อามุนด์และประตูแห่งแสงถูก ‘ปลูกถ่าย’ เข้าหากัน
ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวชัดเจน ความมืดในดวงตากำลังจมลึก
ในเวลาเดียวกัน ใต้ชุดคลุมสีดำทรงโบราณ หนวดรยางค์มันลื่นทวีจำนวนขึ้น ความบ้าคลั่งกำลังปะทุอย่างล้นเอ่อ
ขณะไคลน์เตรียมตัดการเชื่อมต่อระหว่างอามุนด์และปราสาทต้นกำเนิด ปล่อยให้อีกฝ่ายยังคงอยู่ในสภาวะบ้าคลั่ง มุมปากอามุนด์พลันยกโค้ง
ราวกับกำลังพูดว่า:
“ขอบแสดงความยินดี เจ้าติดกับดักแล้ว”
ใบหน้าอามุนด์ถูกปกคลุมด้วยหน้ากากโปร่งแสงที่คล้ายกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูล แต่ดูเหมือนจะเลือนรางกว่า
ไคลน์ตึงเครียดทันที และไม่มัวคิดให้หนักสมอง มันเตรียมใช้อำนาจการ ‘ปั่นหัว’ โดยไม่สนใจผลกระทบที่จะตามมา
แต่ก่อนจะได้ตอบสนอง ความคิดชายหนุ่มเฉื่อยชาลงทันที ร่างกายตกอยู่ในสภาวะโง่เขลาราวกับไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใด
ปั่นหัว!
ฉวยโอกาสในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ถูกเชื่อมกับต่อเข้ากับปราสาทต้นกำเนิด อามุนด์สลัดหลุดจากอิทธิพลของไคลน์และระดมพลังปราสาทต้นกำเนิดเพื่อใช้อำนาจ ‘ปั่นหัว’
พฤติกรรมดังกล่าวดูเหนือชั้นเกินกว่าจะเกิดจากสัญชาตญาณ เป็นราวกับกับดักที่ถูกออกแบบมาอย่างดี
ดูเหมือนว่าอามุนด์ยังบ้าไม่สุด!
เทพแท้จริงเส้นทาง ‘ข้อผิดพลาด’ และ ‘ประตู’ รีบลบการเชื่อมต่อระหว่างตนกับปราสาทต้นกำเนิด ส่งผลให้บานประตูแห่งแสงพิสดารจางลงและหายไปอย่างรวดเร็ว หลุดพ้นจากการถูกกัดกร่อนเพิ่มเติม
เมื่อจัดการกับปัญหาซ่อนเร้นเสร็จ อามุนด์ยกสองมือขึ้น นิ้วโป้งจ่อนิ้วโป้ง นิ้วชี้จ่อนิ้วชี้ กลายเป็นทรงรีที่สมบูรณ์
ภายในทรงรี แสงดาวระยิบระยับสว่างขึ้น ปกคลุมร่างไคลน์โดยสมบูรณ์
ถัดจากนั้น มือของอามุนด์แยกออกจากกันทั้งสองฝั่ง ลักษณะคล้ายการฉีกบางสิ่งที่มีน้ำหนักมาก
ท่ามกลางเสียงฉีกขาดของกระดาษ ในบริเวณที่ไคลน์ยืนคล้ายกับถูกเปลี่ยนให้เป็นแก้วที่ถูกกระแทกอย่างรุนแรง ผิวแก้วทยอยเกิดรอยร้าวและปริแตกเป็นทางยาว
นี่คือพลังกัดกร่อนและทำลายห้วงมิติ ร่างกายไคลน์ย่อมไม่มีทางทนรับไหว ชะตากรรมเดียวคือการถูกฉีกเป็นเศษกระดาษจนล่องลอยไปมาท่ามกลางห้วงมิติโดยรอบที่พังทลายและแตกร้าว และเศษกระดาษค่อยๆ ถูกความมืดมิดโดยรอบกลืนกินหายเข้าไป
เมื่อการพังทลายของห้วงมิติหยุดลง กระดาษคนของไคลน์ก็หมดอายุขัย
แน่นอน ชายหนุ่มยังใช้อำนาจ ‘ปั่นหัว’ ของตัวเองเพื่อสลัดให้หลุดจากภาวะ ‘เขลาและบอด’
ในระหว่างนั้น อามุนด์แยกร่างออกเป็นจำนวนมาก บางส่วนเป็นร่างโคลนบริสุทธิ์ บางส่วนเป็นเพียงการจำลองสัญลักษณ์ และบางส่วนเป็นภาพตกค้างที่เกิดจากการ ‘บลิงค์’ อย่างต่อเนื่อง
ณ วินาทีนี้ ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าเหนือศีรษะไคลน์หรือทุ่งโล่งรอบตัว ทุกจุดล้วนถูกปกคลุมด้วยอามุนด์ที่สวมหมวกปลายแหลมและแว่นตาขาเดียว ปิดกั้นทุกช่องโหว่โดยสมบูรณ์
บางส่วนของอามุนด์เหล่านี้กลายร่างเป็นนาฬิกาแขวนโบราณสีน้ำเงินเข้ม บางส่วนกลายเป็นแสงดาวบริสุทธิ์ลักษณะคล้ายกรงขัง บางส่วนเหยียดแขนออก ทำการ ‘ขโมย’ ในระดับที่แตกต่างออกไป บางส่วนทำให้แว่นตาขาเดียวส่องแสง ใช้ประโยชน์จากหลายสิ่งที่เคยขโมยมา บางส่วนใช้พลังที่หลากหลาย บางส่วนสร้างข้อจำกัด บางส่วนแทรกแซง และบางส่วนลงมือโจมตี
สำหรับเส้นทางนักจารกรรม การขโมยถือเป็นพลังหลักและสัญลักษณ์สำคัญ การพัฒนาในแต่ละลำดับจะแตกต่างจากพลังควบคุม ‘ด้ายวิญญาณ’ ของนักทำนาย ไม่เพียงพลังขโมยจะเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังทำให้แนวคิดเชิงนามธรรมแข็งแกร่งขึ้น:
ลำดับ 9 ถึง 7 พลังขโมยจะส่งผลเฉพาะสิ่งของ เมื่อถึงลำดับ 6 การขโมยสามารถช่วงชิงพลังพิเศษ หลังจากกลายเป็นลำดับ 5 พลังขโมยสามารถช่วงชิงความคิด จนกระทั่งถึงลำดับ 4 และ 3 พลังขโมยสามารถช่วงชิงชีวิต รวมถึงการขโมยร่างกายในเชิงปรสิต ในลำดับ 2 ขอบเขตการขโมยจะขยายไปถึงชะตากรรม ตัวตน การตระหนักรู้ และตะกอนพลัง ในลำดับ 1 สามารถขโมยได้กระทั่งเวลา หลักยึดเหนี่ยว และอำนาจชั่วคราว
ดังนั้น เมื่อ ‘ข้อผิดพลาด’ เผชิญหน้ากับเทพแท้จริง มันสามารถ ‘ขโมย’ สิ่งที่มีระดับสูงอย่างอำนาจได้
ท่ามกลางเสียงกังวาน นาฬิกาแขวนโบราณทั้งหมดหยุดเดินพร้อมกัน
นั่นทำให้สภาพแวดล้อมแข็งทื่อในทันที และยังทำให้ทุ่งโล่งที่เต็มไปด้วยแสงดาวตกอยู่ในภวังค์ความเงียบงันถึงขีดสุด กระทั่งแนวโน้มการทำลายก็ยังหยุดลง
ณ เวลานี้ คล้ายกับไคลน์สูญเสียร่างกาย หลงเหลือเพียงผ้าคลุมโปร่งแสงสีเข้มและหน้ากากเย็นชาที่ดูแปลกประหลาด
ไม่มีใครมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้ผ้าคลุมสีเข้มผืนหนา มีเพียงหนวดรยางค์มันลื่นเหยียดออกมาเส้นแล้วเส้นเล่า
ในสภาพดังกล่าว คล้ายกับไคลน์เป็นอิสระจากพันธนาการทางเวลา ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ถูกแช่แข็ง ชายหนุ่มแหวกว่ายราวกับปลาในน้ำ ผ่านช่องว่างเชิงกายภาพและแนวคิดมากมาย จนกระทั่งหลุดพ้นจากวงล้อมของอามุนด์
เป็นอีกครั้งที่มันพึ่งพาอำนาจการปั่นหัว
คราวนี้มันใช้การปั่นหัวเวลา
นาฬิกาแขวนโบราณเลือนหายไปทันที ส่งผลให้ท่ามกลางทุ่งโล่งที่พังทลายเกือบสมบูรณ์ กระแสเวลากลับมาไหลตามปรกติอีกครั้ง เหล่าอามุนด์ต่างยกเลิกพฤติกรรมที่กำลังทำ และหันมารวมใจกัน ‘บลิงค์’ ตามหลังไคลน์โดยไม่ปล่อยให้ได้พักหายใจ
ฝ่ามือซ้ายของมันเหยียดออก ก่อนจะดึงแขนกลับและกำห้านิ้วให้กลายเป็นหมัด
รอบตัวไคลน์ ห้วงมิติกลายเป็นดำมืดคล้ายถูกคลุมด้วยตาข่ายผ้า
‘ม่าน’ ดังกล่าวบิดเป็นเกลียวและเรียงตัวใหม่ กลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับกรงแข็งแกร่งซึ่งสามารถกักขังไคลน์
ด้านบนของกรง บานประตูมายาปรากฏขึ้นอย่างเด่นสง่า ก่อนจะรีบลอยออกไปโดยไม่มั่วแช่อยู่ในตำแหน่งเดิม
อย่างไรก็ดี เพียงไม่นาน ร่างไคลน์โผล่ขึ้นอีกครั้งด้านนอกกรงขัง ราวกับไม่เคยถูกอามุนด์ผู้มีอำนาจ ‘ประตู’ ผนึกมาก่อน
มันทำการปั่นหัวประวัติศาสตร์ ด้วยการแบ่งตัวเองในหนึ่งวินาทีก่อนหน้าและหนึ่งวินาทีให้หลัง
ลงเอยด้วย สิ่งที่ถูกขังอยู่ในกรงกลายเป็นเพียงภาพฉาย
นี่คือพลังเชิงลึกของปราชญ์โบราณที่ผนวกเข้ากับอำนาจการปั่นหัว
เป็นเพราะชายหนุ่มใช้การ ‘ปั่นหัว’ ประวัติศาสตร์เป็นพิธีกรรมเลื่อนลำดับ เดอะฟูลไคลน์จึงชำนาญในขอบเขตนี้มากกว่าการปั่นหัวชะตากรรมและเวลา
ทันทีที่ออกจากกรงมิติ ไคลน์รีบใช้พลังอาณาจักรเร้นลับอีกครั้งเพื่อสร้างอาณาจักรเทพของเดอะฟูลขึ้นมาใหม่ จุดประสงค์คือการยื้อเวลาและหาโอกาสสร้างเสถียรภาพให้จิตใจหลังจากฝืนใช้อำนาจการปั่นหัวหลายครั้งติดต่อกัน และเนื่องจากสมดุลอันเปราะบางภายในร่างกายใกล้พังทลายเต็มที หากไคลน์ไม่รีบสร้างเสถียรภาพทางใจโดยเร็ว เจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินจะตื่นขึ้นมากกว่าเดิม
นั่นถือเป็นปัญหาร้ายแรง
ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มเห็นแว่นตาขาเดียวขนาดมหึมา
บนผิวกระจกแว่นตา แสงระยิบระยับพรั่งพรูออกมาอย่างบ้าคลั่ง ท่วมท้นร่างกายไคลน์ในทันที
สภาพจิตใจไคลน์กลับมาสงบนิ่งอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่แลกมากับการต้องสูญเสียอารมณ์และความปรารถนาทั้งหมดไป ไม่หลงเหลือความคิดที่จะต่อต้านขัดขืน ต้องการแค่ยืนเฉยๆ และรอให้ความพินาศกลืนกิน
คล้ายกับคนธรรมดาได้รับยาระงับประสาทในปริมาณมาก
ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางประกายแสงระยิบระยับ หนังสือมายาเล่มหนึ่งโดดเด่นขึ้นมา
หนังสืออยู่ในสภาพกางออก เผยให้เห็นประโยคหนึ่ง:
“ไคลน์·โมเร็ตติถูกราชันเร้นลับกัดกร่อนทางจิตใจจนต้องเผชิญความเจ็บปวดและอ่อนล้าแสนสาหัส หลังจากการต่อสู้อันดุเดือด ในที่สุดอิทธิพลทางใจของเขาก็ถึงขีดจำกัด จนถอดใจยอมแพ้และล้มเลิกความคิดที่จะขัดขืน”
ด้านหลังแว่นตาขาเดียวขนาดมหึมา อามุนด์ที่แต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและชุดคลุมทรงโบราณ ปรากฏตัวด้วยร่างกายขนาดเท่าภูเขา
ขณะจ้องไคลน์ที่ล้มเลิกการขัดขืน ดวงตาอามุนด์มืดลงพลางยกโค้งมุมปาก:
“ข้าขโมยมาแล้ว เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
ไคลน์แหงนหน้ามองมิสเตอร์ข้อผิดพลาดอามุนด์ พยายามอ้าปากอย่างยากลำบาก กล่าวด้วยแผ่วอ่อนแรง:
“เป็นกลลวงมาตั้งแต่ต้นเลยหรือ?”
อามุนด์สองยกมือขึ้น กล่าวโดยยังรักษารอยยิ้ม
“น่าเสียดายที่เจ้ารู้ตัวช้าเกินไป”
มันนำหัวแม่มือชนกับหัวแม่มือ นิ้วชี้ชนกับนิ้วชี้จนเกิดเป็นทรงรี จากนั้นก็ทำการหมุน
ภายในทรงรี แสงดาวสว่างขึ้นพร้อมกับสะท้อนภาพของไคลน์
ถัดมา สองมืออามุนด์แยกออกจากกันด้วยท่าทีหนักแน่น ฉีกห้วงมิติที่ไคลน์และสภาพแวดล้อมดำรงอยู่
มิติดังกล่าวกลายเป็นดังแผ่นกระจก แตกละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อย เศษเล็กถูกบดขยี้กลายเป็นผุยผง เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้อาคารที่ตั้งเด่นตระหง่านพังถล่มในทันที
อย่างไรก็ดี การพังทลายทั้งหมดรอบตัวไคลน์มิได้ส่งผลกับไคลน์แม้แต่น้อย
ประหนึ่งเรือหาปลาลำเล็กที่แล่นอย่างปลอดภัยท่ามกลางพายุ เป็นเหตุการณ์ที่ขัดแย้งราวกับมันไม่ได้ดำรงอยู่ที่นี่
อามุนด์ใช้มือขยับกรอบแว่นตาขาเดียว รอยยิ้มบนใบหน้าจางลงเล็กน้อย
บนผิวผ้าคลุมโปร่งแสงสีเข้มบนตัวไคลน์ มีหลายจุดนูนยื่นออกมาก่อนจะหดกลับเข้าไป
ชายหนุ่มจ้องไปทางอามุนด์ที่ตัวใหญ่ราวกับภูเขา ดวงตามืดลงเล็กน้อย
“นับตั้งแต่เจ้าเข้ามาในปราสาทต้นกำเนิดและกล่าวคำแรก การหลอกลวงได้เริ่มต้นขึ้น”
ในเวลานั้น อามุนด์กล่าวว่ามันยกเลิกการ ‘ข่ม’ เจตจำนงของราชันเร้นลับในร่างกาย เพื่อแลกกับตัวตนเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด
ปัจจุบัน อามุนด์มิได้ฉวยโอกาสโจมตีซ้ำใส่ไคลน์ เพียงลอยอยู่กลางอากาศและมองลงมายังมิสเตอร์ฟูล
ไคลน์เองก็ไม่พยายามทำสิ่งใด น้ำเสียงสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด ราวกับกำลังรอให้บางสิ่งก่อตัว:
“ถ้าแค่ยกเลิกการกำราบเจตจำนงของราชันเร้นลับ ทำให้เข้ามาในปราสาทต้นกำเนิดได้โดยแลกกับสภาวะกึ่งเสียสติ อันทีโกนัสในอดีตก็คงทำสำเร็จไปแล้ว เช่นเดียวกับหมาป่าอสูรทำลายล้างเฟรเกีย หรือก่อนหน้านี้ ทั้งเจ้าและมิสเตอร์ประตูก็มีโอกาสให้ลองทำมากมาย… จึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ลำพังการปล่อยให้ราชันเร้นลับฟื้นฟูกลับมาจนเจ้าของร่างมีสภาพกึ่งเสียสติ ยังไม่มากพอที่จะทำให้บุกรุกปราสาทต้นกำเนิดสำเร็จแม้จะอาศัยความเป็นข้อผิดพลาด ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรเจ้าก็หา ‘บั๊ก’ ในแง่นี้ไม่พบ เว้นเสียแต่จะปล่อยให้ราชันเร้นลับเข้ามาแทนที่เต็มตัว…
“เจ้ามองไม่เห็นความหวังใดเลยจนกระทั่งถือครองอำนาจ ‘ประตู’ ที่สามารถผ่านเข้าออกทุกที่: อาศัยการสร้าง ‘ประตูหลัง’ และใช้ ‘บั๊ก’ ปราสาทต้นกำเนิดจะมองว่าเจ้าคือราชันเร้นลับและมอบสิทธิ์ในการเข้ามาเยือน… แต่แน่นอน การใช้แผนนี้จำเป็นต้องปล่อยให้ราชันเร้นลับฟื้นฟูจนถึงระดับที่อันตราย หากไม่มีตัวตนลับดังกล่าว เจ้าก็มิอาจตบตาปราสาทต้นกำเนิดได้…
“หลังจากปรองดองกับตะกอนพลังประตูสำเร็จ เหตุผลที่เจ้าไม่รีบร้อนลักลอบเข้ามาจัดการกับข้าที่ยังอ่อนแอก็เพราะว่า ในตอนนั้นเจ้าเพิ่งเลื่อนลำดับและอ่อนแอเกินกว่าจะปล่อยให้เจตจำนงของราชันเร้นลับตื่นขึ้นมากกว่าเดิม… ข้าเชื่อว่าเจ้าคงค้นพบวิธีบุกรุกที่ปลอดภัยกว่านี้ได้แล้ว หากไม่ใช่เพราะข้าเลื่อนลำดับเป็นเดอะฟูลได้เร็วจนผิดแผน ขอเพียงปล่อยเวลาผ่านไปสักพัก เจ้าก็จะเข้ามาในปราสาทต้นกำเนิดได้ด้วยสภาพที่สมบูรณ์และสามารถปิดฉากเรื่องราวทั้งหมด… น่าเสียดายที่เจ้าต้องเร่งแผนการให้เร็วขึ้น ส่งผลให้ร่างกายเกิดปัญหาร้ายแรง…
“การที่เจ้าเป็นฝ่ายออกปากเปิดเผยว่าตัวเองอยู่ในสภาวะกึ่งเสียสติ แง่หนึ่งก็เพื่อให้ข้าคิดหาวิธีรับมือกับศัตรูกึ่งเสียสติ เจ้าจะได้วางกับดักตอบโต้ในช่วงเวลาสำคัญได้ง่าย และในอีกแง่หนึ่ง เจ้าทำไปเพราะหวังเบี่ยงเบนความสนใจและปกปิดปัญหาด้านอื่น… เจ้าไม่ได้อยู่ในภาวะกึ่งเสียสติ”
อามุนด์ฟังคำพูดไคลน์อย่างเงียบงัน เงียบจนผิดวิสัย ไม่มีการพูดแทรกกลางคัน ไม่พยายามโจมตี และรอจนกระทั่งอีกฝ่ายพูดจบ มันกล่าวออกไป:
“เจ้าเสียสติไปแล้ว”
…………………………………………….