เทพธิดารัตติกาลพยักหน้ารับ ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงเหยียดฝ่ามือออกมาข้างหน้า จับคว้ามุมหนึ่งของความว่างเปล่าและดึงแผ่วเบา
ชั้น ‘ความมืด’ แผ่นบางร่วงหล่นอย่างอ่อนโยน ปกคลุมร่างไคลน์และซึมเข้าไปอย่างเงียบงัน
ไคลน์ดื่มด่ำพรแห่งความฝันอย่างเงียบงันนานสองวินาที ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาทาบอก โน้มตัวลงและทำท่าคำนับ
ชายหนุ่มรีบถอยหลังสองก้าวและออกจากโลกดารา
เทพธิดารัตติกาลซึ่งยืนอยู่ ณ ชายขอบอาณาจักรเทพ ทำเพียงเฝ้ามองอีกฝ่ายจากไป
วินาทีถัดมา ไคลน์ตกลงมายังภาพฉายของวังราชาคนยักษ์ภายในซากสมรภูมิแห่งเทพ
จากนั้น เฉกเช่นที่อามุนด์เคยทำ ชายหนุ่มเดินไปยังขอบประตูสีเทาอมน้ำเงินและยกมือขึ้นมาสร้างบานประตูมายาสีน้ำเงินเข้ม
ผ่านประตูดังกล่าว ไคลน์เข้าไปในดินแดนเทพทอดทิ้งและ ‘พเนจร’ ไปยังทอดยอดเทือกเขาแห่งด้วยการชี้นำจากชะตากรรม
ที่นี่มีไม้กางเขนยักษ์ตั้งเด่นสง่า ปกคลุมด้วยแผ่นเงาดำ
ไคลน์ยืนจ้องเงาดำอยู่สักพัก ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะโน้มตัวลงหยิบกระจกเงาโบราณสีเงินที่ถูกวางไว้ใกล้กับไม้กางเขนใหญ่
ถัดมา ชายหนุ่มหันหลังกลับและหายตัวไปจากดินแดนเทพทอดทิ้ง
ในเวลาเดียวกัน หนอนวิญญาณที่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติงานบนปราสาทต้นกำเนิดแล้วก็ได้ ทำการแจ้งตำแหน่งปัจจุบันของราชินีเงื่อนงำแบร์นาแดตให้ไคลน์ทราบ ทันใดนั้น ชายหนุ่มยกมือขึ้นและนำตะเกียงวิเศษประทานพรออกจากกองขยะ อาศัยความเป็นเจ้าของอย่างชอบธรรมของแบร์นาแดต มันพาตะเกียง ‘พเนจร’ หายไปโผล่ในมรกตนครบนเกาะที่ค่อนข้างลับแห่งหนึ่ง
แบร์นาแดตกำลังพลิกอ่านคอลเลกชันภาพวาดล่าสุดที่ตีพิมพ์โดยอินทิส จนกระทั่งสัมผัสถึงบางสิ่ง จึงหันไปเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังยื่นตะเกียงวิเศษประทานพรมาทางตน
“ขอบคุณ” ไคลน์กล่าวเสียงเรียบตามปรกติ
แบร์นาแดตเปิดปากราวกับต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่ทันใดนั้น ดวงตาของเธอไหววูบราวกับมองเห็นนิมิตบางอย่าง จึงทำเพียงเหยียดแขนออกไปรับตะเกียงวิเศษประทานพรอย่างเงียบงัน
ไคลน์รีบนำกล่องบุหรี่โลหะที่มีร่องรอยการกัดกร่อนบนพื้นผิวออกมา
“รางวัล”
แบร์นาแดตสามารถสัมผัสถึง ‘ความพิเศษ’ ของกล่องโลหะได้โดยไม่ต้องใช้เนตรส่องความลับ และพอจะเดาได้ว่ามันถูกสิ่งใดกัดกร่อน
อย่างไรก็ดี เธอมิได้รับมันไว้ด้วยเหตุผลดังกล่าว เพียงรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ
หญิงสาวลังเลเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออกไปรับอย่างใจเย็น
หากไคลน์ยังอยู่ในสถานะเสียสติเหมือนช่วงแรก มันคงฉีกยิ้มกว้างเมื่อได้เห็นแบร์นาแดตลังเล ตามด้วยกล่าว: “ของขวัญจากลุงเอง รับไว้เถอะนะ!”
แต่ปัจจุบัน สติสัมปชัญญะของมันเลือนรางเต็มที และต้องพยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้ตัวเองหลับ จึงไม่เหลือสมาธิที่จะรับบทตัวตลก
หลังออกจากมรกตนครของแบร์นาแดต ไคลน์พเนจรอีกครั้งไปยังเบ็คลันด์ บ้านนายแพทย์อลัน·คริส
วิล·อัสตินซึ่งนั่งอยู่บนกองของเล่น เงยศีรษะขึ้นมองดอน·ดันเตสตรงหน้า จากนั้นก็ปล่อยโฮและสะอื้นเสียงดัง:
“ในที่สุดข้าก็พบโอกาส”
โอกาสในการปรองดองกับเอกลักษณ์แห่งเส้นทางชะตากรรม
ไคลน์นั่งยองลง กล่าวอย่างไร้อารมณ์
“ข้ามาเพื่อช่วยเจ้าปรองดอง… ข้าจะขโมยวัยเด็กและวัยรุ่นของเจ้า ช่วยให้เจ้าเติบโตในทันที และอาศัยระดับตัวตนของเหนือลำดับที่ยังไม่ไปถึงวันวาน ช่วยเจ้าฝืนปรองดองกับลูกเต๋าแห่งความน่าจะเป็น… แน่นอน ลำพังสิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จ แต่ยังต้องใช้การฉกฉวยช่องโหว่จาก ‘ปั่นหัว’ และ ‘บั๊ก’ ร่วมด้วย”
น้ำตาที่พรั่งพรูของวิล·อัสตินหยุดลงกะทันหัน พึมพำบางสิ่งด้วยความประหลาดใจ
“กลับกลายเป็นว่า ทั้งสองตัวเลือกนั้นเหมือนกัน”
เดิมที เพื่อที่จะปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางชะตากรรม มีเพียงต้องเกิดมาพร้อมกับเอกลักษณ์ หรือไม่ก็ขอความช่วยเหลือจากตัวตนระดับวันวาน หรือไม่ก็ประกอบพิธีกรรมที่คล้ายกับพิธีกรรมเลื่อนลำดับฉบับย่อ ไม่มีหนทางอื่นนอกจากสามวิธีนี้
อสรพิษโชคชะตาวิล·อัสตินย่อมไม่ได้เกิดมาพร้อมกับเอกลักษณ์ จึงทำได้เพียงเลือกหนึ่งจากสองวิธีหลัง
แผนเดิมของมันคือการประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับฉบับย่อ นั่นคือการรอคอยให้โอกาสแห่งชะตากรรมมาถึง แต่ใครจะไปคิดว่า โอกาสดังกล่าวคือการขอความช่วยเหลือจากไคลน์ที่มีระดับตัวตนเกือบถึงวันวาน หรืออาจเรียกได้ว่านี่คือวิธีที่สอง
คิดถึงตรงนี้ วิล·อัสติน เด็กเล็กอวบอ้วนร้องไห้หนักยิ่งกว่าเก่า รู้สึกราวกับตนถูกโชคชะตากลั่นแกล้ง
“บอกให้ครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบส่งลูกเต๋าความน่าจะเป็นมาได้เลย… แต่ตามปรกติ ในเวลาแบบนี้ ด้วยโชคของเจ้า ลูกเต๋าความน่าจะเป็นควรมาอยู่ข้างกายเจ้าแล้ว” ไคลน์เพิกเฉยเสียงสะอื้นของวิล “ยิ่งเร็วแค่ไหนก็ยิ่งดี ข้ามีเวลาไม่มาก”
วิลหยุดร้อง จ้องไคลน์สักพักก่อนจะพูดเสียงสะอื้น:
“ช่างมันเถอะ… ไว้โอกาสหน้าก็ได้… ด้วยสภาพปัจจุบันของเจ้า การช่วยข้าฝืนปรองดองจะทำให้ร่างกายได้รับภาระหนัก บางทีอาจเลวร้ายถึงขั้นคลุ้มคลั่งคาที่ ข้าไม่อยากเผชิญหน้ากับราชันเร้นลับในระยะประชิด… เอาล่ะ ไว้คราวหน้าเถอะ ข้ามีลางสังหรณ์…”
กล่าวจบ วิลจ้องเข้าไปในดวงตาไคลน์และกล่าว
“ข้ามีลางสังหรณ์ว่า โอกาสหน้าจะดีกว่านี้”
ไคลน์ยังคงทำสีหน้าสะลึมสะลือ กล่าวด้วยเสียงค่อนข้างแผ่วเบา
“นี่คือคำพยากรณ์?”
น้ำตาของวิล·อัสตินไหลออกมาอีกครั้ง
“เปล่า… เป็นการอวยพร”
ไคลน์พยักหน้าอ่อนโยน ลุกขึ้นยืน บรรจงถอยทีละก้าว
ระหว่างนั้น ร่างของมันจางลงและหายไปภายในเวลาไม่นาน
ชายหนุ่มกลับมายังปราสาทต้นกำเนิด นั่งลงบนเก้าอี้พนักสูง ปล่อยให้ผิวกายปกคลุมด้วยหมอกสีเทา
มองไปรอบตัว หลังจากยืนยันสถานะของดาวแดง ไคลน์เอนหลังด้วยความอ่อนเพลียพร้อมกับยกแขนซ้ายขึ้นเล็กน้อย
ในคราวนี้ มันมิได้สร้างอวตาร ‘เดอะเวิร์ล’ ขึ้นมา
สองฝั่งโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ แสงสีแดงเข้มสว่างขึ้นโดยพร้อมเพรียง ก่อนจะก่อตัวกลายเป็นสมาชิกชุมนุมทาโรต์อย่างแฮงแมน เดอะซัน เฮอร์มิท และเมจิกเชี่ยน
เห็นได้ชัดว่าการชุมนุมแบบกะทันหันครั้งนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของจัสติสออเดรย์และคนที่เหลือ ส่งผลให้พวกมันค่อนข้างฉงนและรู้สึกประหลาดใจไปพักใหญ่
ก่อนหน้านี้ แม้พวกมันจะเคยแวะเวียนขึ้นมายังอาณาจักรเทพของมิสเตอร์ฟูลในเวลาอื่นนอกเหนือจากบ่ายวันจันทร์ แต่ทุกครั้งล้วนมีเหตุผลเสมอ แถมยังทราบล่วงหน้า หากไม่ใช่การสมัครขอจัดชุมนุมย่อยด้วยตัวเอง ก็เป็นการหลีกเลี่ยงเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตู หรือไม่ก็เพื่อรักษาอาการทางจิตให้มิสเตอร์เวิร์ล
อาจกล่าวได้ว่านี่คือครั้งที่สองที่พวกมันถูกมิสเตอร์ฟูลอัญเชิญโดยไม่บอกกล่าว ครั้งแรกคือชุมนุมทาโรต์หนแรกสุด
ข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้แม้แต่สมาชิกที่เฉื่อยชาที่สุด ก็ยังสัมผัสถึงกลิ่นอายบรรยากาศที่อึดอัดและกดดัน
เมื่อหวนนึกถึงการมาเยือนครั้งล่าสุดของเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์ จัสติสออเดรย์ แฮงแมนอัลเจอร์ และจัดจ์เมนต์ซิล ต่างคิดในสิ่งเดียวกันทันที
“เวลานั้นมาถึงแล้วหรือ?”
ออเดรย์หันไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวฝั่งด้านล่างตามสัญชาตญาณ และพบว่าที่นั่นไม่มีใครนั่งอยู่
แม้เธอจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะผงะ ภายในใจเปี่ยมไปด้วยความเศร้า
ในหัวใจออเดรย์ เป็นเวลานานแล้วที่ภาพจำของเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ได้เปลี่ยนจากนักผจญภัยเสียสติสุดแสนอันตราย มาเป็นเพื่อนแสนธรรมดาที่มีบรรยากาศเย็นชาแต่อ่อนโยน แข็งแกร่ง เป็นห่วงเป็นใย มีต้นกำเนิดลึกลับ ค่อนข้างเดียวดาย และต้องแบกรับในหลายสิ่ง
หากไม่นับมิสเตอร์สตาร์ เธอคิดว่าตนน่าจะเป็นคนที่รู้จักมิสเตอร์เวิร์ลดีที่สุดในชุมนุมทาโรต์
แต่ปัจจุบัน ดูเหมือนเพื่อนของเธอคนนี้จะเผชิญกับเคราะห์กรรม จนเหลือเพียงเก้าอี้ที่ว่างเปล่า
เป็นครั้งแรกที่ชุมนุมทาโรต์สูญเสียสมาชิก
ไคลน์ไปไหน… เดอะสตาร์เลียวนาร์ดฉงนทันที
บนโลกใบนี้ อีกฝ่ายเป็นคนเดียวที่มันสามารถเรียกว่าเพื่อนได้เต็มปาก
ก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งไคลน์ปรากฏตัวบนทวีปตะวันออกอย่างกะทันหันและนำเหรียญทองใส่ไว้ในกล่องบริจาคของวิหาร เลียวนาร์ดเกิดลางสังหรณ์บางอย่าง มันรู้สึกว่าอีกฝ่ายเตรียมใจที่จะเผชิญหน้ากับการพิพากษาแห่งชะตากรรม และจึงตระเวนกล่าวคำอำลากับอดีตทีละหนึ่ง
เฉกเช่นในวันที่ไคลน์ยืนหยัดเผชิญหน้ากับเมกูสในเมืองทิงเก็น
พักหลัง ตาแก่เงียบผิดปรกติ… เกิดอะไรขึ้นกับไคลน์กันแน่? ด้วยระดับตัวตนและความแข็งแกร่งของมิสเตอร์ฟูล ตราบใดที่ยังมีโอกาส เขาก็น่าจะพอมีโอกาสรอดไม่ใช่หรือ… เลียวนาร์ดรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบ มันหันหน้าไปทางด้านข้าง มองไปยังมิสเตอร์ฟูลบนสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว
ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่รายนี้ยังคงถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเทา ส่งผลให้ไม่มีใครมองเห็นสภาพปัจจุบัน
ในเวลาเดียวกัน เดอะมูนเอ็มลิน เฮอร์มิทแคทลียา และเดอะซันเดอร์ริคต่างก็ตระหนักถึงการหายไปของมิสเตอร์เวิร์ล
ผนวกกับการชุมนุมกะทันหัน พวกมันทั้งประหลาดใจและสับสน ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็คาดเดาได้อย่างเลือนรางว่าไม่ใช่เรื่องที่ดี
ในฐานะ ‘ผู้หยั่งรู้’ ที่เพิ่งเลือนลำดับ แคทลียาคาดเดาแม้กระทั่งอาจมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับมิสเตอร์ฟูล
มิสเตอร์เวิร์ลไม่ได้มาด้วย… จากที่ซิลเคยเล่าให้ฟัง ดูเหมือนว่ามิสเตอร์ฟูลและเหล่าข้ารับใช้เตรียมเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ โดยที่ผลลัพธ์อาจลงเอยในทิศทางที่ไม่ดีนัก… เมจิกเชี่ยนฟอร์สเองก็กำลังตื่นตัว และอดไม่ได้ที่จะเกิดความกลัวต่อการเปลี่ยนที่ตนไม่ทราบ
ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดว่าหากมิสเตอร์เวิร์ลหายไป เธอคงโล่งใจไม่น้อย แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น หัวใจของเธอทั้งหนักอึ้งและเปี่ยมไปด้วยความกลัว
หญิงสาวเพิ่งได้ตระหนักเมื่อสายว่า นอกเหนือจากมิสเตอร์ฟูล มิสเตอร์เวิร์ลค่อยๆ กลายเป็นเสาหลักค้ำจุนชุมนุมทาโรต์ที่ไม่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องโล่งใจและรู้สึกปลอดภัย
แต่แน่นอน ความกลัวที่มีต่ออีกฝ่ายยังไม่หายไปโดยสมบูรณ์
ขณะจัสติสออเดรย์และคนที่เหลือหันหน้าไปมองสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว ไคลน์ที่กลายเป็นเดอะฟูลตัวจริง กล่าวเสียงแผ่ว
“นี่คือการชุมนุมกะทันหัน”
มิสเตอร์ฟูลดูเหนื่อยมาก… จัสติสออเดรย์เริ่มเครียดเมื่อสัมผัสได้
เธอมองไปรอบตัว ก่อนจะลุกขึ้นยืนตามปรกติ
รอจนกระทั่งสมาชิกชุมนุมทาโรต์ลุกขึ้นยืนครบทุกคน ออเดรย์ยกชายกระโปรงขึ้นด้วยหัวใจหนักอึ้ง จากนั้นก็หันไปทางตำแหน่งประธาน:
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล”