ข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่ทำให้สีหน้าของทุกคนเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ที่สามารถวางข่ายอาคมตรึงวิญญาณจากยุคโบราณจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง ความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นจะต้องอยู่ในระดับเดียวกับผู้อาวุโสของนิกายหมื่นกระบี่เป็นอย่างต่ำ หากต้องประจันหน้ากับศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้น ถามว่าพวกเขาจะรับมือได้อย่างไร ?
“เสวี่ยเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้เคยมีคนมาที่นี่เพื่อสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นและข้าเห็นพวกเขามากันหลายคน อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นไม่ได้กลับออกไปจากที่นี่และถูกกักขังไว้เช่นเดียวกับเรา คาดว่าพวกเขาคงจะถูกกักขังไว้ในโรงเตี๊ยมซึ่งเป็นอาคารหลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านของเรา”
เหลิ่งต้าซานนึกบางอย่างขึ้นได้และกล่าวออกไป เขาเคยพบเห็นจอมยุทธ์มากหน้าหลายตาที่เดินทางมายังหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาเพื่อสืบเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้น แม้ไม่ทราบว่าคนเหล่านั้นเป็นใครและมาจากที่ใด เขาก็มั่นใจว่าตอนนี้คนเหล่านั้นตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับพวกตนและติดอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ไปตลอดกาล
“เสวี่ยเอ๋อร์ หากเป็นไปได้ รีบพาสหายของเจ้าออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ มันอันตรายเกินไป แม้เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว เจ้าก็สะสางปัญหาที่นี่ไม่ได้หรอก รีบกลับไปรายงานเรื่องนี้กับจ้าวนิกายหมื่นกระบี่และให้เขาส่งยอดฝีมือที่ทรงพลังมากกว่านี้มาจะดีกว่า”
เหลิ่งต้าซานลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกไป ทุกคนย่อมมีความเห็นแก่ตัวซ่อนอยู่และเขาไม่ต้องการให้บุตรสาวของตนต้องตกอยู่ในอันตราย หากเป็นไปได้ เขาหวังว่านางจะออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยและไร้รอยขีดข่วน
“ท่านพ่อ ในเมื่อเราก้าวเข้ามาที่นี่แล้ว เราก็ไม่สามารถเดินทางกลับไปได้เว้นแต่ว่าปัญหาของที่นี่จะได้รับการคลี่คลาย เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีทางที่เราจะล้มเลิกภารกิจได้ง่าย ๆ”
เหลิ่งซวงเสวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ นับตั้งแต่เลือกก้าวเข้ามาในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา พวกนางก็ไม่ได้คิดเรื่องออกไปจากที่นี่ และหากสะสางเงื่อนงำนี้ไม่สำเร็จ พวกนางก็คงต้องอาศัยอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล
“กรี๊ดดด !”
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นและฟังดูเหมือนเป็นเสียงของเถียนซิน
“รีบไปดูกันเถอะ”
สีหน้าของฉินอวี้โม่ดูเคร่งเครียดมากขึ้น เมื่อสิ้นเสียงของนาง ทุกคนก็ลุกขึ้นและเตรียมมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้นเพื่อตรวจดูทันที
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าต้องขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
เหลิ่งซวงเสวี่ยยืนขึ้นและกล่าวพร้อมดวงตาที่แดงก่ำ นางทราบว่าหากเดินออกจากห้องไปในครานี้ นางอาจจะไม่ได้พบหน้าบิดามารดาอีก
“เสวี่ยเอ๋อร์ ไปทำในสิ่งที่ต้องทำเถอะ ไม่ว่าพ่อและแม่จะอยู่ที่ใด เราทั้งสองจะคอยสวดภาวนาให้เจ้าแคล้วคลาดปลอดภัยเสมอ”
เหลิ่งต้าซานดึงร่างภรรยาเข้ามาสวมกอดและโบกมือให้กับบุตรสาวด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้ม
“เสวี่ยเอ๋อร์…”
มารดาของเหลิ่งซวงเสวี่ยเอ่ยปากเรียกนาง ทว่าไม่กล่าวสิ่งใดต่อและเพียงมองนางพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน เพียงได้พบหน้าบุตรสาวที่รักยิ่งอีกครา พวกนางก็มีความสุขเกินพรรณนาแล้วและไม่กล้าที่จะคาดหวังสิ่งใดที่มากจนเกินไป
“ท่านพ่อ ท่านแม่ หากชาติหน้ามีจริง ลูกสาวที่อกตัญญูผู้นี้ขอเกิดเป็นลูกของท่านทั้งสองอีก”
เหลิ่งซวงเสวี่ยให้คำมั่นสัญญากับบิดามารดาพร้อมกับก้มลงกราบสามครั้ง จากนั้นนางก็เดินตามฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ออกไป
ภายในห้องนั้น เสียงสะอื้นเบา ๆ ดังขึ้นและตามด้วยเสียงทุ้มของเหลิ่งต้าซานที่พยายามจะปลอบประโลมภรรยา
“ภรรยาของข้า อย่าร้องไห้ไปเลย เราควรจะยินดีที่เสวี่ยเอ๋อร์สุขสบายดี”
การที่บุตรสาวของพวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีและเข้าร่วมกับนิกายหมื่นกระบี่ที่ทรงพลังได้สำเร็จ มันเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่ความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าตอนนี้พวกเขาก็ตายตาหลับได้แล้ว…
เหลิ่งซวงเสวี่ยตามไปสมทบกับฉินอวี้โม่และอีกสองคนที่รอตนอยู่หน้าประตูเรือน นางปาดน้ำตาที่อาบแก้มเบา ๆ และปรับสีหน้าท่าทางกลับเป็นความเย็นชาเช่นเดิม
“ไปกันเถอะ เถียนซินอาจจะพบบางอย่างก็เป็นได้”
ทันทีที่สิ้นเสียง นางก็มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางต้นเสียงของเถียนซินอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ตามไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ชักช้าอืดอาดแม้แต่น้อย แม้จะไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดกับเถียนซินและสวีเยว่ แต่สิ่งที่ทำให้นางถึงขั้นกรีดร้องเสียงหลงเช่นนั้นจะต้องมิใช่เรื่องเล็ก ๆ แน่ บางทีนางอาจจะเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องปริศนาในหมู่บ้านโดยบังเอิญ
ณ จุดที่กลุ่มของเถียนซินแยกไปสำรวจ สมาชิกทั้งสี่ยืนหันหลังชนกันด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
ก่อนหน้านี้พวกนางค้นพบแสงสว่างในเรือน รวมถึงดวงวิญญาณที่อาศัยอยู่ในนั้น ทว่าเมื่อกำลังจะเข้าไปสำรวจดู เถียนซินก็มองเห็นเงาสีดำทะมึนที่เคลื่อนผ่านและกรีดร้องออกมา ยิ่งไปกว่านั้น คนทั้งสี่ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ลึกลับและหม่นหมองซึ่งทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างที่สุด
“เมิ่งฝาน ที่นี่คงจะไม่มีผีสางอยู่ใช่รึไม่ ?”
สวีเยว่เอ่ยถามเสียงเบาและหัวใจปั่นป่วนอย่างที่สุด นางและเถียนซินมีพลังที่แข็งแกร่งพอสมควรและมิใช่คนขี้ขลาดตาขาว อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ลึกลับและไร้คำอธิบายเช่นนี้ พวกนางก็อดตื่นตระหนกไม่ได้
“มันจะต้องเป็นผีสางบางประเภทแน่ เพราะถึงอย่างไรดวงวิญญาณที่อยู่ภายในเรือนเหล่านั้นก็ถือเป็นผีสางประเภทหนึ่งมิใช่รึ ?”
เซียวหมิงแสดงความคิดเห็นออกมา ทว่าวาจาของเขาทำให้สวีเยว่หวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมและร่างบางก็เริ่มสั่นเทา
“มีสิ่งใดที่ต้องกลัวกัน ? ในเมื่อมิได้กระทำเรื่องผิดมโนธรรมก็ย่อมไม่ต้องกลัวผีสางมาเคาะประตู อยากเห็นนักว่าใครหน้าไหนที่ริอาจเล่นละครเป็นผีสางและกักขังจิตวิญญาณมากมายไว้ในหมู่บ้านนี้โดยที่ไม่ให้โอกาสคนเหล่านั้นได้ไปผุดไปเกิด ใครกันที่ทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้ได้ลงคอ !”
เถียนซินพยายามเปล่งเสียงออกมาเพื่อปัดเป่าความหวาดหวั่นในหัวใจ เมื่อครู่นางมองเห็นเงาร่างสีดำทะมึนที่เคลื่อนผ่านตรงหน้าและได้กลิ่นคาวของเลือดจากร่างนั้น อย่างไรก็ตาม นางไม่มั่นใจว่าสิ่งนั้นคือมนุษย์ ดวงวิญญาณหรือผีสาง
จิตวิญญาณผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกักขังไว้ในเรือนหลายหลังทำให้เถียนซินไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก มิอาจคาดเดาได้เลยว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังสิ่งที่ชั่วร้ายเหล่านี้ การที่กักขังวิญญาณของผู้คนมิให้ไปผุดไปเกิด อีกฝ่ายต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ?
“ศิษย์พี่เซียวหมิง อย่าทำให้นางกลัวไปเลย คงจะมีใครสักคนที่พยายามข่มขวัญพวกเราเพื่อทำให้จิตใจของเราปั่นป่วนก่อนเริ่มลงมือโจมตี เสียงของศิษย์พี่เถียนซินเมื่อครู่คงจะดังพอที่พี่อวี้โม่และคนอื่น ๆ จะได้ยินจนรีบมาที่นี่ ตอนนี้เราควรจับกลุ่มกันไว้เพื่อมิให้อีกฝ่ายมีโอกาสลงมือและเฝ้ารอให้คนอื่น ๆ มาถึง”
เมิ่งฝานกล่าวอย่างใจเย็น เขาคิดหาวิธีการรับมือสำหรับสถานการณ์ตอนนี้ไว้แล้ว
“เอาล่ะ นั่นเป็นความคิดที่ดี”
เถียนซินสูดหายใจเข้าลึก ๆ และแสดงความเห็นด้วยกับแผนการของเมิ่งฝานด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งลงเล็กน้อย
คนทั้งสี่ยืนหันหลังชนกันและสายตาจับจ้องไปรอบตัวอย่างระแวดระวังด้วยกังวลว่าเงามืดนั้นจะปรากฏขึ้นอีกและลงมือโจมตีพวกตน
หลังจากรอเวลาครู่ใหญ่ ทั้งสี่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา เมื่อมองเห็นว่าเป็นกลุ่มของฉินอวี้โม่ที่มุ่งหน้าเข้ามา พวกนางก็โล่งใจลงเล็กน้อย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าคนทั้งสี่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
“ศิษย์พี่เถียนซิน ท่านเห็นสิ่งใดจึงได้กรีดร้องเสียงดังเช่นนั้น ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวเดินไปหยุดตรงหน้าเถียนซินและขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนยื่นมือออกไปจับมืออีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลม
“เหอะ ข้ามิใช่คนขี้ขลาดสักหน่อย”
แม้เถียนซินจะกล่าวเช่นนั้น นางก็จับมือเถาเซี่ยวเซี่ยวไว้แน่นขณะพยายามปรับสีหน้ากลับเป็นปกติ
“ก่อนหน้านี้เราพบว่ามีดวงวิญญาณติดอยู่ในเรือนเหล่านั้นและดูจะไม่มีสติรับรู้ เราจึงเตรียมที่จะไปสำรวจสถานการณ์ที่อื่นต่อ ทว่าจู่ ๆ เถียนซินก็มองเห็นเงาบางอย่างเคลื่อนผ่านไป เรากังวลว่าอาจเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่จึงส่งเสียงเพื่อเรียกทุกคนมา”
เมิ่งฝานกล่าวอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้โดยที่ไม่ปิดบังสิ่งใดจากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง”
ฉินอวี้โม่เข้าใจได้ทันทีทว่ายังคงรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
“ดวงวิญญาณที่ถูกกักขังเหล่านั้นไม่มีสติรับรู้อย่างนั้นหรือ ?”
เหลิ่งซวงเสวี่ยเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยออกไป เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้บิดาและมารดาของนางก็มีสติรับรู้ดีและสื่อสารกับนางได้อย่างชัดเจน
“ไม่เลย พวกเขาเหล่านั้นไม่สังเกตเห็นเราด้วยซ้ำและกำลังใช้ชีวิตอยู่ในห้องราวกับเป็นชีวิตปกติประจำวัน”
เซียวหมิงส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวอธิบายในสิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่และทุกคนฉงนสงสัยยิ่งกว่าเดิม