ทั้งสี่มองหน้ากันและเดินตรงเข้าไปยังห้องที่มีแสงเทียนส่องสว่างอย่างช้า ๆ ขณะที่เดินเข้าไปใกล้ พวกนางก็ได้ยินเสียงบทสนทนาที่ดังขึ้นจากข้างในนั้น
“ท่านพี่ เสวี่ยเอ๋อร์จากไปนานมากแล้ว ข้าไม่รู้เลยว่านางจะกลับมาที่นี่อีกหรือไม่…”
เสียงที่นุ่มนวลของสตรีดังขึ้นมาซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่และทุกคนคาดเดาตัวตนของเจ้าของเสียงได้ในทันที
ที่แท้ก็เป็นบิดามารดาของเหลิ่งซวงเสวี่ยที่อยู่ภายในห้องนั้นนั่นเอง
“ภรรยาของข้า ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำที่เศร้าหมองมากมายนัก ข้าหวังว่าเสวี่ยเอ๋อร์จะไม่กลับมาที่นี่อีก เพียงแต่พ่อแม่อย่างเรารู้สึกเสียใจกับเสวี่ยเอ๋อร์ยิ่งนัก แม้ว่าเราจะช่วยอะไรนางไม่ได้ เราก็จะสวดภาวนาให้กับนางในทุก ๆ วัน และหวังว่านางจะแคล้วคลาดปลอดภัย”
เสียงของบุรุษที่ฟังดูจริงใจและสงบนิ่งดังขึ้น น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความเป็นห่วงเป็นกังวลที่มีต่อเหลิ่งซวงเสวี่ยอย่างชัดเจน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ !”
ในเวลานี้ ดวงตาของเหลิ่งซวงเสวี่ยรื้นไปด้วยน้ำตาจนทำให้วิสัยทัศน์ของนางพร่าเลือนแล้ว นางรีบผลักประตูตรงหน้าและเดินเข้าไปทันทีจนได้เห็นบุรุษและสตรีวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเตียงตรงกลางห้อง
ทั้งสองได้ยินเสียงเรียกของเหลิ่งซวงเสวี่ยและชะงักไปทันที คิดไม่ถึงเลยว่าบุตรสาวที่พวกเขาคำนึงหาทุกลมหายใจจะปรากฏตัวตรงหน้าจริง ๆ
“เสวี่ยเอ๋อร์…”
สตรีวัยกลางคนลุกขึ้นจากเตียงและพยายามที่จะเข้ามาใกล้เหลิ่งซวงเสวี่ย ทว่าจู่ ๆ นางก็นึกบางอย่างขึ้นได้และเปล่งเสียงออกไป “เสวี่ยเอ๋อร์ พาสหายของเจ้าไปจากหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาเสีย พวกเจ้าจะต้องไปกันเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นมันจะสายเกินไป”
ที่แห่งนี้มิใช่หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาที่เป็นบ้านเกิดของพวกนางอีกต่อไป แม้ไม่ทราบว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยมาที่นี่ได้อย่างไร ทั้งสองก็ไม่ต้องการให้นางเผชิญกับอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่ในที่แห่งนี้
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านของเรารึเจ้าคะ ?”
เหลิ่งซวงเสวี่ยไม่คิดที่จะจากไปตามคำพูดของมารดาและก้าวออกไปข้างหน้าโดยที่ต้องการจะจับมือของมารดา ทว่ามือของนางกลับทะลุผ่านร่างตรงหน้าไปโดยตรง
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร ?”
สีหน้าของนางถอดสีทันทีและน้ำเสียงสั่นเครือ
สตรีวัยกลางคนก็กำลังจะกล่าวบางอย่างเมื่อถูกเหลิ่งต้าซาน—บิดาของเหลิ่งซวงเสวี่ยขัดจังหวะเสียก่อน
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าและสหายคงจะมาเพื่อสืบเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่สินะ”
แม้ว่าเขาจะมิใช่คนที่ฉลาดล้ำเลิศ เขาก็พอจะคาดเดาได้อย่างเลือนราง สำหรับปริศนามากมายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา ไม่มีทางเลยที่คนในดินแดนจะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ไปได้ เพราะเหตุนั้น เหลิ่งซวงเสวี่ยและบรรดาสหายจึงถูกส่งมาที่นี่เพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน มิเช่นนั้น พวกนางก็คงจะไม่เดินทางมาที่หมู่บ้านรกร้างแห่งนี้อย่างไร้จุดหมาย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ตอนนี้ข้าเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่และถูกส่งมาตรวจสอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นที่นี่ แท้ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่เจ้าคะ ? ได้โปรดบอกข้าด้วยเถิด”
เวลานี้ ความรู้สึกของเหลิ่งซวงเสวี่ยผสมปนเปกันอย่างซับซ้อน นางสันนิษฐานว่าบิดามารดาของตนเสียชีวิตไปแล้วและตอนนี้จิตวิญญาณของพวกเขาก็ติดอยู่ที่นี่เพราะสาเหตุบางอย่าง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางจะแตะต้องจิตวิญญาณตรงหน้าไม่ได้
เดิมทีบิดามารดาของเหลิ่งซวงเสวี่ยก็มีพลังยุทธ์ที่อยู่ในระดับต่ำมาก หลังจากเสียชีวิตไป ทั้งสองก็ควรจะเข้าสู่กระบวนการของการเวียนว่ายตายเกิดได้โดยตรง แล้วเหตุใดจิตวิญญาณของพวกเขาจึงถูกกักขังไว้ที่นี่ ?
“เรื่องมันยาว นั่งลงก่อนเถอะ พ่อจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด”
เหลิ่งซวงเสวี่ยนั่งลงข้างบิดามารดาทันที แม้จะแตะต้องไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด นางก็สามารถมองเห็นและสัมผัสถึงกลิ่นอายของพวกเขาได้
“เสวี่ยเอ๋อร์ เมื่อสุนัขชั่วนั่นส่งคนมาฆ่าเรา เราก็ควรจะเข้าสู่กระบวนการเกิดใหม่ได้ทันที ทว่าไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด จิตวิญญาณของเราจึงติดอยู่ในห้องนี้ เรื่องที่เจ้าฆ่าล้างคนของตระกูลนั่นและชำระความแค้นให้กับเรา พ่อและแม่ทราบทั้งหมดแล้ว ก่อนหน้านี้เราก็สัมผัสได้ว่าเจ้าเข้ามาในเรือน เพียงแต่ตอนนั้น พลังวิญญาณของเราก็อ่อนแอเกินกว่าจะแสดงตัวให้เจ้าเห็นได้และไม่มีทางที่จะอธิบายเรื่องประหลาดนี้ให้กับเจ้า”
เมื่อนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ประกายความชิงชังก็ฉายวาบในแววตาของเหลิ่งต้าซาน อย่างไรก็ตาม เมื่อเลื่อนสายตามองบุตรสาวที่นั่งอยู่ถัดจากภรรยา แววตาของเขาก็อ่อนโยนลงอีกครั้ง
“แม่ของเจ้าและข้ารู้สึกโล่งใจยิ่งนักที่ได้พบเจ้าที่นี่ เราดีใจที่ได้รู้ว่าเจ้ามีชีวิตที่ดี จิตวิญญาณของเราทั้งสองก็พัฒนาเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และรับรู้ถึงสถานการณ์ของโลกภายนอกได้มากยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ยังออกไปจากห้องนี้ไม่ได้ อีกอย่าง..เราปรากฏตัวในตอนกลางวันไม่ได้และมีเพียงยามราตรีที่มีแสงส่องสว่างในห้องเท่านั้นที่เราจะได้สติรับรู้ขึ้นมาและปรากฏตัวเช่นนี้”
เรื่องนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก แม้อยู่ในสภาวะนี้มานาน เหลิ่งต้าซานและภรรยาก็ยังไม่เข้าใจมันแม้แต่น้อย พวกเขาทราบเพียงว่าจู่ ๆ ในคืนหนึ่งก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นในหมู่บ้านและมีคนอื่น ๆ อีกจำนวนมากที่ปรากฏตัวในหมู่บ้านด้วยสถานการณ์เช่นเดียวกับพวกเขา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ในเมื่อท่านทั้งสองออกจากห้องนี้ไม่ได้ แล้วท่านทราบได้อย่างไรว่ามีคนอื่น ๆ อยู่ในหมู่บ้านอีก ?”
เหลิ่งซวงเสวี่ยไตร่ตรองครู่หนึ่งและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ข้าเห็นกับตา”
แน่นอนว่าเหลิ่งต้าซานไม่ปิดบังสิ่งใดจากบุตรสาวและกล่าวตอบตามความเป็นจริง
“ในช่วงกลางวัน เราจะไม่มีสติรับรู้ใด ๆ และจะไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ อาจเป็นเพราะข้าตายไปก่อนใครอื่น ในวันหนึ่งตอนใกล้ค่ำ จู่ ๆ ข้าก็ฟื้นขึ้นมาก่อนเวลาอันควรและพบว่ารอบตัวข้ารายล้อมไปด้วยคนจากหมู่บ้านของเราเป็นจำนวนมากซึ่งข้ารู้จักคนเหล่านั้นทั้งหมด ทว่าตอนนั้นพวกเขาอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นเช่นเดียวกับแม่ของเจ้า เมื่อข้าพยายามปลุกพวกเขาและถามความเป็นมา ข้าก็ถูกพลังบางอย่างกระแทกเข้าอย่างจัง และหลังจากนั้น ข้าก็ไม่เคยฟื้นขึ้นมาก่อนมืดค่ำอีกเลย”
บังเอิญที่ครานั้นเหลิ่งต้าซานฟื้นขึ้นมาก่อนมืดสนิทเพราะสาเหตุบางอย่างและได้เห็นเพื่อนบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตา ในเวลานั้น เขาทราบได้ทันทีว่าคนอื่น ๆ ก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ทว่าเขาก็ไม่มีเวลาตรวจสอบสิ่งใดก่อนที่จะหมดสติไปอีกครา
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ออกจากห้องนี้ไม่ได้และไม่ได้สติก่อนเวลาอันควรอีกเลย เขาจึงไม่มีโอกาสสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
ในเมื่อเหลิ่งซวงเสวี่ยและคนอื่น ๆ ได้รับภารกิจให้มาสืบสาวเรื่องราวและไขปริศนาลึกลับที่เกิดขึ้นที่นี่ มันก็เป็นธรรมดาที่เขาจะเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างที่มี
“ข้าคิดว่าข้าพอจะรู้เบาะแสบางอย่างแล้ว”
ระหว่างฟังเรื่องราวจากเหลิ่งต้าซาน ฉินอวี้โม่ก็ใช้ความคิดอย่างเงียบ ๆ เป็นพักใหญ่และจู่ ๆ นางก็คาดเดาบางอย่างขึ้นมาได้
“การที่จิตวิญญาณของท่านลุงและท่านป้าไปจากที่นี่ไม่ได้ มันอาจเป็นเพราะข่ายอาคมตรึงวิญญาณที่ถูกจัดวางไว้ในหมู่บ้านแห่งนี้ ข่ายอาคมตรึงวิญญาณเป็นข่ายอาคมประหลาดที่สามารถกักขังจิตวิญญาณและขัดขวางมิให้จิตของผู้ที่ตายไปเข้าสู่กระบวนการเวียนว่ายตายเกิด การที่จิตวิญญาณของพวกท่านออกจากห้องไปไม่ได้ ข้าเดาว่าน่าจะเป็นเพราะร่างของพวกท่านอยู่ในห้องนี้ ส่วนการที่พวกท่านไม่มีสติรับรู้ในตอนกลางวันอาจเป็นเพราะดวงจิตถูกควบคุมไว้โดยพลังบางอย่าง อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องที่ถูกปล่อยและสามารถปรากฏตัวในยามราตรี ข้ายังหาคำตอบไม่ได้ในตอนนี้”
‘ข่ายอาคมตรึงวิญญาณ’ คือข่ายอาคมต้องห้ามที่ชั่วร้ายอย่างที่สุดซึ่งเรียนรู้กันในหมู่ผู้ใช้ข่ายอาคมในยุคโบราณ โดยปกติแล้วข่ายอาคมเช่นนี้จะถูกใช้เพื่อลงโทษอาชญากรที่ชั่วช้าและทำให้พวกเขาทุกข์ทรมานอย่างสาหัสสากรรจ์จนไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ตลอดกาล สิ่งสำคัญคือมีผู้ใช้ข่ายอาคมเพียงน้อยคนเท่านั้นที่สามารถจัดตั้งข่ายอาคมตรึงวิญญาณนี้ได้
แม้ด้วยพลังของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ นางก็ยังไม่สามารถจัดตั้งข่ายอาคมชนิดนี้ได้
“ข่ายอาคมตรึงวิญญาณจากยุคโบราณอย่างนั้นหรือ ?”
ทุกคนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อของข่ายอาคมชนิดนี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม จากสิ่งที่ฉินอวี้โม่อธิบายออกมา พวกเขามั่นใจว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว มีเพียงข่ายอาคมชนิดนั้นที่จะสร้างปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติและทำให้ทั้งหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาตกอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกพิลึกเช่นนี้ได้
ในกรณีนี้ คาดการณ์ได้ว่าอาจจะมีตัวตนที่แกร่งกล้าซ่อนอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ซึ่งมีพลังอำนาจที่เหนือกว่าจินตนาการของทุกคน !