ตอนที่ 2,533 : มาตุภูมิ
“แย่แล้ว!”
ในขณะที่สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปใหญ่หลวง และในใจก็แทบจะลุกเป็นไฟด้วยความร้อนรน เขาก็คล้ายตระหนักใดได้ เร่งหันไปถามถังเซี่ยวเซี่ยวออกมาด้วยสายตาที่ร้อนรุ่มดั่งเพลิงไฟ
“เซี่ยวเซี่ยว ก่อนเจ้าออกมาจากดาวเหยียนหวง เจ้าได้ไปจัดการระเบิดนิวเคลียที่ตู้เวยมันติดตั้งไว้ทั่วโลกรึยัง?”
ในสายตาของต้วนหลิงเทียน จะอย่างไรถังเซี่ยวเซี่ยวก็ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด จึงสมควรรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร
เมื่อเห็นเขาไม่กลับไปจัดการเรื่องพวกนี้ นางก็ต้องเอะใจแล้วช่วยลงมือจัดการเรื่องราวแทนเขาแน่นอน
เพราะอย่างไรถังเซี่ยวเซี่ยวสมควรเข้าใจเรื่องราววคร่าวๆ และรู้ได้ว่าดาวเหยียนหวงหรือโลกก็คือบ้านเกิดในชีวิตที่แล้วของเขา อีกทั้งจะอย่างไรนี่ก็คือดาวเคราะห์ต้นกำเนิดของบรรพบุรุษนิกายถังอีกด้วย
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร แต่อย่างน้อยๆถังเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่น่าจะนิ่งดูดายปล่อยให้โลกต้องพินาศไปต่อหน้าต่อตาแน่นอน
“เอ่อ…พอข้าเห็นเจ้าหายไปวันนึงแล้วยังมิกลับ ข้าก็เลยตามเจ้ามา…เพราะข้าอยากรู้น่ะว่าเจ้าจะสำเร็จโทษเจ้านั่นยังไง…”
เมื่อถูกต้วนหลิงเทียนมองมาด้วยสายตาร้อนรุ่มดั่งเพลิงไฟ ถังเซี่ยวเซี่ยวเผยทีท่าขวยเขินเล็กน้อย “ข้าใช้เวลาไป 2-3 วันกว่าจะเจอเจ้าที่นี่…แต่พอมาถึงข้าก็เห็นว่าเจ้ากำลังตีความเวทย์พลังอยู่ และท่าทางจะเข้าสู่ภวังค์จนไม่รับรู้ถึงโลกภายนอก ข้าที่กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าก็เลยอยู่คุ้มกันให้…จนถึงตอนนี้”
วูบ
ได้ยินคำตอบของถังเซี่ยวเซี่ยวและเห็นสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีของนาง หน้าต้วนหลิงเทียนพลันเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง แววตาฉายความทดท้อทั้งเสียใจออกมาทันที!
เสียใจที่ดันเลือกเข้าสู่ภาวะรู้แจ้งจนลืมเลือนเวลา จนยังผลให้โลกต้องถึงกาลอวสานไปแบบนี้!
“เอาล่ะๆ พอๆ ข้าไม่ล้อเจ้าเล่นแล้ว…ดูทำหน้าเข้า…”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนซึมเซาไปราวแมวชราป่วยหนัก ถังเซี่ยวเซี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มสนุกสนานออกมา ความสลด ทั้งไม่ค่อยจะสู้ดีในสีหน้าแววตาเมื่อครู่มลายหายไปในฉับพลัน
“อันที่จริงหลังจากที่เจ้าออกจากดาวเหยียนหวงมา ก็พึ่งจะผ่านไปแค่ 10 วันเอง…”
ถังเซี่ยวเซี่ยวกล่าว
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่นางพูดไปก่อนหน้า ทำนองต้วนหลิงเทียนลอยร่างตีความเวทย์พลังจนลืมเลือนเวลา ไป 5 ปี เป็นแค่การล้อเล่นเท่านั้น…
และพอได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของถังเซี่ยวเซี่ยว ต้วนหลิงเทียนก็คืนสติทันที
“เจ้า…”
จากนั้นเขาก็มองจ้องถังเซี่ยวเซี่ยว กระทั่งยังยกนิ้วขึ้นมาชี้นาง ทว่าสุดท้ายก็ทำได้แค่กล่าวคำเจ้าออกมา และพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน เผยให้เห็นว่าตอนนี้โทสะเขาพุ่งขึ้นมาขนาดไหน!
ลองคิดดูเถอะ
เมื่อครู่เขาถึงกับเสียใจอย่างถึงที่สุด เพราะนึกว่าโลกได้ถูกทำลายไปแล้ว…
แต่ตอนนี้ถังเซี่ยวเซี่ยวกลับบอกว่าทั้งหมดแค่เรื่องล้อเล่น เขาไม่ได้จมสู่ภวังค์ไป 5 ปีอะไร…แต่เข้าสู่ภวังค์ไปแค่ 10 วันเท่านั้น
“เอาล่ะๆ เลิกจ้องข้าได้แล้ว…ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากรีบกลับไปจัดการระเบิดนิวเคลียรึไง? ไปเร็วสิ!”
ถังเซี่ยวเซี่ยวส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม
นับว่าเป็นครั้งแรกเลยตั้งแต่ที่รู้จักกับต้วนหลิงเทียน แล้วเห็นสีหน้าทำอะไรไม่ถูกของต้วนหลิงเทียน แต่เมื่อเห็นแววตาคมกล้าดุร้ายนั่น นางก็ไม่กล้าแหย่ต้วนหลิงเทียนอีก
ต้วนหลิงเทียนจะโกรธถึงขั้นพูดไม่ออกก็เป็นธรรมดา
ต้องทราบด้วยว่าเขาเชื่อจริงๆ ว่าเผลอจมสู่ภวังค์รู้แจ้งไป 5 ปี เพราะก่อนหน้าเขาลืมเลือนเวลาไปแล้วจริงๆ
“ทีหลัง อย่าได้คิดล้อเล่นอะไรแบบนี้อีก!”
ต้วนหลิงเทียนมองถังเซี่ยวเซี่ยวตาดุอีกครั้ง ค่อยออกเดินทางกลับระบบสุริยะทันที
ไม่นานเขาก็เดินทางกลับมาถึงระบบสุริยะ และกลับมายังโลกได้สำเร็จ
และก็เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกตู้เวยไว้ก่อนฆ่ามันทิ้งไม่มีผิดเพี้ยน
ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยที่เขาจะหาคนที่เคยเกี่ยวข้องกับตู้เวย กระทั่งระบุตัวพวกเดนตายของตู้เวยทั้งหมด
เขาพบพวกมันในเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป!
กระทั่งเมื่อระบุตัวพวกมันได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนยังเลือกจะใช้สำนึกเทวะตรวจสอบทั้งหมดอย่างละเอียดอีกเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุผิดพลาดใดๆ ก่อนที่จะฆ่าพวกมันทิ้งทั้งหมด!
พวกเดนตายที่ตู้เวยล้างสมองมาแต่เด็ก แน่นอนว่าไม่ใช่ตัวดีอะไร มือยังเปื้อนเลือดผู้บริสุทธิ์มาแล้วมากมาย
เช่นนั้นการฆ่าพวกมันทิ้ง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย
หลังฆ่าพวกเดนตายที่ตู้เวยล้างสมองจนหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เอาระเบิดนิวเคลียทั้งหมดที่ตู้เวยลอบติดตั้งไว้ทั่วทุกมุมโลก ออกไปกำจัดในห้วงอวกาศ
เมฆเห็ดดอกเบ้อเริ่มผุดขึ้นในห้วงอวกาศเวิ้งว้างไม่นาน ทุกอย่างก็จบลง
‘หลงเจิ้นกั๋ว ผู้นำองค์กรจิตวิญญาณแห่งเหยียนหวงเป็นครูฝึกหลงจริงๆด้วย!’
หลังกำจัดระเบิดนิวเคลียที่ตู้เวยทิ้งไว้เรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนทำหลังกลับมาถึงโลกก็คือ หาข้อมูลเรื่องผู้นำองค์กรจิตวิญญาณเหยียนหวง 1ใน 2 องค์กรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นองค์กรของประเทศจีน
ยังผลให้เขาทราบว่า…
หลงเจิ้นกั๋ว ผู้นำองค์กรจิตวิญญาณแห่งเหยียนหวงที่ตู้เวยเคยกล่าวถึงบนเรือ เป็นครู่ฝึกหลงที่เขารู้จักจริงๆ!
และเมื่อยืนยันได้แล้วว่าหลงเจิ้นกั๋วที่ว่าเป็นคนๆเดียวกันกับครูฝึกหลงของเขา เมื่อใช้สำนึกเทวะตรวจสอบจนรู้ตำแหน่งอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็กลับสู่มาตุภูมิของเขาทันที ประเทศจีน!
และด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ หากใช้ความเร็วสูงสุดที่พริบตาเดียวก็วนรอบโลกได้สบายๆ…
เช่นนั้นเพียงคิดว่าจะกลับจีนได้ไม่ทันไร ร่างก็ไหววูบกลับมาถึงประเทศจีนเรียบร้อย
“มาตุภูมิของข้า…ข้าหลิงเทียนกลับมาแล้ว!!”
ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างค้างกลางหาวเหนือขุนเขาลำน้ำในพื้นที่ชนบทแห่งหนึ่งของจีน สองตาเริ่มพร่ามัวขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ความทรงจำมากมายของชีวิตที่แล้วเริ่มท่วมท้นขึ้นมาในใจ
แน่นอนว่าความทรงจำที่เขาหวนรำลึกมากที่สุดก็คือตอนที่ยังอยู่ในหน่วยรบพิเศษของประเทศ…
“หมาป่าโลหิต…เรื่องที่หมาป่าวายุต้องตายไปแบบนั้น ไม่ใช่ความผิดของเธอเลย! ต่อให้เธอจะระวังมากกว่านี้ ทำให้สุดท้ายหมาป่าวายุอาจจะไม่ถึงตาย แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ผลคงออกมาไม่ต่างกัน ยังไงเขาก็ไม่พ้นต้องกลายเป็นผักนอนติดเตียงไปชั่วชีวิตอยู่ดี…สำหรับหมาป่าวายุแล้วได้ตายไปเลยแบบนั้นยังจะดีกว่า…จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอะไรอีก!”
ต้วนหลิงเทียนยังจำคำพูดของครูฝึกหลงที่พูดกับเขา ในวันที่เขาตัดสินใจออกจากหน่วบรบพิเศษได้ชัดเจน
หมาป่าโลหิตที่ว่า…เป็นชื่อรหัสของเขาในขณะที่เขาอยู่ในหน่วยรบพิเศษของจีน และชื่อรหัสดังกล่าวยังเป็นสัญญลักษณ์บ่งบอกถึงมือดีที่สุดอีกด้วย!
แน่นอนว่าชื่อรหัสนี้ไม่ใช่ว่าจะมีแค่เขาใช้มันคนเดียว ทันทีที่เขาออกจากหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่า คนที่เก่งที่สุดที่ขึ้นมาแทนที่เขา ก็จะใช้ชื่อรหัสหมาป่าโลหิตต่อ…
ต้วนหลิงเทียนยังจดจำได้เป็นอย่างดี ว่าในวันที่เขาเลือกจะถอนตัวออกจากหน่วยรบพิเศษ ครูฝึกหลงได้พยายามรั้งตัวเขาเอาไว้เท่าที่จะทำได้แล้ว
อย่างไรก็ตามเขาได้ยืนยันจะจากไปอย่างแน่วแน่ เพราะเขาไม่อาจก้าวข้ามความทุกข์ทรมานในใจครั้งนั้นได้…
หากไม่ใช่เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยของเขา คนที่เป็นดั่งคู่หูและสหายที่สนิทที่สุดของเขา ก็คงไม่ต้องมาตายในอ้อมแขนของเขา
“ถ้าในปีนั้นหมาป่าวายุไม่ตาย ต่อให้ต้องนอนเป็นอัมพาตติดเตียงหรือกลายเป็นผักอะไร…ด้วยระดับเทคโนโลยีในตอนนี้ของโลก ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรักษา…”
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกโทษตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เป็นเพราะความผิดพลาดเพียงแค่เล็กน้อยของเขาในช่วงท้ายของภารกิจข้ามชาติระดับ SSS สุดท้ายจึงทำให้ต้องตัดใจเสียสละคนในหน่วยอย่างหมาป่าวายุที่เป็นเพื่อนสนิทของเขาที่ถูกยิงบาดเจ็บสาหัส…ผลพวงจากความรู้สึกผิดครั้งนั้น ได้ทำให้เขาเลือกที่จะถอนตัว…กลายไปเป็นทหารรับจ้างที่ลงมือคนเดียว ไม่คิดมีคู่หูคนไหนอีก
ฟุ่บ!
ไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนได้ฟื้นจากความทรงจำที่เจ็บปวดตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เพียงห้วงคิดเดียวคนก็หายไปจากนานฟ้าของพื้นที่ชนบทของจีนทันที…
และเมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็มาปรากฏตัวด้านนอกฐานทัพที่มีการป้องกันแน่นหนาแห่งหนึ่ง
ฐานทัพแห่งนี้ตั้งอยู่บนเขาลูกหนึ่ง กำแพงที่สร้างไว้ล้อมรอบ ยังแลดูหนาแน่นมั่นคงประหนึ่งปราการเหล็กปิดตายไร้วันทลาย!
หากไม่ใช่เพราะฐานทัพเปิดประตูต้อนรับล่ะก็ เกรงว่ากระทั่งแมลงวันสักตัวยังไม่อาจบินเข้าไปด้านในได้! และแม้กระทั่งตอนนี้ต่อให้เป็นนักรบเหนือธรรมชาติระดับแนวหน้าของโลก ก็ไม่กล้าแหยมด้วยการลองบุกฝ่าเข้าไป!!
เพราะถึงจะบุกเข้าไปได้ ก็ยากจะกลับออกมาได้ทั้งยังมีชีวิต!!
เนื่องจากภายในฐานทัพก็ไม่ขาดนักรบเหนือธรรมชาติฝีมือฉกาจแม้แต่น้อย!
“นิ…นี่…เจ้านี่มันเป็นใครกันแน่!?”
ต้วนหลิงเทียนมาโผล่หน้าฐานทัพได้ไม่ทันไร เหล่าเจ้าหน้าที่ๆให้ห้องควบคุม ก็ได้รับสัญญาณเตือนหลังตรวจพบการมาถึงของเขาทันที อีกทั้งพอพวกมันย้อนดูเรื่องราวจากกล้องก็ถึงกับต้องตื่นตระหนก! เพราะต้วนหลิงเทียนเสมือนอยู่ๆก็ผุดโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า!!
เรียกว่าพอเจ้าหน้าที่ทั้งหมดลองดูวีดีโอย้อนหลังการปรากฏตัวของต้วนหลิงเทียนเหมือนเจ้าหน้าที่ๆพบเรื่องราวคนแรก ต่างก็พากันชักสีหน้าเคร่งเครียดทั้งตื่นตระหนกกันเป็นแถบ!
ไฉนเจ้าหน้าที่ทั้งหลายถึงทำสีหน้าตื่นตระหนกทั้งเคร่งเครียดแบบนี้น่ะเหรอ? นั่นเพราะวิธีที่ต้วนหลิงเทียนใช้ปรากฏตัวมันน่าทึ่งเกินไป!!
“ชายคนนี้…อยู่ๆก็โผล่มาแบบนั้นได้ยังไง!?”
“แล้วนั่น…มันเหาะได้เหรอ? ลอยตัวค้างกลางอากาศแบบนั้นได้ยังไง…ต่อให้เป็นนักรบเหนือธรรมชาติธาตุลม แต่จะลอยร่างค้างกลางอากาศแบบนั้นโดยไม่มีอุปกรณ์เสริมได้เหรอ?”
“หรือมันใช้อุปกรณ์ช่วยบินแบบล่องหน?”
“เป็นไปไม่ได้เลย! เมื่อกี้ฉันลองใช้เครื่องแสกนมันดู…แต่ที่ตัวมันไม่มีอุปกรณ์สักชิ้น…ที่สำคัญยังไม่มีกระทั่งอุปกรณ์สื่อสารด้วยซ้ำ!”
“หา! ไม่มีแม้แต่อุปกรณ์สื่อสาร? แถมยังแต่งตัวแบบนี้อีก…หรือจะเป็นนักแสดง? มีกองถ่ายหนังย้อนยุคอย่างพวกจอมยุทธ์เทพเซียนอะไรมาตั้งกองถ่ายแถวนี้รึเปล่า?”
“เหอะๆ…แกเคยเห็นนักแสดงที่ไหน มันลอยได้โดยไม่ใช้สลิงสักเส้นบ้างล่ะ?”
…
เรียกว่าภายในห้องควบคุมเริ่มถกกันเสียงดังปานตลาดสด!
แต่จะอย่างไรทุกคนมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน ก็คือมองหน้าจออย่างตะลึง! มองร่างชายหนุ่มในชุดม่วงกลางจอที่กำลังลอยร่างค้างกลางหาวอย่างน่าเหลือเชื่อนั่น!
และชายหนุ่มผู้นี้ดั่งมีเวทมนตร์ก็ไม่ปาน ยากที่ใครจะละสายตาออกมาได้!
“จะว่าไปหนูพึ่งจะสังเกตุหน้าพี่เขา…โคตรหล่อเลยอะ!”
“โอย! ทำไมพี่เขาหล่อได้ขนาดนี้อะ….แถมพวกแกดูลักษณะแล้วก็โหงวเฮ้งพี่เขาสิ เหมือนเซียนอมตะในหนังเรื่องนั้นเลยแก…แต่ให้พระเอกคนนั้นมาเองเกรงว่าก็มีแค่หน้าตาที่พอจะสูสีพี่เขา แต่มาดกับความรู้สึกไม่ได้แบบนี้เลยอะ!”
…
ตอนนี้เหล่าเจ้าหน้าที่สาวในห้องควบคุม เรียกว่าทำหน้าทำตาราวกับหมาป่าหิวโหยก็ไม่ปาน แต่ละคนพากันมองจ้องร่างชายหนุ่มชุดม่วงบนจอตาเยิ้ม
และในขณะที่ทุกสายตาของคนในห้องควบคุม ถูกดึงดูดโดยชายหนุ่มชุดม่วงกลางจอนั้นเอง
“ผมมาหาหลงเจิ้นกั๋ว! ครูฝึกหลง!!”
เสียงหนึ่งที่คล้ายแฝงไว้ด้วยอำนาจเวทมนตร์พลันดังขึ้นเข้าหูทุกคนชัดถ้อยชัดคำอย่างประหลาด
“เสียงนี่มัน…ดังจากไหน?!”
ทุกคนในห้องควบคุมอดไม่ได้ที่จะสะดุ้ง
“เอ่อ…เมื่อกี้ ปากชายคนนี้ขยับด้วยพอดีเลย…หรือเขาจะเป็นคนพูด?”
ตอนนี้เองเจ้าหน้าที่ชายคนหนึ่งพลัน เอาวีดีโอหนึ่งขึ้นจอ เป็นวีดีโอที่ย้อนไปไม่กี่วินาทีเท่านั้น…
“จริงด้วย! ชายคนนี้กำลังพูดจริงๆ…แต่เขาทำได้ยังไง? พกไมค์ไว้ตรงไหน…ผลแสกนก่อนหน้าก็ไม่เจออุปกรณ์อะไรไม่ใช่เหรอ?”
ตอนนี้เจ้าหน้าที่ในห้องคววบคุม พากันสับสนงุนงงไม่น้อย
“หลงเจิ้นกั๋ว นั่นไม่ใช่ท่านผู้นำเหรอ…แล้วทำไมชายคนนี้เขาเรียกท่านผู้นำว่า ครูฝึกหลงล่ะ?”
ในห้องควบคุมแน่นอนว่ามีคนที่อยู่ในองค์กรจิตววิญญาณแห่งเหยียนหวง อันเป็น 1 ใน 2 องค์กรที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอยู่ด้วย และตอนนี้ทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปด้วยความแปลกใจ
“ผมมาหาหลงเจิ้นกั๋ว! ครูฝึกหลง!!”
อีกทั้งคำพูดเมื่อครู่ ก็ดังขึ้นราวกับมีเวทมนตร์…จนทุกคนทั้งฐานทัพไม่มีใครไม่ได้ยิน!