บิดามารดาของเหลิ่งซวงเสวี่ยมีสติรับรู้เป็นของตนเอง ทว่าดวงวิญญาณอื่น ๆ กลับไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นดวงวิญญาณที่ถูกกักขังไว้ไม่ต่างกัน แล้วเหตุใดดวงวิญญาณบางดวงจึงมีความสามารถในการรับรู้สื่อสาร ในขณะที่ดวงอื่น ๆ อยู่ในสภาวะที่ไร้จิตตระหนักรู้อย่างสิ้นเชิง…
ยิ่งไปกว่านั้น เหลิ่งต้าซานก็เคยฟื้นขึ้นมาก่อนเวลามืดสนิทและได้เห็นสถานการณ์ของคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน เขามีสิ่งใดที่พิเศษกว่าคนอื่นกันแน่ ?
เวลานี้ กลุ่มของเถียนซินและฉินอวี้โม่กำลังรวมตัวกันบนถนนซึ่งอยู่ภายในศูนย์กลางของหมู่บ้าน
คนทั้งแปดก็เฝ้ารอเวลาถึงสองก้านธูปและยังไม่พบเห็นการเคลื่อนไหวใด สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ราวกับเป็นเพียงภาพหลอนของเถียนซินและเงามืดนั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง
“เหตุใดเฉินหว่านเอ๋อร์และคนอื่นจึงยังไม่มากันอีกล่ะ ?”
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เฉินหว่านเอ๋อร์ เสิ่นเสี่ยวไห่และอีกสองคนก็ควรจะมุ่งหน้ามาที่นี่ทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของเถียนซิน ภายในหมู่บ้านที่เงียบสนิทและมีพื้นที่ที่ไม่กว้างขวางเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะใช้เวลาเดินทางถึงสองก้านธูป
“หรือจะเกิดเรื่องกับพวกนาง ?”
เถียนซินและสวีเยว่มีท่าทีสุขใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับเฉินหว่านเอ๋อร์ พวกนางเหม็นหน้าสตรีจอมเสแสร้งผู้นั้นมานานแล้ว มันคงจะดีไม่น้อยหากมีใครสักคนสั่งสอนบทเรียนให้กับนาง
อย่างไรก็ตาม เสิ่นเสี่ยวไห่และเมิ่งจวินอยู่กับนางด้วย แม้สามารถเพิกเฉยต่อชะตากรรมของเฉินหว่านเอ๋อร์ได้ พวกนางก็มิอาจเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของคนอื่น ๆ ในนิกายหมื่นกระบี่ได้
“เราไปดูกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวเสนอขึ้นมาทันที หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาแห่งนี้แปลกประหลาดจนเกินไป หากแยกย้ายกันในตอนนี้ พวกนางอาจเผชิญภยันตรายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะเหตุนั้น การมุ่งหน้าไปด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่จึงเป็นทางเลือกที่ทุกคนจะปลอดภัยมากที่สุด
ทุกคนไม่คัดค้านและเดินหน้าไปยังทิศทางที่กลุ่มสี่คนของเสิ่นเสี่ยวไห่มุ่งหน้าไปสำรวจก่อนหน้านี้
เสิ่นเสี่ยวไห่และกลุ่มของเขาได้รับมอบหมายให้สำรวจบ้านเรือนในทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาซึ่งเป็นพื้นที่ที่กว้างขวางกว่าอีกสองกลุ่มที่เหลือพอสมควร
พลังของพวกเขาทั้งสี่ก็ถือว่าแกร่งกล้าไม่น้อยและแม้แต่เมิ่งจวินที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มก็มีพลังอยู่ในขอบเขตเทพเซียนหนึ่งดาราขั้นสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้น เสิ่นเสี่ยวไห่ก็เป็นบุรุษที่สุขุมใจเย็น หากต้องเผชิญกับปัญหาใด เขาจะคิดหาทางออกเพื่อรับมือกับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่พวกเขาไม่ปรากฏตัวหรือส่งข่าวใดมาเป็นเวลานานพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างกับพวกเขา
ฉินอวี้โม่และทุกคนเริ่มค้นหาในเรือนแต่ละหลังในฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน ทว่าไม่กล้าส่งเสียงเรียกดังออกไปด้วยกังวลว่ามันอาจดึงดูดความสนใจของเงามืดที่ซ่อนอยู่
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เข้าไปในสำรวจในเรือนมากกว่าสิบหลัง พวกนางก็ยังไม่พบร่องรอยของเสิ่นเสี่ยวไห่และอีกสามคนแม้แต่น้อย เวลานี้ สีหน้าของทุกคนเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ
หากเงาทะมึนที่เถียนซินเห็นก่อนหน้ามีตัวตนอยู่จริง สถานการณ์ในตอนนี้ก็มีเพียงสิ่งเดียวที่ชัดเจน นั่นคือเงานั้นคงจะลอบโจมตีกลุ่มของเสิ่นเสี่ยวไห่ไปแล้ว
เมื่อทุกคนเดินเท้ามาใกล้สุดขอบถนน หมอกรอบตัวก็หนาทึบมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่ายังไม่พบทั้งสี่ในกลุ่มของเสิ่นเสี่ยวไห่
ในที่สุด ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มาถึงเรือนหลังสุดท้ายซึ่งดูแตกต่างไปจากเรือนหลังอื่นเล็กน้อย ภายในเรือนก่อนหน้านี้ทั้งหมดมีห้องใดห้องหนึ่งที่มีแสงสว่างปรากฏอยู่และมีดวงวิญญาณที่ไม่มีสติรับรู้เดินไปมาภายในห้องราวกับกำลังใช้ชีวิตประจำวัน ทว่าเรือนตรงหน้าทุกคนในเวลานี้กลับมืดสนิท ภายในห้องทุกห้องไม่มีแสงสว่างใดเล็ดลอดออกมาและไม่มีดวงวิญญาณที่ถูกกักขังไว้แม้แต่ดวงเดียว ทุกอย่างเงียบสงัดอย่างแท้จริง
“อื้อ..”
เสียงหนึ่งดังขึ้นดึงดูดความสนใจของทุกคน จากนั้นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มุ่งหน้าไปยังทิศทางของต้นเสียงนั้นซึ่งก็คือห้องห้องหนึ่งที่มีเมิ่งจวินนอนหมดสติอยู่บนพื้น และเสียงเมื่อครู่ก็เป็นเสียงของเขานั่นเอง
“น้องสาม !”
สีหน้าของเมิ่งฝานและเมิ่งเถียนถอดสีทันทีขณะพุ่งตรงเข้าไปหาเมิ่งจวิน หลังจากตรวจสอบดูและพบว่าน้องชายเพียงหมดสติโดยไม่มีอาการบาดเจ็บที่ร้ายแรง พวกเขาก็โล่งใจขึ้นมา
“มีพลังประหลาดเจือปนอยู่ในร่างของเขาและเป็นเพราะพลังนั้นที่ทำให้เขาหมดสติไป”
ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปข้างหน้าก่อนวางมือประทับลงบนแผ่นหลังของเมิ่งจวินและถ่ายทอดพลังของกายเทพมายาตรงไปที่ร่างของเขา
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป พลังประหลาดในร่างของเมิ่งจวินก็ถูกกลืนกินโดยพลังของกายเทพมายาไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ได้สติและลืมตาขึ้นมา
“ข้าเป็นอะไรไปหรือ ?”
เมื่อลืมตามาพบกับเมิ่งฝานและเมิ่งเถียนตรงหน้า เมิ่งจวินก็เอ่ยถามด้วยความสับสนงุนงง
“น้องสาม ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น ? เจ้าจำสิ่งใดได้หรือไม่ ?”
เมิ่งฝานและเมิ่งเถียนมองน้องชายด้วยแววตากังวลและต้องการทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“เมิ่งจวิน ศิษย์พี่เสิ่นและอีกสองคนที่เหลือหายไปที่ใดกัน ?”
เถียนซินอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้และสังหรณ์ใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของพวกตน
“ข้าจดจำได้ว่าเรากำลังสำรวจภายในเรือนหลังหนึ่งและจู่ ๆ ก็ถูกโจมตีโดยเงาลึกลับ ศิษย์พี่เสิ่นปกป้องข้าไว้และช่วยให้ข้าหลบหนีก่อนกลับไปช่วยเฉินหว่านเอ๋อร์และผางเลี่ยง หากข้าเดาไม่ผิด คงจะเป็นเงามืดนั่นที่ทำให้ข้าหมดสติเช่นนี้ !”
เมิ่งจวินพยายามนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้และค่อย ๆ จดจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยที่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ระหว่างที่ค้นหาเบาะแสภายในเรือน พวกเขาก็ถูกโจมตีโดยเงาลึกลับในขณะที่ไม่ทันตั้งตัว ในตอนนั้นเอง เสิ่นเสี่ยวไห่ก็ช่วยให้เขาหลบหนีออกมาก่อนและกลับไปช่วยอีกสองคนที่เหลือเพียงลำพัง
เดิมทีเมิ่งจวินกำลังจะออกไปตามหาฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่แล้วก็ต้องค้นพบว่ามีเงามืดอีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา ซึ่งสุดท้ายเขาก็รีบหลบเข้ามาในห้องนี้และหมดสติไป
พลังของเงาลึกลับนั้นแกร่งกล้าอย่างยิ่ง หากคาดเดาไม่ผิด เกรงว่าเสิ่นเสี่ยวไห่และอีกสองคนอาจต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่า
“จุดเกิดเหตุอยู่ที่ใด ?”
ทุกคนช่วยพยุงตัวเมิ่งจวินขึ้นมาและไม่รีบร้อนบุกเข้าไปช่วยเสิ่นเสี่ยวไห่ เพราะถึงอย่างไรตามที่เขากล่าวไว้ พลังของเงามืดนั้นก็เหนือกว่าพวกเขามากนัก การบุกเข้าไปโดยไม่ยั้งคิดก็คงไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย สิ่งสำคัญคือพวกเขาต้องหาทางทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลังของเงานั้นให้ได้เสียก่อนจึงจะคิดหาทางตอบโต้และรับมือกับมันได้
“ที่เรือนหลังนั้น”
ท่ามกลางหมอกหนาบดบังรอบตัว เมิ่งจวินพยายามคาดการณ์ทิศทางอย่างคร่าว ๆ และระบุพิกัดที่กลุ่มของเขาถูกโจมตีก่อนหน้านี้
“เราจะทำอย่างไรกันดี ? เงานั่นจะต้องเตรียมความพร้อมมาแล้วแน่ หากเราวู่วามบุกเข้าไป เราคงจะถูกโจมตีและตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้”
ทุกคนกังวลใจขึ้นมาและคิดไม่ออกเลยว่าควรทำอย่างไร พวกเขาบุ่มบ่ามบุกไปที่นั่นไม่ได้ ทว่าหากรออยู่ที่นี่ต่อไป เสิ่นเสี่ยวไห่และอีกสองคนก็อาจตกอยู่ในอันตรายยิ่งกว่าเดิม
ความตายของเฉินหว่านเอ๋อร์มิใช่เรื่องสำคัญสำหรับทุกคน ทว่าพวกเขาก็มิอาจปล่อยให้เสิ่นเสี่ยวไห่และคนอื่น ๆ เผชิญภยันตรายโดยที่ไม่หาทางช่วยเหลือ
“ถ้าเช่นนั้น เราก็หลอกล่อให้เจ้าเงามืดนั่นออกมาก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่คิดไตร่ตรองครู่หนึ่งและเสนอแผนการขึ้นมา
จากคำบอกเล่าของเมิ่งจวิน เงาลึกลับที่เขาพบมีมากกว่าหนึ่ง เพราะเหตุนั้น เงาเหล่านั้นก็อาจจะตัวติดกันตลอดเวลาโดยที่ไม่แยกตัวห่างจากกัน
เรือนหลังที่ทุกคนรวมตัวกันในตอนนี้ไม่มีดวงวิญญาณใดอาศัยอยู่และเมิ่งจวินเข้ามาซ่อนตัวได้โดยที่เงาลึกลับจับตัวเขาไม่สำเร็จ สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าที่นี่คงจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เงาลึกลับหวาดกลัว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถใช้เรือนหลังนี้เป็นที่หลบภัยชั่วคราวและสามารถมั่นใจในความปลอดภัยว่าจะไม่ถูกโจมตีในระหว่างที่อยู่ที่นี่
แผนการของฉินอวี้โม่ก็เรียบง่ายไม่ซับซ้อน นางจะวางข่ายอาคมในเรือนที่อยู่ถัดไปและจะออกไปปรากฏตัวให้ศัตรูเห็น เมื่อถึงตอนนั้น เงาลึกลับจะต้องหาทางจู่โจมพวกนางอย่างแน่นอนและพวกนางก็จะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเงามืดลึกลับนั้นเสียที…
“เงานั่นแข็งแกร่งมาก เพราะเหตุนั้น เราจะเลือกศิษย์ที่แกร่งกล้าที่สุดสองถึงสามคน เอาล่ะ ศิษย์พี่เหลิ่งและเมิ่งเถียน..มากับข้า ส่วนคนที่เหลือเฝ้ารออยู่ในเรือนหลังนี้ต่อไปและอย่าออกไปที่ใดโดยที่ข้าไม่อนุญาตโดยเด็ดขาด”
นางตัดสินใจอย่างแน่วแน่และเดินออกไปยังเรือนหลังถัดไปพร้อมกับเหลิ่งซวงเสวี่ยและเมิ่งเถียน