ปฏิกิริยาของเถียนซินและสวีเยว่ถือว่าเหนือความคาดหมายของหลี่ซีไปมาก
เดิมทีนางคิดว่าทั้งสองคงจะมีลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกับตนและจะนึกชิงชังและรังเกียจเหลิ่งซวงเสวี่ยขึ้นมา คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งสองไม่เพียงแต่จะไม่แสดงความรังเกียจใด ๆ เท่านั้น ทว่ายังออกปากปกป้องเหลิ่งซวงเสวี่ยอย่างไม่ลังเล
“นี่สมองของพวกเจ้ามีปัญหาหรืออย่างไรกัน ?!”
นางมองศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ตรงหน้าด้วยความสับสนและยกมือจับใบหน้าข้างที่เจ็บปวดพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“เจ้าต่างหากที่สมองมีปัญหา และคงจะเป็นปัญหาที่สืบทอดมาจากตระกูลของเจ้าเช่นกัน !”
เถียนซินอยากจะก้าวออกไปตบใบหน้าของหลี่ซีอีกสักครา อย่างไรก็ตาม นางเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิและเมินเฉยอีกฝ่ายไปอย่างสิ้นเชิง
“พวกเจ้ามารับประทานอาหารกันใช่รึไม่ ? บังเอิญเรามีที่ว่างเหลือพอดี ไปนั่งด้วยกันเถอะ”
นางหันไปกล่าวเชิญกลุ่มของเหลิ่งซวงเสวี่ยโดยไม่แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าคนนอกแม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ไม่ปฏิเสธ พวกนางพยักศีรษะเบา ๆ ก่อนเดินตามเถียนซินเข้าไปยังห้องกั้นที่พวกนางรับประทานอาหารอยู่ก่อนหน้านี้
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสิ้น ทุกคนก็หารือกันและตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาก่อนเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นั่น
“เหอะ มิอาจรู้ได้เลยว่านังโง่เง่าเฉินหว่านเอ๋อร์และผางเลี่ยงไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ใด !”
เถียนซินกล่าวตำหนิเฉินหว่านเอ๋อร์และผางเลี่ยงที่แยกตัวออกไปตั้งแต่เช้ามืดโดยที่ไม่บอกกล่าวกับผู้ใดก่อน
“เซียวหมิง เจ้าไปรอพวกนางที่หน้าประตูเมืองก็แล้วกัน เมื่อพวกนางมาถึงก็ตามไปสมทบกับพวกเราที่หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา พวกเราจะล่วงหน้าไปก่อน”
เสิ่นเสี่ยวไห่หันไปถ่ายทอดคำสั่งให้กับเซียวหมิงก่อนนำทางคนอื่น ๆ ไปยังหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาทันที
“จะว่าไปแล้ว…มีใครทราบถึงตำแหน่งที่แน่ชัดของหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาบ้างหรือ ?”
ในขณะที่เดินหน้าไปยังจุดหมาย สวีเยว่ก็อดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
“ข้าเกิดที่นั่น”
เหลิ่งซวงเสวี่ยกล่าวขึ้นเพียงสั้น ๆ และทำให้ทุกคนทราบได้ทันทีว่าไม่มีผู้ใดในที่แห่งนี้ที่จะคุ้นเคยกับหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาไปมากกว่านาง
“โอ้…”
เถียนซินและสวีเยว่มองหน้ากันโดยไม่กล่าวสิ่งใดต่อ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ไม่กล่าวสิ่งใดเช่นกันและบรรยากาศกลายเป็นความเงียบสงัด
“มันไม่สำคัญหรอก ถึงอย่างไรเรื่องในอดีตก็ผ่านพ้นไปแล้ว เป็นอย่างที่ศิษย์น้องอวี้โม่กล่าวไว้ ชีวิตคนเรายังมีเส้นทางอีกยาวไกล เหตุใดจะต้องจมปลักกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว”
เหลิ่งซวงเสวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางซึ่งทำให้ทุกคนแปลกใจเล็กน้อย ทว่ารู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“พี่เหลิ่งช่างดูงดงามจริง ๆ เมื่อยิ้มออกมา”
เมิ่งจวินกล่าวออกมาทันที เขามีอายุเพียงสิบแปดปีและยังคงมีเพียงความคิดที่ใสซื่อไร้เดียงสาเท่านั้น เพราะเหตุนั้น เขาจึงมักจะกล่าวในสิ่งที่คิดออกมาโดยตรงซึ่งถือว่ามีลักษณะนิสัยที่ตรงไปตรงมายิ่งกว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวเสียอีก
“จริงด้วย ถึงเวลาที่จะต้องยิ้มมากขึ้นแล้ว”
สวีเยว่และเถียนซินพยักศีรษะให้กันเล็กน้อย ทั้งสองรู้สึกว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยในยามยิ้มแย้มดูเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นมาก
“หนวกหูน่า !”
สีหน้าของเหลิ่งซวงเสวี่ยกลับกลายเป็นเย็นชาอย่างรวดเร็ว ทว่าเถียนซินและสวีเย่วก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดกวนใจในตอนนี้ ทั้งสองเพียงหัวเราะคึกคักเบา ๆ และเร่งความเร็วขณะรีบเดินไปข้างหน้า
ในขณะที่หัวเราะพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าทุกคน
อันที่จริง หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองอวิ๋นหลานมากนัก และการเดินทางอย่างรีบร้อนของทุกคนก็ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
สภาพแวดล้อมรอบหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาเป็นป่าทึบทั้งหมด แม้เป็นพื้นที่ที่ไม่กว้างใหญ่นัก มันก็แผ่กลิ่นอายที่แปลกประหลาด ลึกลับและชวนน่าขนลุกออกมา เมื่อมองจากระยะไกล ทุกคนก็มองเห็นบ้านเรือนหลายหลังที่มีลักษณะภายนอกเหมือนกันทุกประการเรียงรายอยู่ทั้งสองข้างทางอย่างเป็นระเบียบ
“ในความทรงจำของข้า หมู่บ้านของเราเป็นเช่นนี้มาเสมอ บ้านเรือนเหมือนกันทุกอย่าง โครงสร้างและรูปแบบต่าง ๆ ก็เหมือนกัน”
เหลิ่งซวงเสวี่ยอธิบายอย่างคร่าว ๆ เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่แปลกใจกับสิ่งที่เห็น
บ้านเรือนในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาถูกสร้างขึ้นในรูปแบบเดียวกันซึ่งแทบจะเหมือนกันทุกประการ เว้นเพียงแต่ป้ายชื่อที่ประดับหน้าประตูเท่านั้น แม้แต่ประตูของอาคารก็ยังเป็นสีเดียวกัน
หากมิใช่เพราะใช้เวลาอยู่ที่นี่อย่างยาวนานจนคุ้นชิน เกรงว่าคงยากจะที่ระบุได้ว่าอาคารหลังใดเป็นของผู้ใด
ความเป็นความตายของประชากรในเมืองนี้ยังคงเป็นปริศนาและเวลานี้มันกลายเป็นเมืองร้างไปโดยปริยาย จากข่าวสารที่พวกเขาได้รับมาก่อนหน้านี้ ในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆามีโรงเตี๊ยมสองหลังและนั่นเป็นเพียงสองสถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น แม้แต่โรงเตี๊ยมทั้งสองก็รกร้างแล้วเช่นกัน
ขณะเดินเท้าไปตามเส้นทางหินสีน้ำเงิน ทุกคนก็มิอาจสัมผัสถึงลมหายใจหรือกลิ่นอายของมนุษย์อื่นใด หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาแห่งนี้พิลึกพิลั่นอย่างแท้จริง
ทุกคนเริ่มจากการมุ่งหน้าไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของที่นั่น ทว่าพวกเขาก็พบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานแล้ว
“เราแยกย้ายกันไปสำรวจเถอะ”
เสิ่นเสี่ยวไห่กล่าวเสนอขึ้นมา แม้หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาจะมีพื้นที่ที่ไม่กว้างใหญ่นัก การที่แยกย้ายกันไปตรวจสอบเพื่อหาเบาะแสที่เป็นประโยชน์ก็เป็นความคิดที่เข้าท่ากว่า ในเมื่อพวกเขาเข้ามาสำรวจหมู่บ้านในช่วงกลางวันซึ่งไม่ถือว่าเป็นช่วงเวลาอันตราย การแยกย้ายกันออกไปก็ควรจะไม่เป็นปัญหาใด
“หากมีใครเผชิญกับปัญหาใดก็ให้ส่งเสียงขอความช่วยเหลือได้เลย ในหมู่บ้านที่เงียบสนิทเช่นนี้ เราคงจะได้ยินเสียงของกันและกันได้”
หลังจากกำชับกับทุกคน คณะจอมยุทธ์ก็แยกย้ายกันออกเป็นสามกลุ่ม
เถียนซินและสวีเยว่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ส่วนเสิ่นเสี่ยวไห่จะนำเมิ่งจวิน เมิ่งฝานและเมิ่งเถียนไปด้วยกัน ในขณะที่ฉินอวี้โม่ เหลิ่งซวงเสวี่ยและเถาเซี่ยวเซี่ยวจะเป็นกลุ่มสุดท้าย
“อีกครึ่งชั่วยาม เราจะไปพบกันที่ทางเข้าหมู่บ้าน ถึงอย่างไรตอนนั้นเฉินหว่านเอ๋อร์และผางเลี่ยงก็คงจะมาถึงแล้ว”
เสิ่นเสี่ยวไห่เงยหน้ามองท้องฟ้าและคาดว่าท้องฟ้าจะมืดสนิทในอีกหนึ่งชั่วยาม เพราะเหตุนั้น เพื่อความปลอดภัย พวกเขาจะต้องรวมกลุ่มกันก่อนถึงเวลานั้น
“รับทราบ”
ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกันก่อนเลือกทิศทางและแยกย้ายกันออกไป
ฉินอวี้โม่และเถาเซี่ยวเซี่ยวตามเหลิ่งซวงเสวี่ยไปสำรวจบ้านเรือนในทางตะวันออกของหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ เหลิ่งซวงเสวี่ยก็หยุดที่หน้าเรือนหลังหนึ่งซึ่งมีหยากไย่เต็มหน้าประตู
ขณะเถาเซี่ยวเซี่ยวกำลังจะเอ่ยบางอย่าง ฉินอวี้โม่ก็จับแขนปรามนางไว้และส่ายศีรษะเบา ๆ
หากคาดเดาไม่ผิด ที่นี่คงจะเป็นบ้านดั้งเดิมของเหลิ่งซวงเสวี่ยในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาแห่งนี้
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกสาวอกตัญญูคนนี้กลับมาพบท่านทั้งสองแล้วเจ้าค่ะ”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ วาจาของเหลิ่งซวงเสวี่ยยืนยันข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่ได้อย่างชัดเจน นางยกมือขึ้นลูบประตูตรงหน้าอย่างแผ่วเบา เวลานี้ ดวงตาของนางเริ่มแดงก่ำและน้ำเสียงแหบพร่าลงเล็กน้อย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ตอนนี้ข้าสบายดีและเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน ข้าฝึกฝนอย่างสุดความสามารถและพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด ตอนนี้ข้าได้มีชีวิตที่วิเศษแล้ว ข้าเชื่อว่าท่านทั้งสองที่เฝ้ามองอยู่ข้างบนคงจะรู้สึกอุ่นใจได้”
น้ำตาใสหยดลงข้างแก้มของนางอย่างช้า ๆ เพียงนึกถึงบิดามารดาที่ต้องเสียชีวิตเพราะตน หัวใจของเหลิ่งซวงเสวี่ยก็ปั่นป่วนอย่างมิอาจควบคุม
ฉินอวี้โม่และเถาเซี่ยวเซี่ยวมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนก้าวออกไปข้างหน้าและจับมือนางไว้ทั้งซ้ายและขวา
“ท่านลุง ท่านป้า เราจะดูแลพี่เหลิ่งแทนท่านทั้งสองเองและจะไม่มีใครหน้าไหนรังแกนางได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ท่านลุงและท่านป้าเจ้าคะ แม้ข้าจะไม่เคยพบท่านทั้งสอง ข้าก็ทราบว่าพวกท่านเป็นคนดี คนชั่วร้ายพวกนั้นถูกลงโทษไปแล้วและพี่เหลิ่งยังยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ข้าจะช่วยดูแลพี่เหลิ่งอีกแรงและช่วยให้นางมีชีวิตที่ดีขึ้นจนได้พบหนทางแห่งความสุขของตนเอง”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวขึ้นเช่นกัน ในเวลานี้ ดวงตาของนางก็แดงก่ำและสัมผัสถึงความรู้สึกของเหลิ่งซวงเสวี่ยได้อย่างชัดเจน
“ไปกันเถอะ เราเข้าไปสำรวจข้างในกันเถอะ”
เหลิ่งซวงเสวี่ยปาดน้ำตาจากพวงแก้มและสีหน้ากลับกลายเป็นเย็นชาตามปกติอีกครั้ง จากนั้นนางก็ผลักเปิดประตูตรงหน้าอย่างช้า ๆ และทั้งสามก็มุ่งหน้าเข้าไป
เรือนหลังนี้มีขนาดไม่ใหญ่นักและมีห้องแยกรวมห้าห้องซึ่งทั้งหมดถูกปิดสนิทในเวลานี้
ทั้งสามเดินตรงไปยังห้องโถงและพบว่าพื้นทั้งหมดปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่มานานแล้ว
หลังจากกวาดสายตามองอย่างรวดเร็วและไม่พบสิ่งใดผิดปกติ ทั้งสามก็แยกย้ายกันไปสำรวจแต่ละห้อง
เช่นเดียวกับห้องโถงหลัก สองห้องที่ฉินอวี้โม่เข้าไปสำรวจก็ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตหรือร่องรอยของผู้อยู่อาศัยใด ๆ
“พี่เหลิ่ง พี่อวี้โม่ มานี่เร็วเข้า !”
ทันใดนั้น เสียงของเถาเซี่ยวเซี่ยวก็ดังขึ้นดึงดูดความสนใจของฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยราวกับนางค้นพบบางอย่างที่น่าสนใจ