ด้านหลังม่านเงาอันไร้ขอบเขต มีแสงคล้ายคลื่นน้ำส่องกระเพื่อมขึ้น
ชายหนุ่มผมสีดำ ตาสีดำ หน้าผากกว้าง และใบหน้าผอมเพรียวลุกขึ้นกะทันหันราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย
แต่งกายในชุดคลุมสีดำทรงโบราณ มันเหยียดมือขวาออก พยายามนำแว่นตาขาเดียวออกจากความว่างเปล่ามาสวมที่ตาขวา
แต่คราวนี้ไม่มีสิ่งใดติดมือกลับมา
มือขวาของมันแช่อยู่กลางอากาศนานสองวินาที ก่อนจะดึงกลับลงมาวางไว้บนเบ้าตาขวา
ในเวลาเดียวกัน ข้างหูของมันได้ยินเสียงอันอ่อนโยนเจือความเย็นชา:
“สำหรับเขา บางสิ่งสำคัญยิ่งกว่าชีวิต… แต่สำหรับเจ้า นอกจากตัวเจ้าเอง ก็แทบไม่มีสิ่งใดควรค่าแก่การใส่ใจ… เมื่อถึงจุดที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิตของตัวเอง นั่นคือช่วงเวลาที่เจ้าพ่ายแพ้”
อามุนด์ยกมุมปาก คล้ายกับต้องการยิ้มและตอบกลับไปสองสามคำ แต่ท้ายที่สุดก็มิได้กล่าวสิ่งใด
เสียงเดิมยังคงพูดต่อ:
“ในฐานะสัตว์ในตำนานโดยกำเนิด การไม่มีหลักยึดเหนี่ยวตามปรกติถือเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญ… เจ้าอาจรู้จักความกล้าหาญและเสียสละ แต่คงยากที่จะทำความเข้าใจกับมัน”
สีหน้าอามุนด์เปลี่ยนไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยืนขึ้นจากความมืดที่มีแสงคล้ายคลื่นน้ำ
มันมองไปยังถุงมือหนังมนุษย์ที่ทำตัวพึงพอใจแม้จะถูกโยนทิ้งไว้ด้านข้าง จากนั้นก็ถอนสายตากลับ เอียงคอเล็กน้อยพลางกล่าว:
“น่าสนใจ… ถัดไป ข้าจะออกจากที่นี่ ออกไปยังอวกาศ… ที่นั่นน่าตื่นเต้นกว่าโลกความเป็นจริงมาก บางทีข้าอาจได้เข้าใจความหมายของคำสองคำที่เจ้าเพิ่งกล่าวออกมา”
“ที่นั่นเต็มไปด้วยอันตราย เมื่อเจ้าออกไปยังอวกาศ ข้าคงมิอาจส่งความช่วยเหลือใดจนกว่าทางนี้จะประสบความสำเร็จ แต่อย่างน้อยเจ้าก็สามารถหลีกเลี่ยงเขาได้” เสียงที่อ่อนโยนและเย็นชาตอบ
อามุนด์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงยกมือขวาขึ้นมาบีบเบ้าตาขวา จากนั้นก็หายเข้าไปในม่านเงาอันไร้ขอบเขต
…
เหนือสายหมอก ภายในวังโบราณ
ไคลน์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นอามุนด์ถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดด้วยแรงระเบิดของมหานวดารา
หากมีทางเลือก ชายหนุ่มย่อมไม่อยากเสียสละตัวเองโดยการคืนชีพราชันสวรรค์ฟ้าดิน เพราะลึกๆ แล้วก็หวังที่จะปกป้องโลกนี้ด้วยตัวเองไปพลางค้นหาคำตอบของชีวิต
แต่แน่นอน ในเมื่อไม่มีทางเลือก ชายหนุ่มก็ไม่ลังเลที่จะปลุกราชันสวรรค์ฟ้าดินให้ลืมตาตื่น ไคลน์มั่นใจว่าตัวเองทำได้ และอามุนด์ก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงไม่พยายามแข่งขัน แต่เลือกที่จะหลบหนี
จนกระทั่งเมื่อครู่ มันคือศึกวัดความกล้าหาญ ฝ่ายที่ไม่กลัวตายย่อมถือไพ่เหนือกว่า
และเป็นที่ชัดเจนว่า อามุนด์ไม่กล้าเดิมพันจิตใต้สำนึกของตัวเองเพียงเพราะเรื่องนี้
หลังจากโล่งอก ใบหน้าไคลน์ด้านหลังหน้ากากพิสดารและเย็นชาพลันบิดเบี้ยว
ใต้ชุดคลุมสีเข้มโปร่งแสงบนผิวกาย หนวดรยางค์มันลื่นและชั่วร้ายที่ยืดยาวออก บ้างกระดุกกระดิกอยู่บนพื้น บ้างกำลังยกขึ้นสูง โดยที่ทั้งหมดไม่ได้อยู่ในความควบคุมของไคลน์
ชายหนุ่มสัมผัสได้ ราชันสวรรค์ฟ้าดินในร่างตนกำลังตื่นขึ้นด้วยความเร่ง และดูเหมือนจะหยุดไม่อยู่อีกแล้ว
ต่อให้ไคลน์ตายไปและคืนชีพกลับมาด้วยพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ ชายหนุ่มก็ยังสลัดไม่หลุดจากสิ่งนี้ เพราะราชันเร้นลับเองก็ถือครองอำนาจในขอบเขต ‘ปาฏิหาริย์’ เช่นกัน
ทันใดนั้น ไคลน์หวนนึกถึงคำของเทวทูตมืดซาสเรีย หรืออีกนัยหนึ่งคือเทพสุริยันบรรพกาล:
“มหาต้นกำเนิดตื่นขึ้นในตัวข้า…”
วินาทีถัดมา ในจุดที่ร่างอามุนด์ร่วงหล่น กลุ่มแสงสว่างถูกแรงโน้มถ่วงที่มองไม่เห็นดึงเข้าหาตัวไคลน์
บ้างเป็นหนอนกาลเวลาสิบสองปล้อง บ้างเป็นหนอนดวงดาวสุกสว่าง และบ้างเป็นจุดแสงจำนวนมาก
ไคลน์พยายามกีดกันมิให้ตะกอนพลังเหล่านี้ผสานเข้ากับตัวเอง แต่ก็ต้องล้มเหลวเพราะอิทธิพลของเจตจำนงราชันสวรรค์ฟ้าดินภายในตัว
ร่างกายชายหนุ่มขยายออกราวกับลูกโป่ง แต่ทันใดนั้นก็บางลงและกลายเป็นกระดาษคน วนซ้ำไปมาเช่นนี้ไม่รู้จบ
หน้ากากบนใบหน้าทวีความสว่างและพิสดารยิ่งกว่าเก่า หนวดรยางค์มันเลื่อมและชั่วร้ายใต้ชุดคลุมเพิ่มจำนวนทุกขณะ แถมยังควบคุมไม่ได้
ตะกอนพลังของหนอนกาลเวลาหนึ่งก้อน ตะกอนพลังของกุญแจดาราหนึ่งก้อน… ไคลน์รู้สึกเหมือนจิตใจกำลังถูกกัดแทะและกลืนกินโดยสัตว์ประหลาดล่องหน นำมาซึ่งความเจ็บปวดแสนสาหัส
ในท้ายที่สุด ดวงตาคู่หนึ่งซึ่งคล้ายกับประกอบจากแสงดาวบริสุทธิ์และชั้นของประตูมายา กับแว่นตาขาเดียวที่ทำจากคริสตัล เริ่มผสานเป็นเนื้อเดียวกันและก่อตัวเป็นรูปทรง ก่อนจะลอยเข้าหาใบหน้าไคลน์ผ่านช่องว่างบนเบ้าตาหน้ากากพิสดาร
แทบจะในเวลาเดียวกัน บานประตูประหลาดที่ฉาบด้วยสีน้ำเงินเข้มปรากฏขึ้นบนตัวไคลน์
ปราสาทต้นกำเนิด!
ในวินาทีนี้ เอกลักษณ์ของไคลน์ ปราสาทต้นกำเนิด รวมถึงเอกลักษณ์ของประตูและข้อผิดพลาด กำลังสร้างแนวโน้มการผนวกรวมที่รุนแรงขึ้น
เมื่อทั้งหมดผสานเข้าด้วยกัน ราชันเร้นลับจะตื่นขึ้นและคืนชีพโดยสมบูรณ์
ไคลน์เลื่อนมือขวาขึ้นมาปิดครึ่งใบหน้า
ร่างกายโน้มลง ประหนึ่งกำลังต่อสู้กับ ‘ตัวเอง’ อีกหนึ่งคน
อาศัยภาพจำและจุดยืนของตนที่เกิดจากหลักยึดเหนี่ยวของสาวก ในท้ายที่สุด ไคลน์สามารถเลื่อนการตื่นของเจตจำนงราชันเร้นลับออกไปได้ระยะหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ทำให้แนวโน้มการผนวกรวมบรรเทาลง
ดวงตาแสงดาวและแว่นตาผลึกข้างเดียวยังคงลอยอยู่เบื้องหน้าไคลน์ ห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร ประหนึ่งดาวเคราะห์กำลังโคจรรอบดวงอาทิตย์
ท่ามกลางความไม่สมดุลอย่างรุนแรง ไคลน์ไตร่ตรองและพบว่าสิ่งนี้ไม่น่าจะคงสภาพไว้ได้นาน บางทีอาจสองถึงสามนาที หรืออาจแค่สิบวินาที แนวโน้มการผนวกรวมจะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างมิอาจต้านทาน สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีวันหวนกลับ
“ฮะฮะ… นี้คงเป็นการฟิวชันในรูปแบบหนึ่ง” ไคลน์หัวเราะโดยปราศจากความเยือกเย็น
ถัดมา ชายหนุ่มปั่นหัวหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ ส่งมันกลับสู่ภาวะถูกผนึกและลอยไปยังกองขยะ
จากนั้น ไคลน์ออกจากปราสาทต้นกำเนิดและก้าวเข้าไปในโลกดาราที่ประกอบจากสัญลักษณ์และอำนาจ
ที่นี่ดูคล้ายกับอวกาศ ทั้งมืดและลุ่มลึก กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แต่ในความเป็นจริงแล้วมีหลายจุดที่แตก ตัวอย่างเช่น แม้จะเห็นดวงดาวคล้ายดวงอาทิตย์กำลังลอยอยู่ในจุดห่างไกล แผ่แสงสว่างและความร้อนตามปรกติ แต่ถ้าสามารถเข้าไปใกล้ๆ ได้โดยไม่เจ็บตัว จะพบว่าในจุดดังกล่าวของโลกวิญญาณมีลักษณะคล้ายม่านสีดำ และพระอาทิตย์ดวงดังกล่าวดูคล้ายกับภาพวาดสีน้ำมัน รายล้อมด้วยสัญลักษณ์และแนวคิดนามธรรม
ยิ่งไปกว่านั้น ภาพวาดพระอาทิตย์ก็มิได้งดงามสักเท่าไร ดูเหมือนกับถูกขีดเล่นด้วยฝีมือเด็กเล็กไร้พรสวรรค์ ทั้งดูขบขันและน่ากลัว
หากมองในอีกมุม นี่อาจเป็นตัวแทนของความไร้ระเบียบและบ้าคลั่งที่เป็นกฎเกณฑ์พื้นฐาน
เมื่อไคลน์เข้ามา มันสัมผัสถึงสายตาที่มองไม่เห็นทันที
บ้างมาจากพื้นที่ใกล้กับบาเรียโลก บ้างก็มาจากพื้นที่กว้างขวางและแฝงความมุ่งร้าย
มุมปากไคลน์ขดขึ้นอย่างมิอาจควบคุม ก่อนจะหันศีรษะไปยังทิศทางหนึ่ง จดจ้องบาเรียโลกพร้อมกับยกหนวดรยางค์มันลื่น
คู่ดวงตาแสงดาวและแว่นตาผลึกข้างเดียวเริ่มเกิดการหมุนวน
ทันใดนั้น สายตาทุกคู่จากอวกาศพลันถอนกลับ เหลือเพียงภาพวาดดวงจันทร์สีแดงที่ยังลอยอยู่ในลักษณะส่องแสง
“ฮะฮะ” ไคลน์หัวเราะเสียงดัง จากนั้นก็เข้าไปในดินแดนอันมืดมิดที่เต็มไปด้วยวานิลลาราตรีและบุปผาหลับใหล
ในเวลาเดียวกัน เทพธิดารัตติกาลในเดรสประกายดวงดาวหลายชั้น ตาข่ายบางสีดำคลุมหน้า ปรากฏกายขึ้นบริเวณชายขอบอาณาจักรเทพ
ร่างกายของเธอมิได้ใหญ่โต มองไคลน์ด้วยสายตาเสมอกัน เหยียดแขนขวาพร้อมกับเผยให้เห็นเครื่องประดับทองคำรูปนก
ภายในศีรษะของเครื่องประดับทองคำรูปนก ภายในดวงตาทองแดง ชั้นของประตูมายากำลังส่องแสงพร้อมกับคายหยดน้ำไร้สีให้ลอยมาทางหน้ากากพิสดารและเย็นชาของไคลน์
เจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินถูกส่งเข้าสู่ภาวะหลับลึกนิรันดร์ในทันที เฉกเช่นจิตใต้สำนึกเกือบทั้งหมดของไคลน์ เหลือไว้เพียงสติสัมปชัญญะแค่เล็กน้อย
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ชายหนุ่มดึงหน้ากากออกและเปลี่ยนผ้าคลุมให้เป็นเสื้อโค้ทกันลมสีดำ
จากนั้น ไคลน์เปลี่ยนแว่นตาขาเดียวให้เป็นถุงมือสีดำหนึ่งคู่ และเปลี่ยนดวงตาแสงดาวให้เป็นไม้ค้ำเลี่ยมละอองดาว
นี่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเชิงรูปลักษณ์ มิใช่แก่นแท้ของพวกมัน หากทั้งสองสิ่งออกห่างจากไคลน์ มันก็จะกลับไปยังรูปลักษณ์เดิม แต่แน่นอน หากชายหนุ่มปรองดองกับพวกมันและรักษาเสถียรภาพไว้ได้ และคอยปรับปรุงแนวคิดเชิงนามธรรมกับสัญลักษณ์อย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดรูปลักษณ์ของทั้งสองก็จะเปลี่ยนไปเป็นการถาวร
“สิ่งนี้อยู่ได้ไม่นานนัก ทำได้เพียงกำราบไว้ชั่วขณะ” เสียงเตือนอันอ่อนโยนของเทพธิดารัตติกาลดังขึ้น “หากใช้น้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์หลายครั้งติดต่อกัน เจตจำนงของราชันเร้นลับจะยิ่งตื่นขึ้นด้วยความเร่ง เพราะพระองค์จะสร้างความเคยชินกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้จัก ในเวลาเดียวกัน ความพิเศษของปราสาทต้นกำเนิดและพรจากฉันจะค่อยๆ เลือนหายไป และคุณก็จะเข้าสู่ภาวะหลับใหลชั่วนิรันดร์”
ไคลน์ทำราวกับนั่นไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เพียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม:
“ผมรู้”
เทพธิดารัตติกาลกล่าวด้วยน้ำเสียงปลอมประโลมไคลน์:
“สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น วิธีคิดและพฤติกรรมของอามุนด์อยู่นอกเหนือการคาดเดาของฉันโดยสิ้นเชิง สมแล้วที่เป็นเทพแห่งการหลอกลวง… หลังจากนี้ ใช่ว่าคุณจะไม่มีโอกาส คุณยังสามารถลองควบคุมปราสาทต้นกำเนิดเต็มรูปแบบ ดึงเจตจำนงของราชันเร้นลับให้หลับใหลไปพร้อมกัน เผชิญหน้าและผนวกรวมกับเขาภายในความฝัน ฉันสามารถมอบพรบางชนิดให้คุณได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวคุณเอง… การกลายเป็นวันวานไม่จำเป็นต้องใช้พิธีกรรม ไม่มีพิธีกรรมใดสามารถเปลี่ยนแปลงการตื่นขึ้นของเจตจำนงมหาต้นกำเนิดได้ แต่เทพสุริยันบรรพกาลเชื่อว่า ลำดับในการปรองดองมีส่วนช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับจิตใต้สำนึกในระดับหนึ่ง และช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จ…
“อันดับแรก กลายเป็นลำดับ 0 ของเส้นทางหนึ่งก่อน จากนั้นก็ควบคุมและผสานเข้ากับแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด ตามด้วยการปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางอื่น…
“การเป็นเทพสองเส้นทางก่อนจึงค่อยควบคุมและผสานเข้ากับแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด ไม่ใช่วิธีการที่ดีหรือแย่…
“ทางเลือกที่แย่ที่สุดคือการผสานเข้ากับแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดทีหลังสุด”
ไคลน์ยิ้ม:
“เป็นแนวคิดที่ดี และเมื่อมีใครตื่นขึ้นในภายหลัง ราชันเร้นลับก็จะถือกำเนิด… อาจเป็นเขา หรืออาจเป็นผมก็ได้… อา ผมจะเข้าควบคุมปราสาทต้นกำเนิดอย่างเต็มรูปแบบ หลังจากเข้าสู่ภาวะหลับลึกนิรันดร์ ผมน่าจะทำให้ผนึกของทวีปตะวันตกอ่อนแอลงได้ จนถึงระดับที่สามารถผ่านเข้าออก”
เทพธิดารัตติกาลฟังคำไคลน์โดยไม่พูดขัด
ไคลน์กล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้ม
“นี่เป็นทางเลือกของผมเอง… เคยเดาได้นานแล้วว่า สักวันผมต้องเผชิญหน้ากับพระองค์”
……………………………………..