แหล่งกำเนิดวิญญาณบริสุทธิ์!

หลินสวินมองในพริบตาว่าพลังที่แวววาวกระจ่างใสนั่น คือพลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้สายหนึ่ง

เท่าที่หลินสวินรู้ มีเพียงหลังจากอริยะร่วงหล่นลงแล้ว พลังจิตจึงจะเปลี่ยนเป็นพลังที่บริสุทธิ์อย่างที่สุด อยู่ยงคงกระพัน

ก็เหมือนกับพระบรมสารีริกธาตุหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน

พลังระดับนี้ถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘แหล่งกำเนิดวิญญาณบริสุทธิ์’ จัดอยู่ในประเภท ‘วัตถุอริยะ’ พบเห็นได้ยากมาก มูลค่าไม่อาจประเมิน

เมื่อหลอมมันแล้ว สามารถทำให้พลังจิตวิญญาณของผู้ฝึกปราณเกิดการยกระดับอย่างน่าตกใจ ทั้งไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดข้อบกพร่องใดๆ!

โดยเฉพาะสำหรับระดับราชัน จิตวิญญาณราวกับโคมไฟ ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งสว่างไสวและมีส่วนช่วยในการแสวงหามรรคาอมตะเท่านั้น

‘คิดไม่ถึงว่าเทวบุตรโลหิตดวงหนึ่ง กลับถือกำเนิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดวิญญาณบริสุทธิ์ของอริยะที่ร่วงหล่น…’

ในใจหลินสวินสั่นไหว

แต่ละฉากก่อนหน้านี้อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ

หากไม่ใช่เพราะเขาโคจรคาถาข้ามทุกข์กษิติครรภ์ทันเวลา ถึงขั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะถูกเทวบุตรโลหิตดวงนั้นกัดกร่อนเลือดลมและจิตวิญญาณรอบกาย!

แต่หลังจากผ่านเรื่องนี้ก็ทำให้หลินสวินมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า พลังธรรมที่อารามกษิติครรภ์สืบทอด มีความสามารถยับยั้งพลังประหลาดที่สั่งสมอยู่ในเทวบุตรโลหิตนั่นแต่กำเนิด

ฮูม

พร้อมๆ กับความคิดที่ไหวเคลื่อนของหลินสวิน แหล่งกำเนิดวิญญาณบริสุทธิ์สายนั้นก็ถูกหลอมโดยพลัน แทรกสู่จิตวิญญาณราวกับกระแสน้ำ

ทันใดนั้นหลินสวินเพียงรู้สึกว่าพลังจิตสะเทือน ราวกับอาบฝนยามแล้งชโลมไล้น้ำพุเทพ ระดับจิตวิญญาณพัฒนาขึ้นช่วงใหญ่ภายในไม่กี่อึดใจ!

มีสัญญาณจะบรรลุอยู่รางๆ!

ตอนนี้พลังจิตวิญญาณของเขาอยู่ในขั้น ‘เห็นปัจจุบัน’ ของสามขั้นใหญ่ในระดับดอกเทพรวมยอด

ขั้นต่อไปก็คือ ‘เห็นอนาคต’

หากบรรลุ ก็จะเกิดลางสังหรณ์ในใจ หยั่งรู้ผลกรรมและโอกาสท่ามกลางความมืดมิด ถึงขั้นสามารถมองทะลุถึง ‘ความดีร้าย’ ของมรรคาในอนาคตได้

เดิมทีในการคาดการณ์ของหลินสวิน การที่ระดับจิตวิญญาณของตนจะบรรลุ อย่างน้อยต้องใช้เวลามากกว่าสามปี

เพราะพลังจิตวิญญาณลึกลับอย่างยิ่ง อยากจะยกระดับเดิมก็เป็นเรื่องที่ยากมากอยู่แล้ว

อย่างเช่นหลินสวินซึ่งมีเคล็ดเวทบริกรรม พลังจิตวิญญาณก็แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกปราณในระดับเดียวกันก้าวใหญ่ตั้งแต่ตอนเริ่มฝึกปราณแล้ว

แต่จนกระทั่งตอนนี้ที่กลายเป็นราชัน พลังจิตวิญญาณยังคงอยู่ในระดับดอกเทพรวมยอด ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันมากแล้ว

จากจุดนี้แค่คิดก็รู้ว่า การฝึกจิตวิญญาณยากเย็นเพียงใด

แต่ตอนนี้ เพียงแค่หลอมแหล่งกำเนิดวิญญาณบริสุทธิ์ที่อริยะทิ้งไว้เม็ดหนึ่ง ก็ทำให้พลังจิตวิญญาณเกิดการพัฒนาอย่างมาก ความก้าวหน้าระดับนี้เรียกได้ว่าตะลึงโลกแล้ว!

……

“เอ๋! เทพธิดาจี้ สหายยุทธิ์จินท่านนี้เหมือนจะครอบครองมรดกของอารามกษิติครรภ์ด้วยหรือ”

ตอนที่หลินสวินนั่งสมาธิหลอมฝึก รอบตัวเขาอบอวลแสงธรรม ท่าทางเคร่งขรึม ทั้งยังมีเสียงสวดท่องธรรมดังก้องอยู่รางๆ ดึงดูดให้พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงต่างหันมอง

จี้ชิงเหยาพูดอย่างอ้ำอึ้งคำหนึ่ง นางเองก็ตะลึงกับเรื่องนี้มาก แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถอธิบายได้

‘ในตัวครอบครองพลังที่เกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลง ตอนนี้ก็มาเกี่ยวโยงกับอารามกษิติครรภ์อีก เจ้าหมอนี่… เป็นสัตว์ประหลาดที่โผล่มาจากไหนกันแน่’

โม่เทียนเหอมึนงงขึ้นมาทันที

ก่อนหน้านี้เขาสงสัยมาโดยตลอดว่าจินตู๋อีคนนี้ก็คือหลินสวิน แต่ตอนนี้เขารู้สึกสับสนแล้ว อดแปลกใจไม่ได้

“ข้าได้ยินว่ามีสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งที่มาจากอารามกษิติครรภ์ ถูกเรียกว่า ‘กู่ฝอจื่อ’ ที่มาลึกลับ พลังต่อสู้ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีใครเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา หากไม่ใช่เพราะเทพธิดาจี้รู้จักสหายจิน ข้าคงสงสัยว่าเขาคือกู่ฝอจื่อในตำนานคนนั้นแล้ว”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงตาวาบประกาย

จนตอนนี้เขาเริ่มจะไม่มั่นใจที่มาของหลินสวินแล้ว นี่ทำให้ในใจเขาหวาดหวั่น ยิ่งไม่กล้าดูถูก

“สหายยุทธ์จินมีความกล้าหาญ ไม่ว่าที่มาของเขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีทางประสงค์ร้ายต่อพวกเราแน่”

อิ๋นเสวี่ยกัดริมฝีปากเอ่ยพูดเสียงเบา

สีหน้าของทุกคนออกจะแปลกพิกลขึ้นมา ด้วยรู้ว่าก่อนหน้านี้หลินสวินเคยช่วยอิ๋นเสวี่ยเอาไว้ครั้งหนึ่ง ทำให้ในใจอิ๋นเสวี่ยรู้สึกซาบซึ้ง

และตอนนี้เอง หลินสวินพลันลุกขึ้นยืน ท่าทางย่ำแย่ก่อนหน้านี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย กระปรี้กระเปร่าเปี่ยมกำลัง

ทุกคนตาเป็นประกาย สัมผัสได้อย่างมีไหวพริบว่า ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูเหมือนธรรมดาของหลินสวิน กลับมีบุคลิกที่ว่างเปล่าล่องลอยอย่างหนึ่งเพิ่มเข้ามา

อีกอย่างตอนที่มองสบกับดวงตาที่นิ่งสงบและลึกล้ำของเขาคู่นั้น ทุกคนต่างรู้สึกถึงแรงกดดันอันไร้รูปอย่างหนึ่ง

นี่ทำให้พวกเขาต่างตระหนักได้ว่า หลังจากหลินสวินสลายเทวบุตรโลหิตครั้งนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเจอความโชคดีในคราวเคราะห์ ได้รับผลประโยชน์บางอย่าง!

แม้แต่เจิ้นอวิ๋นเฟิงในใจยังอดทอดถอนใจไม่ได้ นี่ก็คือวาสนา ฝืนกันไม่ได้ อยู่เหนือการคาดหมาย

“พื้นที่ที่อยู่ในตอนนี้เต็มไปด้วยพลังที่แปลกประหลาดอย่างที่สุด ไม่สามารถแยกแยะทิศทางได้ เพราะฉะนั้นพวกเราตัดสินใจจะข้ามแม่น้ำนี้ เจ้าคิดว่าจะได้หรือไม่”

จี้ซิงเหยาพูดขึ้น

ดวงตาดำของหลินสวินกวาดมองไปไกลๆ ก็เห็นว่าเต็มไปด้วยหมอกโลหิตหนาแน่น เติมแม่น้ำจนเต็ม ไม่รู้ว่าลึกเท่าไหร่และไม่สามารถมองเห็นอีกฝั่งของแม่น้ำได้

สิ่งที่ไม่รู้คือสิ่งที่อันตรายที่สุด แม่น้ำหมอกโลหิตที่อยู่ตรงหน้านี้ดูเหมือนสงบ แต่ไม่มีใครรู้ว่าภายในมีเคราะห์สังหารซ่อนอยู่เท่าไหร่

แต่พวกเขาหลังหันกลับไม่ได้แล้ว

เพราะด้านหลังเป็นกองทัพโครงกระดูกที่หนาแน่นไม่มีที่สิ้นสุด!

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

หลินสวินพยักหน้า

ทันใดนั้นเจิ้นอวิ๋นเฟิงเรียกยานสำเภาลำหนึ่งออกมา บรรทุกทุกคนค่อยๆ ขับเข้าไปในห้วงอากาศเหนือแม่น้ำที่เต็มไปด้วยหมอกโลหิตนั่น

ทันใดนั้นทุกคนต่างสังเกตเห็นว่า เมื่อเข้าสู่ห้วงอากาศของแม่น้ำแห่งนี้ ก็เหมือนไปอยู่บนทะเลเมฆสีเลือด ทอดสายตามองไปรอบๆ ล้วนเต็มไปด้วยหมอกสีเลือด

แม้แต่ตะวันโลหิตเก้าดวงบนฟากฟ้าก็มองไม่เห็นแล้ว!

ฮูม~~

ยานสำเภาเดินหน้าอยู่ในหมอกสีเลือด ดูเล็กจ้อยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับเรือที่อยู่กลางมหาสมุทรอย่างโดดเดี่ยว

สิ่งที่ทำให้สีหน้าของทุกคนหนักอึ้งยิ่งกว่าก็คือ การทะลวงผ่านหมอกโลหิตเต็มฟ้าดินนั่น ง่ายต่อการหลงทิศอย่างยิ่ง!

หลินสวินแผ่จิตรับรู้ กลับค้นพบอย่างตกใจว่าพลังหมอกโลหิตนั่นแปลกประหลาดไร้สิ้นสุด สามารถขัดขวางการตรวจสอบของจิตรับรู้ได้เป็นอย่างดี อย่างมากก็สัมผัสได้เพียงในรัศมีพันจั้งเท่านั้น

นอกจากนี้ระหว่างทางคลื่นลมสงบยิ่ง รอบๆ เงียบจนน่ากลัว มีเพียงเสียงคลื่นกระแสอากาศที่ดังจากการลอดทะลวงผ่านหมอกสีเลือดของยานสำเภา

ไม่นานจู่ๆ ยานสำเภาก็หยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ จี้ซิงเหยากำลังจะเอ่ยปาก กลับถูกหลินสวินปิดปากไว้ สายตาตวัดมองไปในบริเวณที่อยู่ไกลๆ

แทบจะในเวลาเดียวกัน พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงต่างขนลุกขนพอง เบิกตาโพลง

ในหมอกโลหิตเบื้องหน้าปรากฏซากศพไม่สมประกอบหลายศพ แต่ละศพล้วนส่องแสงโลหิตทะลวงฟ้า เหี้ยมโหดและน่าสะพรึง

ในหมู่พวกเขามีคนหัวขาด มีคนถูกผ่าอกเปิดท้อง บางคนไม่มีแขนขา…

เมื่อมองอย่างละเอียด ก็เห็นว่ามีเผ่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตเผ่าอื่นๆ มากมาย แต่ร่างกายล้วนเต็มไปด้วยเลือดอย่างไม่มีข้อยกเว้น สายตาว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวา เห็นได้ชัดว่าล้วนเหลือเพียงแค่ซากศพ

มีคนถือธงรบที่ฉีกขาด มีคนบังคับรถศึกที่ผุพังเก่าแก่ รวมตัวเป็นกองทัพอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรขบวนหนึ่ง พุ่งเข้าไปในส่วนลึกของหมอกโลหิตอย่างไม่คิดหวนกลับ

ในใจทุกคนต่างสะท้านสะเทือนอย่างไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นก็รู้สึกโศกเศร้า หน้าอกเหมือนถูกกดอุด

ตายไปไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว เหลือเพียงแค่เศษซากศพเท่านั้น กลับยังคงแปลงเป็นกองทัพอันเกรียงไกรพุ่งทะลวงออกไป!

ต้องมีเจตจำนงมากมายแค่ไหน ถึงทำให้หลังสิ้นชีพไปแล้วยังไม่ยอมหยุดนิ่งและสงบใจ

แล้วคู่ต่อสู้ของพวกเขาเป็นใคร

พวกหลินสวินกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ มองดูเงียบๆ สีหน้าต่างวูบไหวไม่นิ่ง

ทุกสิ่งที่เห็นตรงหน้าแปลกประหลาดและสะท้านสะเทือนเกินไป ทำเอาพวกเขาต่างสงสัยว่าที่นี่เคยเป็นสนามรบโบราณมาก่อน ตั้งแต่อดีตที่ไม่รู้ผ่านมานานเท่าไหร่ ก็เคยมีสงครามที่สามารถทำให้โลกตะลึงปะทุขึ้น ณ ที่แห่งนี้แล้ว!

ไม่นานกองทัพใหญ่ที่แปลกประหลาดขบวนนี้ก็หายไปท่ามกลางหมอกสีเลือด

แต่ไม่รอพวกหลินสวินเดินหน้าต่อ เสียงเข่นฆ่าสะเทือนฟ้าก็ดังก้องขึ้น จากนั้นคลื่นพลังที่น่ากลัวมากมายสาดซัดออกจากหมอกสีโลหิต

ไอสังหารและคลื่นพลังระดับนั้นทำให้พวกหลินสวินหัวใจสะท้าน ลอบอุทานว่าแย่แล้ว ต่างเลือกบังคับยานสำเภาพุ่งห่างออกไปเต็มกำลังโดยแทบไม่ได้นัดหมาย

ครืน โครมๆ

ในส่วนลึกของหมอกโลหิต การต่อสู้ดุเดือดราวกับพายุโหมกระหน่ำ กึกก้องไปทั่วแปดทิศ มาพร้อมกับเสียงระเบิดที่ประหนึ่งเสียงคำรามของเทพมาร พาให้คนขวัญหนีดีฝ่อ รู้สึกกดดันอย่างที่สุด

“ที่นี่จะต้องเคยเกิดสงครามแห่งอริยะเทพที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน!”

จนกระทั่งหนีออกจากบริเวณนั้น เจิ้นอวิ๋นเฟิงถึงได้เอ่ยปากเสียงขรึม สีหน้าคร่ำเคร่งอย่างที่สุด

คนอื่นๆ ต่างพยักหน้า

เพราะทุกสิ่งที่เห็นเมื่อครู่นี้ทำให้พวกเขารู้สึกอันตรายถึงชีวิต ต่างไม่กล้าจินตนาการว่าหากถูกม้วนเข้าไปอยู่ในการเข่นฆ่าระดับนั้น จุดจบจะย่ำแย่แค่ไหน

“ศพเหล่านั้น ตอนมีชีวิตอยู่แต่ละคนจะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความสามารถกำราบทั่วหล้าอย่างแน่นอน แต่กลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงร่วงหล่นที่นี่ และที่นี่ก็เป็นเพียงแค่อาณาเขตหนึ่งในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก ไม่กล้าคิดจริงๆ ว่าในแดนมกุฎแห่งนี้มีความลับซ่อนอยู่มากมายเท่าไหร่กันแน่”

โม่เทียนเหอถอนหายใจ

ในใจคนอื่นๆ เองก็รู้สึกสะเทือนเช่นกัน

แดนมกุฎ แบ่งเป็นสามพันแดนและแดนเก้าบน กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ในสมัยบรรพกาลเคยปรากฏอยู่หลายครั้ง

แต่ที่มาของมัน จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ความลับที่มันซ่อนไว้มีมากน้อยเท่าไหร่กันแน่

ตอนนี้พวกเขาทั้งกลุ่มต่างมีพลังของระดับมกุฎราชันแล้ว หากอยู่ในโลกภายนอก เรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้ว

แต่เมื่อมาถึงสถานที่อันตรายระดับนี้ ก็ยังคงรู้สึกว่าเล็กจ้อยและไร้ตัวตนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!

พวกเขาเดินหน้าต่อ เสียงเข่นฆ่าที่สะเทือนสวรรค์ค่อยๆ หายไป เพียงแต่ตอนที่พวกเขาสงบสติอารมณ์ลง ก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอีก!

ในหมอกโลหิตที่อยู่ห่างไปกลับมีเนินเขาเล็กๆ ที่ก่อจากโครงกระดูกเพิ่มเข้ามาลูกหนึ่ง หยดเลือดและหมอกเลือดพรูไหลออกจากโครงกระดูกแน่นขนัด

และบนยอดเขา เงาร่างงดงามสายหนึ่งนั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น สวมชุดกระโปรงที่ถูกเลือดย้อมเป็นสีแดง

นางเหมือนกำลังแต่งตัวอยู่ตรงหน้าแม่น้ำ สองมือทำท่าเหมือนหวีผม

แต่ที่ทำให้ทุกคนหนาวสะท้านในใจคือ บนลำคอของนางว่างเปล่า ไม่มีศีรษะ!

จากนั้นทุกคนต่างสังเกตเห็นว่า เงาร่างชุดกระโปรงเลือดไร้หัวนั่นบิดตัวมา คล้ายว่า ‘เห็น’ พวกเขาแล้ว

ทันใดนั้นพวกเขาต่างตัวแข็งทื่อ หนังหัวชาวาบ จิตวิญญาณส่ายไหวราวกับจะบินออกจากร่าง

“ออก!”

หลินสวินส่งเสียงดังลั่น พลันใช้เสียงคำรามผูเหลาส่งเสียงธรรมออกมา แสงธรรมแผ่ขยายทันควัน อานุภาพอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรแผ่ออกไป

ทุกคนพลันได้สติขึ้นมาทันที

พอมองไปอีกครั้ง เงาร่างชุดเลือดไร้หัวนั่นได้หมุนตัวมาแล้ว ยังคงอยู่ในท่าหวีผม อ่อนโยนอย่างหาที่สุดไม่ได้

คล้ายกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังหวีผมหน้ากระจก เวทนาชะตาชีวิตของตนเอง

แต่เมื่อเกิดขึ้นบนกองกระดูกขาวที่เลือดไหลรินนั่น บวกกับร่างไร้ศีรษะ กลับให้กลิ่นอายที่น่าตะลึงหวาดหวั่นอย่างพูดไม่ถูก

ในเวลาเดียวกันนี้เสียงถอนหายใจหนึ่งดังขึ้นรางๆ แฝงความอ้างว้างวังเวงไร้สิ้นสุด…

“พวกเจ้าไปหมดแล้ว ใครจะจำข้าอู๋ยางได้…”

……………….