ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันและทุกคนกำลังจะเข้าไปในภัตตาคารเพื่อรับประทานอาหารและนั่งพูดคุยกันสักระยะ
ในช่วงเวลานี้ บรรยากาศในภัตตาคารก็คึกคักไปด้วยผู้คนและผู้ที่เอ่ยเรียกเหลิ่งซวงเสวี่ยคือหนึ่งในแขกที่เพิ่งรับประทานอาหารเสร็จสิ้น
นางคือสตรีที่ดูจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเหลิ่งซวงเสวี่ย รูปลักษณ์ของนางก็ถือว่าสวยงามในระดับหนึ่ง กลิ่นอายของการที่ถูกดูแลเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็กแผ่ออกมาจากร่างของนางและใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางที่หนาพอสมควร อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วนางดูจะไร้รสนิยมไม่น้อย
นางเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ และมองเหลิ่งซวงเสวี่ยด้วยแววตาประหลาดใจซึ่งเจือไปด้วยความอคติและไม่เป็นมิตรที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจน
เหลิ่งซวงเสวี่ยเพียงชำเลืองมองนางด้วยสีหน้าท่าทางที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไป
“หลีกไป !”
นางกล่าวขึ้นเพียงสั้น ๆ และไม่ต้องการเสียเวลากับสตรีผู้นี้โดยเปล่าประโยชน์
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน เจ้าดูจะอารมณ์ร้อนไม่น้อย เหลิ่งซวงเสวี่ย...ข้าได้ยินว่าเจ้าเข้าร่วมกับนิกายหมื่นกระบี่มานานทว่ายังเป็นได้เพียงศิษย์นอก หากต้องการคำแนะนำละก็…อย่าเสียเวลาอีกเลย จากประสบการณ์และฝีมือของเจ้าก่อนหน้านี้ เกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติเจ้าก็คงไม่มีวันเข้าไปเป็นศิษย์ในของนิกายหมื่นกระบี่ได้หรอก ต่อให้รอจนวันตาย เจ้าก็จะเป็นศิษย์นอกไปตลอดกาล”
สตรีผู้นั้นแสยะยิ้มออกมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยามเหลิ่งซวงเสวี่ยอย่างไม่ปิดบัง
“เหอะ แล้วเจ้าเป็นใครกัน ? หยุดพล่ามไร้สาระเสียที ความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของพี่เหลิ่งของข้าโดดเด่นมากและนางจะเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ในได้ภายในปีนี้อย่างแน่นอน แต่คนอย่างเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นศิษย์นอกของนิกายหมื่นกระบี่ของเราด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการเป็นศิษย์ในของนิกายหมื่นกระบี่”
เถาเซี่ยวเซี่ยวก้าวออกไปข้างหน้าเหลิ่งซวงเสวี่ยและมองสตรีที่กล่าววาจาเย้ยหยันด้วยแววตาแสดงความเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน
“ตลกชะมัด ในฐานะสตรีที่ถูกคู่หมั้นทอดทิ้งและเป็นผู้ที่สังหารคนบริสุทธิ์อย่างเลือดเย็น เจ้ามีคุณสมบัติอะไรในการเข้าร่วมกับนิกายหมื่นกระบี่ ? นิกายหมื่นกระบี่ที่มีชื่อเสียงในแง่ดีและยึดมั่นในความเป็นธรรม หากเรื่องที่นิกายหมื่นกระบี่รับคนอย่างเจ้าแพร่งพรายออกไปละก็ เกรงว่าพวกเขาคงถูกหัวเราะเยาะเป็นแน่ ฮ่า ๆ ๆ !”
สตรีผู้นั้นไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย นางเองก็ได้เข้าร่วมกับขุมกำลังระดับสองแห่งหนึ่งที่ไม่อ่อนแอไปกว่านิกายหมื่นกระบี่ นางจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะทำให้ศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ขุ่นเคืองใจขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้น นางได้สืบข้อมูลเกี่ยวกับเหลิ่งซวงเสวี่ยมาแล้วและทราบว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงศิษย์นอกของนิกาย เพราะเหตุนั้น นางจึงไร้ซึ่งความเกรงกลัว
สำหรับเถาเซี่ยวเซี่ยวที่ก้าวเข้ามาขวางตรงหน้า นางไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเด็กสาวผู้นี้และไม่คิดที่จะสนใจเช่นกัน
“เฮอะ ใครปล่อยสุนัขให้หลุดมาที่นี่กัน ? การที่ริอาจกล่าววาจาดูหมิ่นศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ของเราเช่นนี้ เจ้าคิดว่าพวกเราศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ที่ยืนอยู่เป็นเพียงหุ่นไล่การึ ?!”
เดิมทีเถียนซินและสวีเยว่กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ภายในภัตตาคาร พวกนางจึงได้ยินเสียงของเถาเซี่ยวเซี่ยวและรีบปรี่ออกมา เมื่อออกมาทันได้ยินวาจาของฝ่ายตรงข้าม เถียนซินที่อารมณ์ฉุนเฉียวเป็นทุนเดิมก็อดกล่าวตอบโต้ออกไปไม่ได้
แม้พวกนางจะไม่ได้ญาติดีกับเหลิ่งซวงเสวี่ยนัก แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเกียรติศักดิ์ศรีของนิกายหมื่นกระบี่โดยตรงและไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์มากล่าววาจาดูหมิ่นคนของนิกายหมื่นกระบี่ของพวกนางได้ !
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าดูหมิ่นนางงั้นรึ ? เหตุใดพวกเจ้าไม่ลองถามเหลิ่งซวงเสวี่ยดูล่ะว่าสิ่งที่ข้าพูดไปเป็นความจริงรึไม่ !”
สตรีผู้นี้มีนามว่า ‘หลี่ซี’ และนางเป็นประชากรของเมืองอวิ๋นหลานแห่งนี้ ตระกูลหลี่ของนางมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลของอดีตคู่หมั้นของเหลิ่งซวงเสวี่ย ยิ่งไปกว่านั้น เหลิ่งซวงเสวี่ยก็จดจำได้ลาง ๆ ว่าหลี่ซีก็แอบชอบพอคู่หมั้นคู่หมายคนนั้นของนางเช่นกัน เพราะเหตุนั้นจึงเป็นธรรมดาที่หลี่ซีจะมีทัศนคติไม่เป็นมิตรเช่นนี้
“ศิษย์น้องเหลิ่ง สิ่งที่นางกล่าวมาเมื่อครู่คือเรื่องจริงหรือไม่ ?”
สายตาของเถียนซินและสวีเยว่เลื่อนไปที่เหลิ่งซวงเสวี่ยพร้อมเอ่ยถาม เห็นได้ชัดว่าพวกนางไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินก่อนหน้านี้
พวกนางพอจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของเหลิ่งซวงเสวี่ยพอสมควร และเรื่องนี้คงจะซับซ้อนไม่น้อย
“มันเป็นเรื่องจริง”
เหลิ่งซวงเสวี่ยไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด หลังจากได้พูดคุยกับฉินอวี้โม่ในวันนั้น นางก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังเรื่องนี้ นางยอมรับว่าไม่เคยรู้สึกผิดกับสิ่งที่กระทำลงไปและไม่รู้สึกเสียใจกับมันเช่นกัน ที่สำคัญคือนางไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดกับนางอย่างไร
“ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริง…”
สีหน้าของเถียนซินและสวีเยว่เปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกนางคิดไม่ถึงเลยว่าเบื้องหลังความเย็นชาของเหลิ่งซวงเสวี่ยจะมีประสบการณ์เช่นนั้นซ่อนอยู่
“เหอะ ต่อให้เป็นจริงแล้วอย่างไร ? ตอนนี้ศิษย์น้องเหลิ่งเป็นศิษย์น้องของเราแล้วและเราไม่ยอมให้คนนอกมารังแกนางได้ เจ้าขอโทษศิษย์น้องเหลิ่งเสียจะดีกว่า มิเช่นนั้น อย่าหาว่าพวกข้าหยาบคายกับเจ้าก็แล้วกัน !”
สวีเยว่แค่นเสียงเย็นชาและกล่าวออกไป แม้ยังไม่ทราบถึงความจริงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน นางก็เลือกที่จะอยู่ข้างเหลิ่งซวงเสวี่ย
พวกนางเป็นสมาชิกของนิกายหมื่นกระบี่เหมือนกันและควรจะแสดงความสามัคคีปรองดองกัน สำหรับปัญหาใดที่ขัดข้องใจ พวกนางสามารถสะสางมันเมื่อกลับไปถึงที่นิกายในภายหลัง ทว่าเมื่ออยู่ข้างนอกเช่นนี้ พวกนางจะปล่อยให้ผู้อื่นดูแคลนคนของพวกนางไม่ได้เด็ดขาด !
“ในเมื่ออยากจะพูดนักก็บอกความจริงที่เจ้าทราบมาให้ละเอียดสิ ทุกคนจะได้ทราบโดยทั่วกันว่ามันเป็นความผิดของพี่เหลิ่งรึไม่”
ฉินอวี้โม่กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่เสียดสีหลี่ซีเช่นกัน
สาเหตุที่หลี่ซีกล่าววาจาคลุมเครือเป็นเพราะทราบว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยไม่ต้องการพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตและมีเจตนาที่จะทำลายชื่อเสียงของนางเช่นกัน
ทว่าหลี่ซีไม่ทราบเลยว่าตอนนี้เหลิ่งซวงเสวี่ยมิใช่คนเดิมอีกต่อไป
“เหอะ เรื่องนี้ข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เหลิ่งซวงเสวี่ยน่ะสิ…เจ้ากล้าบอกพี่น้องของเจ้ารึไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่ ?”
หลี่ซีแค่นเสียงอย่างเย็นชาและชำเลืองมองไปที่เหลิ่งซวงเสวี่ย นางมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่กล้าเอ่ยปากกล่าวถึงเรื่องราวในอดีตอย่างแน่นอน
“ไม่มีสิ่งใดที่ต้องปิดบัง ศิษย์น้องอวี้โม่ก็รับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจน”
เหลิ่งซวงเสวี่ยกล่าวอย่างเรียบเฉยและพยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่เบา ๆ
ฉินอวี้โม่เข้าใจความหมายนั้นและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเหลิ่งซวงเสวี่ยให้เถียนซินและคนอื่น ๆ ได้ทราบ
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจากฉินอวี้โม่ เถียนซินและคนอื่น ๆ ก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่และมิอาจคาดเดาได้เลยว่าพวกนางกำลังคิดสิ่งใด
เถาเซี่ยวเซี่ยวจับมือของเหลิ่งซวงเสวี่ยไว้แน่นและใบหน้าเล็ก ๆ ของนางก็แสดงถึงความหดหู่เศร้าหมองอย่างชัดเจน
เหลิ่งซวงเสวี่ยจิ้มแก้มนิ่มของเถาเซี่ยวเซี่ยวพร้อมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางทราบว่าเด็กสาวผู้นี้จะไม่รังเกียจตนเพียงเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต…
“เหอะ คนจิตใจสกปรกเช่นนี้มีคุณสมบัติใดกันที่จะเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ในของนิกายหมื่นกระบี่ ? หากข้าเป็นพวกเจ้า ข้าคงมีแต่จะรังเกียจนางและขับไสไล่ส่งออกไป ไม่มีทางปกป้องนางเช่นนี้เด็ดขาด !”
หลี่ซีมองเถียนซินและสวีเยว่ที่ชะงักนิ่งไปและแค่นเสียงอย่างเย็นชา นางกล่าววาจาแสดงความรังเกียจที่มีต่อเหลิ่งซวงเสวี่ยอย่างไม่ปิดบัง
“หุบปากไปเสีย !”
เพี๊ยะ !
เถียนซินผู้อารมณ์ร้อนเป็นคนแรกที่เรียกสติกลับคืนมา นางตะโกนกร้าวและเดินตรงเข้าไปตบใบหน้าของหลี่ซีอย่างแรง
“ศิษย์น้องเหลิ่งจะไร้เกียรติและมีจิตใจที่สกปรกได้อย่างไร ? คนที่ทำให้นางมีมลทินเช่นนั้นต่างหากที่จิตใจสกปรก ! หากถามข้า ศิษย์น้องเหลิ่งเมตตาเกินไปด้วยซ้ำที่สังหารเพียงพวกคนชั่วทว่าไว้ชีวิตคนชรา สตรีและเด็กที่อ่อนแอ หากเป็นข้าละก็…ข้าจะฆ่าล้างทุกคนให้สิ้นซาก !”
สวีเยว่กล่าวขึ้นมาและแสดงความเห็นใจต่อเหลิ่งซวงเสวี่ยอย่างชัดเจน
คิดไม่ถึงเลยว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยผู้เย็นชาจะแบกรับเรื่องราวที่เลวร้ายเหล่านั้นไว้ สำหรับคู่หมั้นคู่หมายที่ต่ำช้าผู้นั้น ความตายของเขายังถือว่าน้อยเกินไป เขาควรถูกหั่นออกเป็นพัน ๆ ชิ้นจึงจะเหมาะสมกับบาปที่ก่อไว้ !
“ข้าจะบอกให้ว่าศิษย์น้องเหลิ่งของเราไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมหอชั้นในเท่านั้น ทว่านางก็เก่งกาจมากพอที่จะเป็นศิษย์หลักของขุมกำลังระดับหนึ่งได้ สำหรับเรื่องในอดีต ศิษย์น้องเหลิ่งกระทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว หากพวกข้าได้ยินว่าเจ้ากวนใจศิษย์น้องเหลิ่งอีกละก็…ระวังตัวไว้ให้ดี ข้าจะฉีกปากพล่อย ๆ ของเจ้าเสีย !”
เถียนซินและสวีเยว่กล่าววาจาข่มขู่และปกป้องเหลิ่งซวงเสวี่ยด้วยความจริงใจ
แน่นอนว่าปฏิกิริยาของเถียนซินและสวีเยว่ทำให้เหลิ่งซวงเสวี่ยตกใจไม่น้อย จู่ ๆ นางก็รู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจขึ้นมา
ทั้งสองที่เคยเป็นปฏิปักษ์กับนางมาตลอดกลับปกป้องนางอย่างเปิดเผยในครานี้ หากได้ประจันหน้ากันอีกในอนาคต นางจะเบามือลงและอ่อนน้อมกับพวกนางมากขึ้น !