เป็นเวลานี้เองที่ผู้คนทั้งหลายได้สะดุ้งตัวตื่นขึ้นจากความฝัน เพราะศิษย์ทั้งสองของรองมหาปราชญ์นั้นกลับเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้ทั้งคู่!
มันมิใช่ว่าพวกเขาทั้งสองไม่เก่งกาจ เพียงแค่ว่าคนทั้งสองนี้มันไม่ได้แสดงอะไรหวือหวาจนทำให้ผู้คนไม่ทันรู้ตัว
ในแต่ละศึกนั้นพวกเขาต่างจะเอาชนะมาได้อย่างไม่มีอะไรน่าสนใจให้จับตามอง
กอปรกับเหล่าศึกดวลทั้งหลายในเจดีย์ใหญ่จักรพรรดินั้นมันต่างล้วนมีเรื่องให้สนใจอยู่ตลอด
เพราะฉะนั้นเมื่อเทียบกันกับคนทั้งหลายแล้ว พวกเขาทั้งสองนี้จึงดูจืดชืดธรรมดากว่าใครๆ
แต่เป็นเวลานี้ที่พวกเขาได้เห็นว่าทั้งหยุนยี่ทั้งหนิงซืออวี๋นั้นต่างเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้ คนทั้งหลายจึงได้สะดุ้งตัวตื่นขึ้นจากความฝันนั้น
สุดท้ายแล้วจะอย่างไรงานประชุมโอสถสหภูมิภาคครั้งนี้มันก็จัดขึ้นมาเพื่อเป็นเวทีประลองของอาณาจักรทหัยเมฆาและรองมหาปราชญ์อย่างแท้จริง
คู่ต่อสู้ของหนิงซืออวี๋นั้นเองก็เป็นหนึ่งในยอดคนจากอาณาจักรทหัยเมฆาเช่นกัน
ความตื่นตะลึงนี้มันมิใช่น้อยๆ เลยต่อจิตใจคนทั้งหลาย!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าเจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลทั้งหลายที่ต่างต้องอ้าปากค้างจนลืมหายใจ
อาจารย์จะเก่งกาจอย่างไรมันก็เข้าใจได้
เพราะนี่คือเย่หยวนยอดอัจฉริยะหาใดเปรียบ
แต่ทำไมแม้แต่ศิษย์ของเขาก็ยังเก่งกาจได้ปานนี้?
หากจะถามว่าโลกการโอสถของมหาพิภพถงเทียนนี้มันกว้างใหญ่หรือไม่ มันก็คงไม่ใหญ่มากมาย แต่จะบอกว่ามันเล็กแคบก็คงมิใช่
เหล่าหนุ่มสาวมากพรสวรรค์นั้นมันถูกเหล่าบรรพกาลทั้งหลายเรียกไปศึกษาเรียนรู้เป็นศิษย์สิ้น
และแน่นอนว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นก็ไม่ได้ทำให้เหล่าบรรพกาลทั้งหลายต้องผิดหวัง พวกเขาแต่ละผู้คนนั้นต่างเก่งกาจเลิศล้ำ
แต่เป็นเวลานี้เองที่พวกเขาทั้งหลายได้รู้ว่าเหล่ายอดศิษย์อัจฉริยะทั้งหลายนั้นต่างพ่ายแพ้ลงแก่หยุนยี่และหนิงซืออวี๋สิ้น
เพียงแค่ว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นอย่างจืดชืดจนไม่มีใครคิดหันสนใจ
แต่มันก็เหมือนการต้มกบในน้ำอุ่น กว่าที่กบจะรู้ตัวว่าถูกต้ม ขาของพวกมันก็สุกจนไม่อาจขยับหนีไปเสียแล้ว
เหล่าบรรพกาลทั้งหลายนั้นหนาวสั่นสะท้านไปทั้งกายพร้อมต้องหันไปมองที่เย่หยวนเป็นตาเดียวอีกครา
พวกเขาทุกคนนั้นต่างมึนงงไม่เข้าใจว่าเย่หยวนทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
ต่อให้เย่หยวนจะสั่งสอนศิษย์ทั้งสองนี้อย่างหนักหน่วงมาตลอดสองพันกว่าปีที่มีชีวิต มันก็คงไม่มีทางใดที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ได้ใช่หรือไม่?
เพราะจะอย่างไรการสั่งสอนนั้นมันก็แตกต่างจากการบ่มเพาะเอง
ความลึกลับของเต๋านั้นมันสามารถเข้าใจได้แต่ไม่สามารถสั่งสอนต่อกันได้
อาจารย์ทั้งหลายนั้นล้วนยืนอยู่บนจุดสูงส่งและทำได้เพียงแค่ชี้แนะให้คำแนะนำเหล่าศิษย์
แต่การจะส่งมอบความรู้ในเต๋าที่ตัวเองมีต่อศิษย์ไปตรงๆ นั้นมันมิใช่สิ่งที่ใครจะทำได้
เช่นนั้นแล้วเย่หยวนทำได้อย่างไร?
พวกเขาทั้งหลายย่อมจะไม่มีใครรู้เลยว่าเย่หยวนไม่เคยจะบรรยายความรู้ที่ลึกลับเหนือหัวคนปล่อยให้ศิษย์ทั้งหลายไปตีความทำความเข้าใจกันเองเหมือนที่คนทั้งโลกหล้าทำ
การสั่งสอนของเขานั้นมันมิใช่สั่งสอนโดยคำพูด แต่มันเป็นการสั่งสอนด้วยการฝึกฝน!
อ่านหนังสือร้อยครั้งความหมายที่ได้มันก็อาจจะแตกต่างไปถึงร้อยแบบ!
การฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้มันเป็นการฝึกให้พื้นฐานวิชาหนักแน่นจนถึงที่สุด
วิชาพื้นฐานที่คนทั้งหลายไม่มีใครคิดสนใจและทิ้งขว้างนั้นมันกลับกลายเป็นสมบัติล้ำค่าของหอโอสถ
ในหอโอสถนั้นตราบเท่าที่นักหลอมโอสถนั้นมีความอดทนไม่เบื่อการบ่มเพาะไปเสียก่อนแล้วพวกเขาก็ย่อมจะเก่งกาจได้จนถึงระดับหนึ่งอย่างแน่นอน
และในหมู่คนทั้งหลายนั้นหยุนยี่และหนิงซืออวี๋นี้ก็เป็นคนที่มากความพยายามที่สุด!
แต่แน่นอนว่าหอโอสถนั้นก็ไม่ได้ให้ศิษย์ทั้งหลายฝึกฝนไปอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เพราะยิ่งฝึกฝนคนเราก็จะยิ่งพบปัญหาที่ยากจะก้าวข้ามไปได้และตอนนั้นเองที่เย่หยวนจะช่วยชี้นำถึงหนทางหลุดพ้นก้าวข้ามปัญหานั้นไป
หากให้สรุปแล้วหอโอสถนี้มีระบบการสั่งสอนเหล่านักหลอมโอสถที่เป็นรูปธรรมและชัดเจนที่สุด
แต่ถึงจะอย่างไรแก่นของมันก็ยังเป็นการฝึกฝน
ไม่มีใครจะสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน!
การที่หยุนยี่และหนิงซืออวี๋ก้าวขึ้นมาจนถึงจุดนี้ได้นั้นพวกเขาทั้งสองได้พยายามมาตลอดเวลานานแสนนาน พยายามเรียนรู้ฝึกฝนอย่างที่นักยุทธทั้งหลายไม่อาจจินตนาการได้
ยิ่งเย่หยวนแล้ว ความพยายามที่เขาใช้นั้นมันยิ่งมากล้ำกว่าที่คนทั้งหลายจะเทียบเคียง
โซวรุยนั้นเองก็ตื่นตะลึงอย่างมาก เพราะฝีมือที่กดล้ำหัวผู้คนรุ่นเดียวกันของเขานี้มันไม่ได้ทำให้เขาสนใจเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร
แต่ในหมู่คนทั้งหลายที่เขาคิดว่าจะได้มาชิงชนะเลิศด้วยนั้นมันไม่มีหยุนยี่อยู่เลย
เพราะเขาเองก็คิดเหมือนๆ กับคนทั้งหลาย เหมือนกับอาจารย์ปู่ของเขา
เย่หยวนนั้นเก่งกาจได้จริงแต่มันไม่ได้หมายความว่าศิษย์ของเขาจะเก่งกาจไปด้วย
แต่ในความเป็นจริงศิษย์ของเย่หยวนนั้นกลับเก่งกาจได้ราวกับเป็นร่างแยกของเย่หยวน
“เจ้าดูตกใจนะ” หยุนยี่ยิ้ม
“ก็นิดหน่อย แต่ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนมันก็ไม่เกี่ยวกัน แต่เจ้าและศิษย์น้องของเจ้ามันก็ช่างหน้าไม่อาย ซ่อนพลังฝีมือที่แท้จริงเอาไว้ให้ศัตรูประมาท” โซวรุยกล่าว
หยุนยี่ที่ได้ยินก็ต้องยกนิ้วขึ้นมาสองนิ้วด้วยรอยยิ้ม “หนึ่งคือศิษย์พี่หนิงนั้นเป็นศิษย์พี่หญิงของข้า มิใช่ศิษย์น้อง อย่างที่สองคือเรานั้นไม่ได้จงใจปกปิดพลังฝีมือใดๆ อาจารย์นั้นสั่งสอนเราไว้ว่านักหลอมโอสถทุกผู้คนล้วนมีจุดอ่อนจุดแข็งของตนเองและท่านได้สั่งสอนให้เราได้เรียนรู้ผ่านจุดแข็งของคนทั้งหลายนั้น รวมไปถึงเจ้าด้วย”
โซวรุยที่ได้ยินก็ต้องหัวเราะลั่นขึ้น “พูดจาไร้สาระ! ผู้แข็งแกร่งนั้นปกครองฟ้าดิน ผู้อ่อนแอกว่าจะมาเป็นศิษย์พี่ได้อย่างไร? แล้วก็อีกอย่างคือมันมีแต่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่มีค่าจะเรียนรู้ ไปเรียนรู้ทักษะของพวกอ่อนแอจะได้ประโยชน์ใด?”
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้นผู้แข็งแกร่งล้วนปกครองฟ้าดิน
ตราบเท่าที่มีฝีมือเก่งกาจ พวกเขาก็จะไม่ต้องสนใจใครๆ
หนิงซืออวี๋นั้นมีฝีมือต่ำกว่าหยุนยี่ แต่เขากลับเรียกนางเป็นศิษย์พี่? เรื่องนั้นมันจะไม่ฟังดูน่าขันไปหรือ?
แล้วการเรียนรู้จากผู้อ่อนแอนั้นมันจะมีค่าใด?
มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่มีค่าจะให้เรียนรู้!
คำพูดนี้มันเหมือนเป็นการพูดจาไร้สาระต่อหน้าโซวรุย
หยุนยี่เองก็ยักไหล่ตอบกลับไป “แล้วแต่เจ้าเถอะ”
เขานั้นรู้ดีว่าคนอื่นๆ คงไม่มีใครคิดยอมรับ เพราะกว่าที่ตัวเขาจะยอมรับมันได้ก็ต้องใช้เวลา
แต่ตั้งแต่ที่ได้ยินเรื่องของเย่หยวนในเมืองบึงเมฆนั้นหยุนยี่ก็ได้เข้าใจทันทีว่านี่มันคงเป็นเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว
ผู้อ่อนแอนั้นมีจุดอ่อนมากจนเกินรับ มันมากมายจนปิดบังจุดแข็งของพวกเขาไปสิ้น
มีเพียงคนที่เปิดจิตใจกว้างเท่านั้นที่จะมองเห็นจุดแข็งของคนทั้งหลายนั้นและนำเอามันมาปรับใช้กับตนเอง
เย่หยวนนั้นเดินก้าวมาด้วยเส้นทางนี้และก็ได้สั่งสอนให้ศิษย์ทั้งหลายเดินเช่นนี้
โซวรุยนั้นยืนหน้าดำมืดอย่างไม่พอใจ “ช่างมันเถอะ จะอย่างไรศึกนี้ข้าก็จะขยี้เจ้าให้แหลกเละ!”
จนในที่สุดรอบชิงชนะเลิศก็ได้เริ่มขึ้น แน่นอนว่าฝีมือของโซวรุยนั้นเก่งกาจจนเหมือนเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชูรุ่นเยาว์
เมื่อเขาก้าวขึ้นสนามประลองเขาก็กดดันหยุนยี่อย่างสุดแรง
แต่หยุนยี่เองก็ได้แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาในเวลานี้เช่นกัน
การประลองทั้งหลายในงานประชุมโอสถสหภูมิภาคนี้มันได้ทำให้หยุนยี่เก่งกาจขึ้นมาทันตา
แม้ต้องเจอกับยอดคนอย่างโซวรุย ตัวเขาก็ไม่คิดเกรงกลัว
คนทั้งสองนั้นประลองกันไปนานถึงสามวันสามคืนจนในที่สุดโอสถที่หยุนยี่หลอมออกมาได้มันก็ยังเหนือกว่าโซวรุยไป
ส่วนอีกด้านทางหนิงซืออวี๋นั้นก็เอาชนะยอดคนจากอาณาจักรทหัยเมฆาของกลุ่มอาณาจักรเต๋าไปฉิวเฉียด
ทุกผู้คนต่างต้องตกตะลึง!
เพราะก่อนหน้านี้แม้เหล่าค่ายสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะคิดสนใจตำราที่โอสถบรรพกาลเขียนเองกับมือแต่พวกเขาก็เข้าใจดีว่ามันคงไม่อาจจะได้มาง่ายๆ
เพราะอาณาจักรทหัยเมฆานี้มันไม่ได้มีดีแค่ตัวโอสถบรรพกาล
กำลังที่สั่งสมมานับล้านๆ ปีมันเหนือล้ำกว่าคนอื่นๆ ไปในทุกรุ่น!
แม้ว่าอาณาจักรทหัยเมฆานั้นจะไม่ได้แสดงฝีมือต่อโลกภายนอกมานานแสนนานแต่เรื่องนี้มันก็ไม่มีใครจะคิดสงสัย
แต่พวกเขากลับแพ้!
อาจารย์เย่หยวนและศิษย์ทั้งสองนี้กลับเอาชนะอาณาจักรทหัยเมฆาได้สิ้น!
จักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชูนั้นคงมองดูเรื่องราวอยู่จนถึงตอนนี้ ก่อนหน้านี้เขาไปบอกไว้ต่อหน้าเย่หยวนว่าหลานศิษย์ของเขานี้เป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งของคนรุ่นเยาว์
เวลานี้เขาคงต้องรู้สึกชาไปทั้งหน้าแล้ว!
เพราะยอดคนอันดับหนึ่งนั้นกลับแพ้!
อาจารย์ปู่แพ้ หลานศิษย์ก็แพ้
ไม่มีใครคาดคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
หากชัยชนะของเย่หยวนต่อจักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชูนั้นเป็นชัยชนะของตัวเขาเพียงผู้เดียวแล้ว ชัยชนะของพวกเขาทั้งสามรวมกันนี้เล่ามันจะเป็นอะไรไป?
นี่มันคือการเอาชนะอย่างท่วมท้น!
หากศิษย์อาจารย์ทั้งสามนี้ท่องโลกไปด้วยกันอีกหลายร้อยปี อาณาจักรทหัยเมฆานี้จะยังมีค่าใดอีก?
เหล่าอาจารย์และศิษย์กลุ่มนี้มันได้เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์วงการโอสถไปจริงๆ
น่ากลัวจนเกินรับ!
โซวรุยนั้นก็เหมือนจะเพิ่งได้สติแต่จะอย่างไรก็ไม่อาจยอมรับผลของมัน
ก่อนหน้านี้เขายังคิดไปเสียว่าจะเอาชนะแก้แค้นกู้หน้าให้อาจารย์ปู่เยาะเย้ยหยุนยี่ให้เต็มที่
แต่ตัวเขานั้นกลับพ่ายแพ้ลง!
ฝีมือของเขานั้นเหนือล้ำคนรุ่นเดียวกันไปมากและไม่เคยพบเจอใครที่เอาชนะตัวเองได้ในรุ่นเดียวกัน
แต่วันนี้เขากลับแพ้พ่ายลง
วินาทีที่หม้อหลอมนั้นถูกเปิดขึ้นจิตใจของเขาก็ได้แตกสลายไปเสียแล้ว!
……………..