บทที่ 608.1 อาจารย์ลุงใหญ่ออกกระบี่ ศิษย์พี่เล็กเล่นหมากล้อม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

อีกยี่สิบวันต่อมา เผยเฉียนก็อารมณ์ไม่ใคร่จะดีนัก เพราะชุยตงซานบังคับลากพานางออกไปเดินเตร็ดเตร่นอกจวนหนิง อีกทั้งข้างกายยังมีเจ้าตอไม้เฉาติดตามมาด้วย

คนทั้งสามเดินเล่นไปตามตรอกน้อยถนนใหญ่ของนคร ไปมองดูหอมายาอยู่ไกลๆ จากนั้นก็ลงใต้ไปตลอดทาง ห่านขาวใหญ่ยังชอบเดินอ้อมเส้นทางผ่านเรือนที่เซียนกระบี่แต่ละท่านเคยพักอาศัยอยู่ แล้วถึงได้ไปที่หัวกำแพงเมือง ยังคงเดินเท้ากันไปเหมือนเดิม แต่หากมีอาจารย์อยู่ด้วยก็อย่าว่าแต่เดินเลย เรียกว่าคลานก็ยังได้ แต่ในเมื่ออาจารย์ไม่อยู่ เผยเฉียนก็เลยแอบบอกเป็นนัยให้เขาเรียกเรือยันต์ออกมาอยู่หลายครั้ง มองพื้นดินจากบนฟ้าจะเห็นชัดเจนมากกว่า แต่ชุยตงซานกลับไม่ตอบตกลง เฉาฉิงหล่างที่อยู่ด้านข้างก็น่าเบื่อนัก เอาแต่ทำตัวเป็นคนใบ้ นี่ทำให้เผยเฉียนรู้สึกว่าเหมือนอยู่ตัวคนเดียวมีกำลังน้อยนิด

เดิมทีเฉาฉิงหล่างคิดจะตั้งใจฝึกตนอยู่ที่จวนหนิง ก็เหมือนอาจารย์จ้งที่ทุกวันนี้คอยเดินเนิบช้าอยู่บนสนามประลองยุทธอยู่ทุกวัน เดินทีหนึ่งก็นานหลายชั่วยาม

เพียงแต่ชุยตงซานไปเคาะประตูเรียกให้เขาออกมาด้วย ต่อให้เฉาฉิงหล่างจะอยากปฏิเสธ เพราะถึงอย่างไรอาจารย์ก็อุตส่าห์ตั้งใจเลือกสถานที่แห่งนี้ให้เป็นสถานที่ฝึกตนของตน จะผิดต่อความตั้งใจของอาจารย์ไม่ได้

แต่ชุยตงซานกลับส่ายหน้า แสดงท่าทีชัดเจนอย่างยิ่ง เฉาฉิงหล่างครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ตอบตกลง ชุยตงซานบอกเขาว่าให้นำไม้เท้าเดินป่าที่อาจารย์มอบให้ไปด้วย เฉาฉิงหล่างจึงเอาไม้เท้าเดินป่าที่เดินทางข้ามพันภูเขาหมื่นแม่น้ำผ่านครึ่งหนึ่งของอุตรกุรุทวีปเป็นเพื่อนอาจารย์มาด้วย เป็นเพียงแค่ไม้ไผ่ปกติ แต่กลับไม่ธรรมดา เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วไม้เท้าเดินป่าของเผยเฉียนทำมาจากวัสดุที่ดีที่สุดมีมูลค่ามากที่สุด หลังจากที่ห่านขาวใหญ่เปิดเผยความลี้ลับให้ฟัง เผยเฉียนถึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กออกจากบ้าน

บนหัวกำแพงเมือง เผยเฉียนเดินอยู่บนหัวกำแพงเมืองที่ขยับเข้าใกล้ทางทิศใต้ ตลอดทางได้เห็นเซียนกระบี่ที่น่าสนใจอยู่มากมาย มีเซียนกระบี่สวมชุดสีสันสดใสคนหนึ่งกำลังเดินเล่น มีกระบี่แต่กลับไม่พกกระบี่ไว้ตรงเอว กระบี่ไร้ฝัก พู่ห้อยกระบี่ยาวอย่างถึงที่สุด ปลายด้านหนึ่งของพู่รัดเข้ากับเอว กระบี่ยาวจึงรากระอยู่กับพื้น ปลายกระบี่และคมกระบี่เสียดสีอยู่บนพื้นตลอดเวลา ปราณกระบี่ไหลวนจนเห็นได้อย่างชัดเจน ทำเอาเผยเฉียนที่ได้เห็นอยากจะมองให้มากหน่อย แต่ก็ไม่กล้ามองมากเกินไป

เฉาฉิงหล่างที่เดินอยู่ในมุมสูงที่สุดในบรรดาพวกเขาสามคนมองไปยังชุยตงซาน ชุยตงซานยิ้มเอ่ยว่า “อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ สูงหรือไม่สูง ดูแค่ที่กระบี่อย่างเดียวเท่านั้น”

เฉาฉิงหล่างถึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะกระโดดลงจากหัวกำแพงมาเดินบนทางเดิน

ชุยตงซานยิ้มเอ่ยกับเผยเฉียนว่ามองมากหน่อยก็ไม่เป็นไร มาดของเซียนกระบี่คือทัศนียภาพที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนักในใต้หล้าไพศาล ใต้เท้าเซียนกระบี่ใหญ่ไม่มีทางตำหนิเจ้าหรอก

เผยเฉียนถึงได้กล้ามองอยู่หลายครั้ง

เซียนกระบี่ที่สวมชุดสีสันสดใสผู้นั้นเอาแต่ก้มหน้าครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง ไม่ถือสาสายตาที่มองมาของแม่นางน้อยคนหนึ่งจริงๆ และยิ่งไม่ถือสาที่พวกเขาเดินอยู่บนจุดที่สูงกว่าตน

แน่นอนว่าชุยตงซานย่อมรู้ความเป็นมาของคนผู้นี้ อู๋เฉิงเพ่ยผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตคอขวดหยกดิบ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมีชื่อว่า ‘น้ำค้างหวาน’ วิชากระบี่ของเขาเหมาะแก่การร่วมศึกช่วงท้ายมากที่สุด เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะบนพื้นมีเลือดสดมากพอ

อู๋เฉิงเพ่ยมีนิสัยปลีกตัวรักสันโดษ รูปโฉมมองดูเหมือนอ่อนเยาว์ ทว่าแท้จริงกลับอายุมากแล้ว คู่รักของเขาเคยถูกปีศาจใหญ่ใช้มือบีบศีรษะจนแตกแล้วอ้าปากเขมือบกินจิตวิญญาณของสตรีทั้งเป็น

ภายหลังปีศาจใหญ่ตนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนอยู่บนสนามรบ จึงไปหลบอยู่ในถ้ำใจกลางใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพื่อพักรักษาตัว เก็บตัวเงียบไม่ออกมา แล้วก็ไม่เคยปรากฏตัวบนสนามรบอีกเลย ในขณะที่อู๋เฉิงเพ่ยยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ตัวคนเดียว หรือจะตายไปอย่างไร้ความหมาย ปีศาจใหญ่ตนนั้นก็ถูกคนสังหาร คนผู้นั้นหิ้วศีรษะของมันมาโยนลงข้างเท้าของอู๋เฉิงเพ่ย ยิ้มเอ่ยกับอู๋เฉิงเพ่ยว่าแค่ผ่านทางมาพอดี เลี้ยงเหล้าข้าด้วย

คนทั้งสามยังเจอกับเซียนกระบี่คนหนึ่งที่กำลังคุมเชิงต่อสู้อยู่กับคนอีกคนที่ออกกระบี่ เขานั่งขัดสมาธิพลางดื่มเหล้าไปด้วย มือหนึ่งทำมุทราคาถากระบี่ ผู้เฒ่าหันหลังให้ทางทิศใต้ หันหน้าเข้าหาทิศเหนือ ระหว่างหัวกำแพงเหนือและใต้มีสิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าสายฟ้าหรือแสงกระบี่พาดขวาง ใหญ่เท่าปากบ่อโซ่เหล็กของเขตการปกครองหลงเฉวียน แสงกระบี่พร่างพราว สะเก็ดไฟกระเซ็นไปทั่วทิศ และยังมีสายฟ้ากระแทกลงบนหัวกำแพงกับทางเดินอยู่ตลอดเวลา ประหนึ่งงูนับร้อยนับพันตัวที่เลื้อยอย่างว่องไว สุดท้ายก็ผลุบหายเข้าไปในพงหญ้ามองไม่เห็นเงาอีก

เผยเฉียนหวาดกลัวไม่กล้าเดินหน้าต่อ ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ยว่า “รู้กฎของที่นี่หรือไม่ หากมีเหล้าก็ผ่านทางไปได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้เวทกระบี่มาเอาชนะข้า หรือไม่ก็ต้องเรียกกระบี่ออกมาแล้วบินอ้อมไปจากหัวกำแพงเมืองแต่โดยดี”

ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ของพวกข้า คือเถ้าแก่รองผู้นั้น”

“คานบนไม่ตรงถึงขนาดนั้น แต่คานล่างกลับไม่นับว่าเอียงสักเท่าไร น่าประหลาดยิ่งนัก”

จากนั้นผู้เฒ่าก็เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นเหล้าสองกา!”

ชุยตงซานยิ้มพลางโยนเหล้าสองกาไปให้ผู้เฒ่าเซียนกระบี่คนนั้น

ผู้เฒ่ามีนามว่าจ้าวเก้ออี๋ คนที่คุมเชิงกับจ้าวเก้ออี๋ซึ่งนั่งอยู่บนหัวกำแพงเมืองทางทิศเหนือคือเฉิงเฉวียนผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตถดถอยจากหยกดิบมาสู่ก่อกำเนิด ทั้งสองฝ่ายคือศัตรูคู่อาฆาตกัน

นอกจากเหมือนวันนี้ที่จ้าวเก้ออี๋กดขอบเขตใช้ปราณกระบี่ปะทะกับเฉิงเฉวียนแล้ว ผู้เฒ่าทั้งสองที่มีชาติกำเนิดมาจากตรอกเก่าโทรมเหมือนกันยังเคยด่ากันข้ามทางเดินอีกด้วย ได้ยินมาว่าเวลาส่วนตัวหากทั้งสองฝ่ายต่างก็ดื่มเหล้า ต่างคนต่างถ่มน้ำลายใส่กันก็ยังเคยมี

ได้เหล้ามาแล้ว เซียนกระบี่จ้าวเก้ออี๋ก็ยกมือข้างที่ทำมุทรากระบี่ขึ้นเล็กน้อย ประหนึ่งเซียนเหรินยกลำน้ำสายยาวขึ้น ขยับปราณกระบี่ที่ขวางทางขึ้นสูง แล้วจ้าวเก้ออี๋ก็พูดเสียงขุ่นว่า “เห็นแก่เหล้านี่หรอกนะ”

พวกชุยตงซานสามคนกระโดดลงจากหัวกำแพง เดินเนิบช้าไปเบื้องหน้า เฉาฉิงหล่างเงยหน้าขึ้นมองปราณกระบี่ที่เข้มข้นเหมือนกระแสน้ำไหลที่อยู่เหนือหัวเส้นนั้น บนใบหน้าของเด็กหนุ่มถูกแสงสาดส่องจนเป็นประกายระยิบระยับ

เผยเฉียนหลบอยู่ข้างกายชุยตงซาน กระตุกชายแขนเสื้อของห่านขาวใหญ่ “รีบเดินเร็วเข้าสิ”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ อย่าทำให้อาจารย์พ่อของเจ้าต้องขายหน้าสิ”

เผยเฉียนกำไม้เท้าเดินป่าไว้แน่น ก่อนจะวางมาดเดินกำเริบเสิบสานแม้แต่ผีปีศาจยังกลัว เพียงแต่ว่ามือเท้าค่อนข้างจะแข็งทื่อไปสักหน่อย

เดินผ่านลำธารเหนือศีรษะสายนั้นมาไกลแล้ว เผยเฉียนที่ตกใจกลัวแทบตายก็เตะเข้าที่น่องเล็กของห่านขาวใหญ่

ทั้งๆ ที่ไม่ได้ออกแรงมาก แต่ร่างทั้งร่างของห่านขาวใหญ่กลับหมุนตลบอยู่กลางอากาศ พอกระแทกลงพื้นก็งอตัวกอดเข่ากลิ้งหลุนๆ ไปตามพื้น

เผยเฉียนสนิทกับห่านขาวใหญ่มานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเรื่องนี้เลย ดังนั้นเผยเฉียนจึงหันขวับไปมองเฉาฉิงหล่างทันใด

เฉาฉิงหล่างมองตรงไปเบื้องหน้า “ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

เผยเฉียนผ่อนลมหายใจโล่งอก จากนั้นก็ยิ้มตาหยีถามว่า “เมื่อครู่นี้เจ้ามองเห็นปลาที่ว่ายอยู่ในลำธารไหม? ตัวไม่ใหญ่เท่าไร ตัวหนึ่งสีทอง อีกตัวหนึ่งสีดำ?”

เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า

เผยเฉียนกระตุกมุมปาก “หึหึ ยังคงเป็นผู้ฝึกตนอยู่สินะ”

เฉาฉิงหล่างไม่เห็นเป็นสำคัญ

เกี่ยวกับข้อที่ว่าคุณสมบัติของตัวเองเป็นเช่นไร เฉาฉิงหล่างรู้ดีอยู่แก่ใจ เหตุใดปีนั้นมารร้ายติงอิงถึงได้เลือกมาพักอยู่ในเรือนที่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวน แล้วเหตุใดสุดท้ายถึงได้เลือกเรือนพักของเฉาฉิงหล่าง ในอดีตอาจารย์จ้งได้อธิบายต้นสายปลายเหตุทั้งหมดให้เขาฟังอย่างละเอียดแล้ว แรกเริ่มสุดนั้นติงอิงเดาว่า ‘ตัวอ่อนเมล็ดพันธ์’ ทั้งหลายที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของสตรีปรมาจารย์ใหญ่แห่งเรือนจิ้งซินผู้นั้น ก็มีเขาเฉาฉิงหล่างเป็นคนหนึ่งในนั้น

เวลานั้นใต้หล้าของบ้านเกิดมีปราณวิญญาณบางเบา คนที่สามารถเรียกได้ว่าฝึกตนบรรลุมรรคาจนกลายเป็นเซียนได้อย่างแท้จริง มีเพียงอวี๋เจินอวี้เซียนขี่กระบี่ที่รูปโฉมกลับคืนเป็นเด็กซึ่งเป็นบุคคลอันดับหนึ่งรองจากติงอิงเท่านั้น แต่ในเมื่อตนสามารถถูกมองเป็นเมล็ดพันธ์ผู้ฝึกตนได้ เฉาฉิงหล่างก็จะไม่ดูถูกตัวเองเด็ดขาด แน่นอนว่ายิ่งไม่มีทางประมาท ในความเป็นจริงแล้วเมื่อพื้นที่มงคลดอกบัวถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน น้ำค้างรสหวานพร่างพรมจากฟากฟ้า ปราณวิญญาณประหนึ่งสายฝนที่พรำลงบนโลกมนุษย์ เมล็ดพันธ์ผู้ฝึกตนทั้งหลายที่เดิมทีล่องลอยไม่หยุดนิ่งอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาก็เริ่มแตกหน่อ ผลิดอกออกผลอยู่บนผืนดินที่เหมาะแก่การฝึกตน

แต่ก็เหมือนอย่างที่อาจารย์ลู่ซึ่งเป็นผู้ที่แอบถ่ายทอดวิชาตระกูลเซียนให้แก่เขาในภายหลังเอ่ย มีพรสวรรค์ฐานกระดูกที่ฟ้าดินเป็นผู้สร้างพ่อแม่เป็นผู้เลี้ยงดู นั่นก็เป็นแค่ก้าวแรกเท่านั้น เมื่อได้รับโชควาสนาได้ยืนอยู่ตรงตีนเขา นั่นจึงจะเป็นก้าวที่สอง หลังจากนี้ยังมีทางเดินขึ้นเขาที่ยาวไกลเป็นพันเป็นหมื่นก้าวให้ก้าวเดิน ขอแค่เจ้าเดินด้วยฝีเท้าที่มั่นคงมากพอก็มีหวังที่จะออกไปตามหาเฉินผิงอัน ถึงจะมีโอกาสเอ่ยขอบคุณเขา ถามเขาว่าเวลาหลังจากนี้ร้อยปีพันปี เฉาฉิงหล่างจะสามารถเดินไปบนมหามรรคาเส้นเดียวกับเขาได้หรือไม่

ชุยตงซานมองเผยเฉียนที่เป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ในนามแวบหนึ่ง

เผยเฉียนสามารถอาศัยพรสวรรค์มองความคิดจิตใจของคนอื่น แต่เขาชุยตงซานไม่ได้มีความสามารถเพียงแค่นี้ เขาไม่เพียงแต่มองใจคนออก ยังรู้ไปถึงส่วนลึกในใจของคนอื่นซึ่งคนผู้นั้นเองไม่เคยรู้

ความทรงจำ การฝึกยุทธ ฝึกปราณกระบี่สิบแปดหยุด รวมไปถึงการคัดตัวอักษรที่แม้จะได้เห็นสัจธรรมยิ่งใหญ่ก็ยังไม่เคยรู้ตัวของเผยเฉียน จนกระทั่งถึงการเรียนวิชาหมากล้อมกับเขาบนเรือข้ามฟาก

ความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่า ขอแค่เป็นเรื่องที่เผยเฉียนยินดีจะทำ นางสามารถทำได้ดียิ่งกว่าใคร ขอแค่นางอยากเรียน ตั้งใจสืบเสาะค้นหาอย่างแท้จริง นางก็จะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว

แต่นี่ยังไม่ถือเป็นความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของเผยเฉียน

จุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเผยเฉียนนั้นอยู่ที่การตัดขาดความคิดทุกอย่าง อีกทั้งยังไม่คิดอะไรเกี่ยวกับการสร้างด่านขึ้นมาบนเส้นทางหัวใจตัวเอง ‘ข้าไม่ยินดีจะคิดให้มากความ ความคิดก็จะไม่บังเกิด’ การแสดงออกที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็ยกตัวอย่างเช่นว่าหลังจากปีนั้นเผยเฉียนได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาถึงภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนก็เริ่มหยุดการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นส่วนสูงหรือจิตใจ ก็ดูเหมือนว่าจะ ‘หยุด’ อยู่ตรงนั้น

ตัวไม่สูงขึ้นเสียที และยังคงเป็นถ่านดำน้อยอยู่เหมือนเดิม

ถ้าเช่นนั้นการไร้ทุกข์ไร้กังวลของเผยเฉียนก็คือการไร้ทุกข์ไร้กังวลจริงๆ

ขอแค่เป็นเส้นทางที่ไร้ด่านขัดขวาง ความคิดและจิตใจของเผยเฉียนก็จะอยู่ในขอบเขตน่าตะลึงที่ฟ้าดินไร้พันธนาการ เพียงชั่วพริบตาก็เดินไปได้ไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้

วานรและม้าพยศในใจไม่อาจกักขัง ไม่อาจพันธนาการ? ผู้ฝึกตนที่ระมัดระวังรอบคอบก็เหมือนกับบัณฑิตอ่อนแอที่เดินโซเซไปเบื้องหน้า บนเส้นทางสายใหญ่มีอันตรายอยู่มากมาย มีโจรซุ่มตัวอยู่ข้างทาง แต่สำหรับเผยเฉียนแล้ว นางไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้เลย

จนกระทั่งเริ่มฝึกหมัดจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกแผ่นฟ้าคว่ำแผ่นดิน ตัวสูงอย่างรวดเร็ว เริ่มเติบใหญ่แบบรุดหน้าอย่างที่ใครก็มิอาจสกัดขวาง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความสุดโต่งอีกอย่างหนึ่ง

นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่กลับมีปัญหาและภัยร้ายที่ไม่เล็กซ่อนแฝงอยู่ เพราะ ‘เผยเฉียนที่เป็นผู้ใหญ่’ ในใจของเผยเฉียนก็เป็นแค่ ‘ลูกศิษย์เผยเฉียน’ ในใจของอาจารย์ของนางตามความคิดนางเท่านั้น

นี่จึงเป็นเหตุให้ในบางระดับ การหยุดนิ่งนี้ของเผยเฉียนจึงไม่ใช่การหยุดนิ่งที่แท้จริง และความคิดจิตใจเช่นนี้ของเผยเฉียนก็ไม่ใช่ความคิดที่แท้จริง

บนทางสายนี้ นางเดินเร็วเกินไป ราวกับขี่เมฆทะยานหมอก บนทะเลสาบหัวใจของนางมีเพียงหอเรือนกลางอากาศที่ยังไม่เชื่อมติดกับแผ่นดินอยู่หลังเดียวเท่านั้น

หากไม่เป็นเพราะอาจารย์พ่อของนางจงใจพานางเดินเท้าขึ้นเขาลงห้วยไปด้วยกัน ต่างคนต่างถือไม้เท้าเดินป่าสะพายหีบไม้ไผ่ เดินไปอย่างระมัดระวัง นำหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายที่สุดและกฎเกณฑ์ที่ธรรมดาสามัญที่สุดมาใส่ไว้ใน ‘หีบหนังสือใบเล็กในหัวใจ’ ของนาง เผยเฉียนก็จะเหมือนประทัดที่อาจระเบิดได้ทุกเมื่อ ถ้าเช่นนั้นในอนาคตยิ่งนางเรียนวิชาหมัดมากเท่าไหร่ เดินไปบนเส้นทางของวิถีวรยุทธได้ไกลเท่าไหร่ อานุภาพของประทัดที่ระเบิดก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น มีความเป็นไปได้มากว่าสักวันหนึ่งเผยเฉียนจะแหย่รังแตนรังใหญ่เทียมฟ้า ทำร้ายคนอื่นแล้วยังทำร้ายตัวเอง

ตอนนี้เผยเฉียนเปลี่ยนไปเยอะมาก ดังนั้นอาจารย์จึงไม่กลัวว่าเผยเฉียนจะเป็นฝ่ายทำผิดอีกแล้ว ต่อให้นางท่องไปในยุทธภพเพียงลำพัง อันที่จริงอาจารย์ก็ไม่ค่อยเป็นกังวลว่านางจะทำร้ายคนอื่นก่อน กลัวก็แต่ว่าเป็นคนอื่นที่ทำผิด อีกทั้งยังเป็นความผิดที่ชัดเจนอย่างมาก และขอแค่เผยเฉียนอดทนไม่ไหว ก็จะใช้ความผิดของข้าที่ใหญ่ยิ่งกว่าข่มทับความผิดเล็กๆ ของผู้อื่น นี่ต่างหากจึงจะเป็นผลลัพธ์ที่ชวนให้กลุ้มใจมากที่สุด

อาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้แก่ลูกศิษย์ เป็นเรื่องที่ง่ายดายจริงๆ หรือ?

ใต้หล้าไพศาลซับซ้อนแค่ไหน ความเป็นความตายมีมากเท่าไร ไม่ใช่เรื่องในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดที่มีแต่หมาเห่าไก่ขันเท่านั้น แต่ต้องมีฟ้าถล่มดินทลาย มีน้ำแม่พลิกมหาสมุทรตลบ มีเหตุไม่คาดฝันมากมายที่แม้แต่เขาเฉินผิงอันก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าดีหรือเลว หากเผยเฉียนเจอกับมันเข้า เฉินผิงอันจะกล้าวางใจจริงๆ ได้อย่างไร

อาจารย์ต้องฝึกฝนจิตใจเพื่อลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาคนนี้มากจริงๆ

เพียงไม่นานพวกเขาก็เดินผ่านผู้ฝึกกระบี่กลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งฝึกกระบี่กันอยู่บนพื้น จากนั้นเผยเฉียนก็ตาแหลมหันไปเห็นสตรีชนชั้นสูงของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ชื่ออวี้เจวี้ยนฟู นางกำลังนั่งอยู่บนหัวกำแพงด้านหน้า อวี้เจวี้ยนฟูไม่ได้ฝึกกระบี่ เพียงแค่นั่งกินแผ่นแป้งย่างอยู่ตรงนั้น

ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เขายืดอกตรง เดินด้วยท่าสายตามีเพียงท้องฟ้าไม่เห็นหัวใคร ไม่แย่ไปกว่าท่าประจำของศิษย์พี่หญิงใหญ่ตัวเองแม้แต่น้อย

เผยเฉียนไม่รู้ว่าห่านขาวใหญ่คิดอะไรอยู่ แต่ได้เจอผู้ฝึกกระบี่ทีเดียวมากมายขนาดนี้ คงจะใจสั่นแต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่กลัวกระมัง

อันที่จริงความประทับใจที่เผยเฉียนมีต่ออวี้เจวี้ยนฟูไม่นับว่าเลวร้าย เพราะอวี้เจวี้ยนฟูคนนี้นับว่าใจกว้างไม่น้อย

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ตอนนั้นอวี้เจวี้ยนฟูพ่ายแพ้ในการถามหมัด ถูกอาจารย์กดหัวกระแทกเข้ากับกำแพงก็ยังไม่เห็นว่านางจะโกรธ

หากเฉินยวนจีและป๋ายโส่วต่างก็ใจกว้างเช่นนี้ได้ก็คงจะดี