หลังจากได้ยินอามุนด์กล่าวคำว่า ‘เจ้าเสียสติไปแล้ว’ ไคลน์เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางหัวเราะ:
“ข้ายอมแพ้ตามที่เจ้าจัดเตรียมไว้ให้ แต่มันละเอียดกว่านั้นนิดหน่อย”
ขณะกล่าว หน้าผากชายหนุ่มที่ถูกปกคลุมด้วยหน้ากากเย็นยะเยือก มีสัญลักษณ์มายาปรากฏขึ้น
สัญลักษณ์ของประตูแห่งแสงประหลาดที่ฉาบด้วยสีน้ำเงินเข้ม
และไคลน์กำลังถูกปกคลุมด้วยสิ่งที่คล้ายคลึงกัน
ภายใต้ผ้าคลุมโปร่งแสงสีเข้ม บนผิวร่างกายชายหนุ่ม หนวดรยางค์มันลื่นและดูชั่วร้ายทยอยเพิ่มจำนวนและยืดยาว พวกมันจับกลุ่มหนาแน่นพร้อมกับเหยียดขึ้นไปปกคลุมท้องฟ้าบริเวณใกล้เคียง
เมื่อดวงตาที่ค่อนข้างมืดส่องประกาย ไคลน์จ้องอามุนด์พลางหัวเราะ
“สำหรับข้า การคืนชีพจากที่ใดสักแห่งในอดีต ดีกว่าการกลายเป็นราชันเร้นลับเป็นไหนๆ”
เมื่อสภาพจิตใจเริ่มมั่นคงและตระหนักถึงกุญแจสำคัญที่อามุนด์ใช้บุกรุกปราสาทต้นกำเนิด ไคลน์ยกเลิกการกำราบราชันเร้นลับภายในร่างกายของตน เพื่อปล่อยให้เจตจำนงของอีกฝ่ายฟื้นตัวมากขึ้นกว่าเดิม
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มสามารถควบคุมปราสาทต้นกำเนิดในช่วงเวลาสำคัญ และดึงพลัง ‘ข้อผิดพลาด’ ออกมาใช้เพื่อเอาชีวิตรอดจากการถล่มมิติโดยฝีมืออามุนด์
โดยไม่รอให้อามุนด์ตอบ มุมปากไคลน์ยกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม:
“หลังจากถูกปราสาทต้นกำเนิดกัดกร่อนจนแสดงอาการ เจ้าสามารถฟื้นฟูสติกลับเป็นปรกติได้ทันที และใช้พลังจากปราสาทต้นกำเนิดเพื่อสร้างผลลัพธ์ของ ‘เขลาและบอด’ … สำหรับคำถามที่ว่า เหตุใดเจ้าถึงยังไม่เข้าสู่ภาวะกึ่งเสียสติหลังจากยกเลิกการกำราบเจตจำนงของราชันเร้นลับ คำตอบก็คือ มีพลังจากภายนอกคอยช่วยเหลือเจ้าอยู่…
“เจ้าคงทิ้งร่างโคลนที่สำคัญมากให้หลับใหลอยู่ในตำหนักของอาดัม เป็นวิธีเดียวกับที่พาลีส·โซโรอาสเตอร์ใช้ลดระดับตัวตน… เมื่อมีนักสร้างฝันอาดัมคอยรักษาอาการทางจิตให้ และตราบใดที่การฟื้นตัวของราชันเร้นลับยังไม่เกินขีดจำกัดที่อาดัมรับไหว เจ้าก็จะยังไม่เสียสติเว้นแต่จะคลุ้มคลั่งคาที่…
“ดังนั้น ปัญหาซ่อนเร้นที่ร้ายแรงที่สุดของเจ้าก็คือ การต้องคอยรักษาการเชื่อมต่อกับร่างโคลนดังกล่าวตลอดเวลา เมื่อใดก็ตามที่ถูกรบกวน สภาวะในปัจจุบันของเจ้าจะเกิดปัญหาทันที และการเชื่อมต่อที่เกิดขึ้นภายใต้อำนาจการกีดกันจากปราสาทต้นกำเนิดย่อมเปราะบางมาก… เจ้าจงใจเปิดเผยสถานการณ์ที่ตัวเองกึ่งเสียสติ เพื่อให้ข้ามัวสนใจเกี่ยวกับประเด็นนี้และก้าวเข้าสู่กับดักของเจ้า ขณะเดียวกันก็เพื่อไม่ให้ข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเชื่อมต่อดังกล่าว…
“แน่นอน นอกจากประเด็นข้างต้น ตัวเจ้ายังมีปัญหาอีกหลายจุดเพราะตัดสินใจบุกรุกในสภาพที่ยังไม่พร้อม หากข้าค้นพบได้เร็ว ต่อให้เป็นเพียงราชาเทวทูตที่เพิ่งปรองดองกับเอกลักษณ์ ข้าก็ยังมีโอกาสเอาชนะเจ้าได้”
หลังจากอามุนด์ฟังอย่างเงียบงันสักพัก มันยกมือขยับกรอบแว่นตาขาเดียวฝั่งขวา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ถอนหายใจพลางยิ้ม
ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์ยิ้มและส่ายศีรษะ:
“เจ้าแข็งแกร่งมาก แถมยังเจ้าเล่ห์และน่ากลัว คู่ควรกับฉายา ‘เทพแห่งการหลอกลวง’ เป็นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะข้าวางแผนเพื่อเผชิญหน้ากับเจ้าในยามจนตรอก ตอนนี้ข้าคงเกิดความลังเล และเมื่อลังเลเพียงเล็กน้อย ข้าก็คงต้องตาย”
หากเป็นเช่นนั้น อามุนด์จะควบคุมปราสาทต้นกำเนิดโดยสมบูรณ์ และไคลน์จะมิอาจคืนชีพผ่านสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ได้
อามุนด์จ้องหนวดรยางค์ที่ทวีความชั่วร้ายใต้ผ้าคลุมสีเข้มของไคลน์ หายใจเชื่องช้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ราชันเร้นลับในตัวเจ้าใกล้ตื่นขึ้นเต็มทีแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าไคลน์เผยให้เห็นความกังวลใจแผ่วเบา:
“ถ้าเป็นในแง่นี้ เจ้าก็สูสีกับข้ามากทีเดียว… การต่อสู้ถัดไปของพวกเรานั้นไม่ซับซ้อน แข่งกันว่าใครจะปลุกเจตจำนงของราชันเร้นลับได้มากกว่า ใครจะมีอำนาจในปราสาทต้นกำเนิดมากกว่า จะห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ หรือกระทั่งหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์และบึ้ม! พวกเราต่างระเบิดกระจาย ส่วนพระองค์ก็คืนชีพกลับมา… คิดว่ายังไงบ้าง? อยากเสี่ยงโชคไหม วัดใจว่าใครจะอดทนได้นานกว่ากัน เป็นเกมที่ทั้งน่าตื่นเต้น สนุก และตรงกับความชอบของเจ้า เหมือนกับเกมรูเล็ตที่ได้รับความนิยมในฟุซัค โดยให้คนสองคนนำปืนลูกโม่บรรจุกระสุนหนึ่งนัดขึ้นมาจ่อขมับตัวเอง ใครยอมแพ้ก่อนจะเท่ากับปล่อยให้อีกฝ่ายชนะ แต่ถ้าไม่มีใครยอมแพ้จนถึงที่สุด ผู้ชนะจะไม่ใช่คนทั้งสอง หากแต่เป็น ‘พระองค์’”
อามุนด์ขยับคิ้วเล็กน้อย เพียงยิ้มแต่ไม่กล่าว
ไคลน์จ้องอีกฝ่ายพลางฉีกยิ้มกว้าง
“แม้ว่าเจ้าจะโด่งดังด้านการชอบเสี่ยงดวงและแสวงหาความสนุกสนาน แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้ามักได้ผลลัพธ์ที่ต้องการเสมอ ไม่เพียงจะไม่สูญเสียสิ่งสำคัญ แต่ยังได้รับสิ่งสำคัญกลับมามากมาย มีเพียงส่วนน้อยที่ต้องสูญเสียร่างโคลนหรือสิ่งของ แต่เจ้าไม่เคยต้องเผชิญความเสียหายใหญ่หลวงหรือความสิ้นหวังถึงขีดสุด… นั่นเพราะทุกการลงมือของเจ้าล้วนเกิดจากการวางแผนอย่างที่ถ้วนเสมอ หรือต่อให้ล้มเหลวก็มีทางออกที่ค่อนข้างปลอดภัย… กล่าวคือ อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าหวงแหนชีวิตตัวเองมากกว่าที่ข้าคิด เจ้าอาจชื่นชอบความตื่นเต้นและความซาบซ่านก็จริง แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งพวกมัน เจ้าคงไม่คิดจะนำทุกสิ่งของตัวเองเข้าเสี่ยง… นั่นสินะ เทพแห่งการหลอกลวงจะเดิมพันด้วยความซื่อตรงได้อย่างไร? แต่แน่นอน ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาของข้า บางทีอาจจะผิดก็ได้… แล้วสรุปว่าอย่างไร? อยากพนันกันไหม?”
อามุนด์ลูบแว่นตาผลึกข้างขวา ส่ายหน้าพลางจิ๊ปากเหมือนเมดีซี
“เจ้าเสียสติไปแล้วจริงๆ”
ไคลน์ตอบสนองด้วยรอยยิ้ม
“ในสายตาคนอื่น ข้าอาจดูเหมือนเสียสติ… แต่สำหรับตัวข้า นี่เป็นเพียงทางเลือกเดียว… เมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว ข้าขอยอมเสี่ยงกับราชันเร้นลับจากอดีตกาลดีกว่า พระองค์คือวันวานตัวจริง ผู้เย้ยหยันจักรวาลจากมุมสูงและมองทุกสิ่งมีชีวิตเป็นเพียงมดปลวก ซึ่งนั่นทำให้พระองค์มักวางตัวอยู่ห่างจากโลกความจริง… นอกจากนั้น ข้ายังมีเวลาเหลือเฟือที่จะให้เทพแห่งตะเกียงเป็นสักขีพยาน เพื่อขอให้ราชันเร้นลับช่วยรับปากกับข้าในบางเรื่อง โดยสิ่งเหล่านั้นเป็นงานง่ายๆ ที่พระองค์มองว่ากระจ้อยร่อย”
กล่าวถึงตรงนี้ ไคลน์ยกมุมปากกว้าง:
“ข้าแทบไม่เสียอะไร มีแค่ตัวเอง… โลกนี้มักมีบางสิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นเสมอ”
อามุนด์ยังคงยิ้ม แต่ไม่พูด
ไคลน์มองไปรอบตัว พบตะเกียงวิเศษประทานพรและหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ท่ามกลางเศษชิ้นส่วนแห่งความพินาศที่ล่องลอยภายในห้วงมิติอันว่างเปล่า
ชายหนุ่มหัวเราะทันที
“เห็นไหม ข้าไม่ถูกลงโทษ หมายความว่าทุกสิ่งที่พูดเป็นความจริง”
อันที่จริง กฎที่หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์สร้างขึ้นเริ่มเสื่อมอำนาจลงนับตั้งแต่ ‘ดวงดาว’ พุ่งลงมา เป็นเวลาเดียวกันที่อาณาจักรเทพถูกทำลาย ซึ่งหลังจากนั้นอามุนด์ได้ ‘ขโมย’ ในหลายสิ่งแต่ก็ไม่ถูกลงโทษ อย่างไรก็ดี จุดประสงค์หลักของไคลน์นั้นไม่ซับซ้อน ชายหนุ่มเพียงต้องการแสดงให้เห็นถึงความหนักแน่น มุ่งมั่น และบ้าบิ่นของตน
แน่นอน สิ่งที่ไคลน์พูดล้วนเป็นความจริง และคิดจะนำมาปฏิบัติจริงด้วย เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้น อามุนด์ก็ต้องจับพิรุธได้ หรือไม่คงก็ไม่เกิดความหวาดหวั่น
อามุนด์ยิ้ม กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน:
“ฟังดูน่าสนใจ”
“จริงหรือ? งั้นมาเริ่มกันเลย” ไคลน์ตอบสนองโดยไม่ลังเล ดวงตาทวีความดำมืด
รอยยิ้มอามุนด์จางลงเล็กน้อย ฝ่ามือของมันถูกขยับเข้ามาใกล้กัน
ใต้ชุดคลุมสีดำทรงโบราณของอามุนด์เริ่มมีหนวดรยางค์มันลื่นและชั่วร้ายงอกออกมา
ออร่าของมันเปลี่ยนไปพอสมควร และคล้ายกับร่างกายถูกปกคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำ
ในวินาทีนี้ อามุนด์เริ่มกลายเป็น ‘ราชันเร้นลับ’ มากกว่าเดิม
แต่จุดประสงค์มิใช่การ ‘แข่ง’ ปลุกเจตจำนงของราชันเร้นลับกับไคลน์ อามุนด์ทำไปโดยหวัง ‘หลอกลวง’ ปราสาทต้นกำเนิดเพื่อสร้าง ‘บั๊ก’ และเปิดโอกาสหลบหนีให้ตัวเอง
เพื่อให้อำนาจ ‘ข้อผิดพลาด’ ในระดับเดียวกันแสดงผล เงื่อนไขในการบรรลุมักซับซ้อนและหลากหลาย:
ประการแรก จำเป็นต้องมีความคล้ายคลึงระหว่างสื่อกลางกับเป้าหมาย; ประการที่สอง มีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างทั้งสองฝ่าย; ประการที่สาม มีความขัดแย้งเชิงตรรกะระหว่างทั้งสองสิ่ง; ประการที่สี่ กฎเกณฑ์บางข้อต้องขาดความสมบูรณ์; ประการที่ห้า หากมิอาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายได้โดยตรง ให้สร้างสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดแทนเพื่อสร้างอาณาจักร
ในแง่นี้ อำนาจการปั่นหัวจะมีข้อจำกัดน้อยกว่า แต่ถ้าสามารถบรรลุเงื่อนไขครบทุกข้อ อำนาจ ‘ข้อผิดพลาด’ จะรับมือได้ยากกว่าหลายเท่า
อามุนด์กำลังแสร้งทำเพื่อให้บรรลุเงื่อนไขข้อแรก
ลักษณะคล้ายกับการบุกรุกของไวรัส อันดับแรก ทำให้อีกฝ่ายคิดว่าเป็นพวกเดียวกันเพื่อข้ามขั้นต่อการยืนยันตัวตน จากนั้นค่อยทำให้กลไกการป้องกันตัวเป็นอัมพาตและนำพาไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ
เมื่อมีผลไม้หน้าตาเหมือนสตรอว์เบอร์รี กลิ่นเหมือนสตรอว์เบอร์รี และรสเหมือนสตรอว์เบอร์รี มันย่อมถูกจำแนกให้เป็นสตรอว์เบอร์รี
แต่ในความเป็นจริงอาจมีข้อยกเว้น
ณ ปัจจุบัน อามุนด์ดูเหมือนราชันเร้นลับ ออร่าเหมือนราชันเร้นลับ มีพลังเหมือนราชันเร้นลับ และตราประทับทางจิตก็ยังเหมือนราชันเร้นลับ เมื่อผนวกเข้ากับอำนาจของ ‘ข้อผิดพลาด’ ปราสาทต้นกำเนิดย่อมเข้าใจผิดคิดว่าอามุนด์คือราชันเร้นลับไปชั่วขณะ
ในเวลาเดียวกัน อาณาจักรเทพที่อยู่ในสภาพยับเยินของเดอะฟูลถึงคราวพังพินาศโดยสมบูรณ์ วังโบราณแสนสง่างามและโต๊ะทองแดงยาวลวดลายเก่าแก่ปรากฏขึ้น
หมอกสีเทาซึ่งแต่เดิมจะลอยอยู่บนพื้นปราสาทต้นกำเนิด ปัจจุบันกำลังลอยสูงปกคลุมห้วงมิติ
หมอกสีเทาดังกล่าวถูกแบ่งออกเป็นคลื่นสองลูก ปะทะกันอย่างรุนแรงในจุดหนึ่งจนเกิดเป็นวังวนจำนวนมาก ฉีกทำลายช่องว่างที่นำพาไปสู่โลกความจริง
ในวินาทีนี้ พลังของปราสาทต้นกำเนิดกำลังขัดแย้งกันเอง ราวกับสับสนว่าควรรับใช้ราชันเร้นลับคนไหน
ร่างอามุนด์เลือนหายไปทันที เป็นการอำนาจของ ‘ประตู’ เพื่อออกจากปราสาทต้นกำเนิดโดยตรง
ทันทีที่สัมผัสกับขอบเขต ร่างอามุนด์ชะงักเล็กน้อยก่อนจะกระเด็นกลับ
บนเก้าอี้เดอะฟูล ไคลน์กำลังนั่งอมยิ้มมุมปาก บานประตูแสงพิสดารบนหว่างคิ้วและรอบตัวทวีความคมชัดจนดูเหมือนของจริง
ฉากดังกล่าวทำให้เกิดพลังการ ‘ผนวกรวม’ ที่รุนแรงเหนือพรรณนา ประหนึ่งมือล่องหนที่กระชากอามุนด์กลับ!
ร่างอามุนด์ถูกแบ่งเป็นตัวเองจำนวนมากในพริบตา
และที่ด้านหน้าของทุกอามุนด์ ประตูดวงดาวมายาปรากฏขึ้น
ประตูทุกบานเปิดออกอย่างเงียบเชียบโดยพร้อมเพรียง แต่ภายในความมืดมิดไร้ขอบเขตด้านหลังประตู สิ่งแรกที่โผล่ออกมากลับเป็นหนวดรยางค์มันลื่นและชั่วร้าย พวกมันคอยกีดขวางเส้นทางการหลบหนีของอามุนด์ไว้
สุดปลายของหนวดรยางค์เหล่านี้มีประกายแสงดวงดาวสว่างขึ้น อาบร่างของเหล่าอามุนด์อย่างท่วมท้น
เหล่าอามุนด์กลับมารวมตัวกันอีกครั้งอย่างมิอาจขัดขืน กลายเป็นกลุ่มก้อนแนวคิดเชิงนามธรรม
แนวคิดเชิงนามธรรมเหล่านี้ประกอบด้วยหลายสิ่ง เช่นหมวกปลายแหลม ชุดคลุมสีดำทรงโบราณ แว่นตาขาเดียว ชะตากรรม เวลา กุญแจ ประตู แมลง และม้าไม้ เป็นต้น
ไคลน์ลุกขึ้นเชื่องช้า ยิ้มให้อามุนด์ ผู้กำลังอยู่ในสภาพจำแลงแนวคิดซึ่งมิอาจช่วยเหลือตัวเอง:
“เจ้าเองก็ปลดปล่อยเจตจำนงของราชันเร้นลับให้ตื่นขึ้นจากเดิมได้เช่นกัน แต่สิ่งนี้จะแตกต่างจากความตาย และนั่นจะทำให้ร่างกายอาดัมพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย”
ร่างจำแลงแนวคิดของอามุนด์กลับคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว เป็นการอาศัยอำนาจของประตูเพื่อหลบหนีออกจากภาวะดังกล่าว
อามุนด์ยังคงยิ้มมุมปาก แต่มิได้ตอบสนองต่อคำพูดไคลน์ เพียงฉวยโอกาสนี้ใช้อำนาจข้อผิดพลาดเพื่อแทนที่ความจริงด้วยความเท็จ และแทนที่ตัวเองด้วยร่างโคลนด้านนอกที่เตรียมไว้ล่วงหน้า จุดประสงค์คือการสลับตำแหน่ง
สิ่งนี้คล้ายกับการสลับตำแหน่งระหว่างหุ่นเชิดและร่างต้นของนักทำนาย แต่มีระดับสูงกว่าและใช้หลักการคนละแบบ จึงไม่ถูกขัดขวางหรือแทรกแซงในแทบทุกสถานการณ์
ทว่า อามุนด์ยังคงล้มเหลว
มันพบว่าอำนาจข้อผิดพลาดของตนถูกฝืนกำราบ
ไคลน์ที่กำลังลุกยืนเชื่องช้า ยกหนวดรยางค์มันลื่นและชั่วร้ายรอบตัวขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าทวีความกรุ้มกริ่ม
ถัดมา ดวงตาอามุนด์พลันเหม่อลอย รอยยิ้มแข็งทื่อ แว่นตาขาเดียวสูญเสียความแวววาว
ในเวลาเดียวกัน บนใบหน้าไคลน์ หน้ากากพิสดารที่ดูเย็นชาเริ่มยุบพอง
เขลาและบอด!
วินาทีถัดมา ชายหนุ่มปลูกถ่ายตัวเองเข้ากับแนวคิดบางอย่างบนอวกาศ และใช้พลังอำนาจการปั่นหัวเพื่อสร้างอิทธิพลกับสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง
หนวดรยางค์มันเลื่อมรอบๆ เริ่มงอตัวคล้ายปืนลูกโม่ ทั้งหมดเล็งไปที่อามุนด์
ทันใดนั้น มหานวดาราพลันปะทุจากภายในร่างอามุนด์ที่ยังคงมีดวงตาเหม่อลอย
ทะเลเพลิงแห่งแสงที่สุกสว่างโชติช่วงเหนือพรรณนาพรั่งพรูออกมาอย่างท่วมท้น บดขยี้แว่นตาขาเดียวและกลืนกินร่างกายอามุนด์ทุกส่วน
…………………………………………….