะมีเรื่องบาดหมางใจกับฉินอวี้โม่อยู่ พวกนางก็ไม่แสดงออกต่อหน้าบุคคลภายนอกและมีบรรทัดฐานที่ยึดถือไว้ ในเมื่อออกมาทำภารกิจนอกนิกายร่วมกัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกนางจะต้องสร้างความวุ่นวายให้ฝ่ายเดียวกันเอง
เฉินหว่านเอ๋อร์ก็ไม่กล่าวสิ่งใดเช่นกันและเพียงนั่งเงียบต่อไปราวกับค่อย ๆ หายไปเป็นอากาศธาตุ อย่างไรก็ตาม แววตาของนางแสดงความบูดบึ้งเล็กน้อยซึ่งฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ทันสังเกตเห็น
หลังจากพักผ่อนในโรงเตี๊ยมหนึ่งคืน เช้าตรู่วันต่อมา ทุกคนก็วางแผนที่จะออกไปจับจ่ายซื้อของและสืบหาเบาะแสที่เป็นประโยชน์ไปในเวลาเดียวกัน
เฉินหว่านเอ๋อร์ออกจากโรงเตี๊ยมไปตั้งแต่เช้ามืดก่อนทุกคนและแน่นอนว่าผู้ติดตามของนางซึ่งก็คือผางเลี่ยงก็หายตัวไปกับนางเช่นกันโดยที่คนอื่น ๆ มิอาจคาดเดาได้เลยว่าพวกนางไปที่ใด
อย่างไรก็ตาม คนอื่น ๆ ไม่สนใจแม้แต่น้อย ทุกคนได้หารือกันไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะรวมตัวกันที่ประตูเมืองในเวลาหกโมงเย็น เฉินหว่านเอ๋อร์และผางเลี่ยงเพียงต้องกลับมาให้ทันเวลาเท่านั้น
เถียนซินและสวีเยว่ก็ไม่ต้องการขลุกอยู่กับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทั้งสองจึงแยกตัวออกไปท่องชมรอบเมืองด้วยกัน
สำหรับคนอื่น ๆ ที่เหลือ พวกเขาก็ยังคงรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันและพูดคุยกันด้วยบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา
แม้เป็นเพียงเมืองขนาดเล็ก เมืองอวิ๋นหลานก็คึกคักและมีชีวิตชีวากว่าหอชั้นนอกของนิกายหมื่นกระบี่มากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเถาเซี่ยวเซี่ยวผู้ซึ่งไม่เคยออกมาเยือนโลกภายนอกที่มีท่าทีตื่นเต้นเป็นพิเศษ
เถาเซี่ยวเซี่ยวและเมิ่งจวินเดินนำหน้ากลุ่มคนทั้งหมด ทั้งสองพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานและถือสิ่งของเต็มไม้เต็มมือ แน่นอนว่ามีเพียงพวกนางเท่านั้น สำหรับคนอื่น ๆ เช่นเหลิ่งซวงเสวี่ยและฉินอวี้โม่ที่เคยออกไปท่องโลกมาแล้วมากมาย พวกนางเคยเห็นสิ่งของประหลาดเหล่านี้จนคุ้นตาและไม่รู้สึกสนใจอีกต่อไป
จากนั้นเมิ่งจวินก็ซื้อลูกกวาดแบ่งปันให้กับทุกคนก่อนคนทั้งกลุ่มเดินมาถึงหน้าประตูของภัตตาคารแห่งหนึ่ง
ขณะกำลังจะเดินเข้าไปข้างในนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
“เหลิ่งซวงเสวี่ย นี่เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ !”