บทที่ 608.2 อาจารย์ลุงใหญ่ออกกระบี่ ศิษย์พี่เล็กเล่นหมากล้อม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หัวกำแพงเมืองกว้างมากพอ อวี้เจวี้ยนฟูไม่เงยหน้า เพียงแค่ทอดสายตามองไปยังฟ้าดินกว้างใหญ่ทางทิศใต้เท่านั้น

พวกเผยเฉียนที่ในมือของแต่ละคนมีไม้เท้าเดินป่าทยอยกันเดินผ่านไป

ห่างจากอวี้เจวี้ยนฟูไปไม่ไกลยังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังอ่านหนังสืออยู่

เผยเฉียนขมวดคิ้ว

เหยียนลวี่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรที่นั่งอยู่บนเบาะกำลังรับฟังวิชากระบี่ที่เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเป็นผู้ถ่ายทอดหันมองคนทั้งสามแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่มองอีก

ว่ากันว่าเป็นพวกเดียวกันกับเฉินผิงอันผู้นั้น ดูจากท่าทางแล้วก็เหมือนอยู่จริงๆ

ชุยตงซานชำเลืองตามองหนังสือในมือของเด็กหนุ่มแล้วพยักหน้าพร้อมกับอมยิ้ม ดีมาก ถือเป็นศิษย์ลูกศิษย์หลานของตนครึ่งตัวแล้ว

พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างเล็กน้อย

หลินจวินปี้ปิดหนังสือลง เงยหน้ามองคนทั้งสามแล้วยิ้มบางๆ

ชุยตงซานส่งยิ้มกลับคืน เผยเฉียนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เฉาฉิงหล่างพยักหน้าทักทายกลับคืน

แน่นอนว่าเฉาฉิงหล่างต้องรู้ตัวตนของคนผู้นี้แล้ว ตอนที่อาจารย์แกะสลักตัวอักษรอยู่ในเรือนได้เล่าเรื่องศึกเฝ้าด่านสองครั้งให้ฟังง่ายๆ ไม่พูดถึงความดีความเลว เพียงแค่อธิบายถึงความคิดและการลงมือช้าเร็วของทั้งฝ่ายเฝ้าด่านและฝ่ายโจมตีด่านเท่านั้น

คนทั้งสามจากไปไกล

หลินจวินปี้อ่าน ‘ตำราเมฆหลากสี’ ต่ออีกครั้ง

อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แม้เขาจะไม่ยินดีฝ่าทะลุขอบเขตรวดเดียวติดกัน ดังนั้นขอบเขตในเวลานี้จึงยังไม่สูง แต่กระนั้นภายใต้การถ่ายทอดวิชาความรู้ของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย เขาก็ยังรับหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาครึ่งตัวให้กับสหาย อีกทั้งเขาที่ฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่เพียงคนเดียวที่สามารถคว้าจับปณิธานกระบี่โบราณบริสุทธิ์เสี้ยวหนึ่ง อีกทั้งยังรั้งมันไว้ในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญได้อีกด้วย ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดซึ่งมีเหยียนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิง จูเหมยเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็เคยคว้าจับปณิธานกระบี่ที่โผล่มาแค่แวบเดียวก็หายไปได้ เหยียนลวี่ยังจับได้มากกว่าหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจรั้งเอาไว้ได้อยู่ หลินจวินปี้ไม่เคยแพร่งพรายความลับสวรรค์ เซียนกระบี่ขู่เซี่ยนั้นรู้ดี แต่ก็ไม่เคยพูดออกมาเช่นกัน

หลินจวินปี้คิดว่ารอให้รวบรวมปณิธานกระบี่ที่เซียนกระบี่ยุคบรรพกาลทิ้งไว้ให้ครบสามเสี้ยวเสียก่อน หากยังไม่มีใครทำสำเร็จ เขาถึงจะบอกว่าตัวเองได้รับปราณกระบี่ส่วนหนึ่งมา ถือว่าเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขา หลีกเลี่ยงไม่ให้ปณิธานในการฝึกกระบี่ดิ่งลงเหว

ทุกครั้งที่คนทั้งสามเดินไปถึงจุดที่ไร้ผู้คน ชุยตงซานก็จะเพิ่มความเร็วฝีเท้า เผยเฉียนสามารถตามไปได้ทัน อีกทั้งลมหายใจยังราบรื่นผ่อนคลายอย่างถึงที่สุดอีกด้วย

ทว่าเฉาฉิงหล่างกลับเป็นคนที่ต้องยากลำบากกว่าใคร

เดินอยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วยังต้องเดินตามชุยตงซานกับเผยเฉียนที่เดินเร็วราวกับ ‘บิน’ แน่นอนว่าต้องทรมานยิ่งกว่าการเดินเนิบช้าทำสมาธิอยู่ในจวนหนิงมากนัก

บางครั้งชุยตงซานจะหยุดเดิน ให้เฉาฉิงหล่างนั่งพักนิ่งๆ อยู่สักชั่วยาม

เผยเฉียนที่เบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำจะฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนหัวกำแพงเมือง เท้าคางมองไปทางทิศใต้ หวังว่าจะได้เห็นปีศาจใหญ่สักตัวสองตัว แน่นอนว่าให้นางได้เห็นแค่แวบเดียวก็พอแล้ว ทั้งสองฝ่ายอย่าได้ทักทายกันเลย ไม่ใช่ญาติไม่ใช่มิตรไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกันเสียหน่อย รอให้นางกลับไปถึงใต้หล้าไพศาล แล้วกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วที่เป็นบ้านเกิดเมื่อไหร่ก็จะได้มีเรื่องไปเล่าให้หน่วนซู่และหมี่ลี่ฟังแล้ว นางจะเล่าว่า เจ้าพวกปีศาจใหญ่ตัวดีพวกนั้น ยืนอยู่ด้านนอกหัวกำแพง ใกล้กับนางในระยะประชิด พวกเขาจ้องตากันไปมา แต่นางกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย นางยังต้องชะเง้อคอออกไปมองถึงจะมองเห็นหัวของปีศาจใหญ่ สุดท้ายยังใช้ไม้เท้าเดินป่าร่ายวิชากระบี่มารคลั่งขู่ให้พวกมันกลัวไปหนึ่งคำรบ

น่าเสียดายที่เดินอยู่บนหัวกำแพงมาหลายวัน นางก็ยังไม่เคยได้เห็นปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแม้แต่ตนเดียว

เผยเฉียนที่นอนฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพงเมืองจึงถามชุยตงซานว่าเหตุใดปีศาจใหญ่อะไรนั่นถึงได้ขี้ขลาดนัก

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่าไม่มีปีศาจใหญ่ แต่เป็นเพราะมีกระบี่บินของเซียนกระบี่ใหญ่เซียนกระบี่อาวุโสบางท่านบินไปถึง เมื่อเทียบกับจุดที่สายตาของเจ้ามองเห็นแล้วยังไกลกว่ามากนัก”

เผยเฉียนหันหน้ามาถาม “อาจารย์ลุงใหญ่ต้องเป็นคนหนึ่งในนั้นด้วยใช่ไหม?”

ชุยตงซานเหลือกตาทำหน้าผี นั่งขัดสมาธิ เรือนกายสั่นยะเยือก

เผยเฉียนเอ่ยเบาๆ ว่า “อาจารย์ลุงใหญ่ตีเจ้าจริงๆ หรือ? วันหน้าข้าจะตำหนิอาจารย์ลุงใหญ่ให้เอง เจ้าอย่าได้อาฆาตแค้นเลย เข้าประตูบานเดียวกันได้ก็คือคนบ้านเดียวกัน พวกเราไม่จุดธูปขอบคุณคุณพระคุณเจ้าก็ถือว่าผิดมากแล้ว”

เพราะชุยตงซานไม่ชอบกราบไหว้พระโพธิสัตว์ ต่อให้จะเข้าวัดน้อยใหญ่เป็นเพื่อนนาง แต่ชุยตงซานก็ไม่เคยพนมมือไหว้พระ ยิ่งไม่มีทางคุกเข่าโขกหัวคำนับ

เผยเฉียนก็เลยแอบช่วยไหว้พระแทนเขา บอกกับพระโพธิสัตว์เบาๆ ว่าอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองเลย

อันที่จริงบนหัวกำแพงนี้ก็คือบนฟ้าแล้ว

บนฟ้ามีลมแรง พัดให้ชุดสีขาวของชุยตงซานปลิวสะบัด จอนผมสองข้างก็ปลิวไปตามสายลม

อยู่ดีๆ ก็นึกถึงการเดินทางทัศนศึกษาในปีนั้นขึ้นมา

มีจำนวนคนมากกว่า อีกทั้งทุกคนยังมีหีบไม้ไผ่

จำได้ว่าตอนนั้นชุยตงซานจงใจเล่าให้พวกเป่าผิงฟังถึงเรื่องราวของผู้ถือตนสันโดษที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในประวัติศาสตร์ทั้งหลาย

ตอนนั้นหลี่ไหวฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ เพียงแค่จดจำเอาไว้แล้ว นี่ก็คือเด็ก อย่างมากสุดก็คงแค่รู้สึกว่าเดิมทีวิถีทางโลกก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วกระมัง

ทว่าใบหน้าของเซี่ยเซี่ยกลับเต็มไปด้วยความดูแคลน นี่ก็คือความคิดปกติทั่วไปของเด็กหนุ่มเด็กสาว รู้สึกว่าวิถีทางโลกก็เป็นเช่นนี้ ในความเป็นจริงแล้วต่อให้เป็นคนที่อายุมากกว่านี้ก็ยังจะรู้สึกเช่นนี้อยู่ดี

แต่หลินโส่วอีกลับบอกว่าผู้ถือตนสันโดษที่แท้จริงต้องไม่มีคนบนโลกรู้จัก ยิ่งไม่มีทางมาปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือ เหตุใดถึงต้องลดค่าของ ‘ผู้ถือตนสันโดษ’ เช่นนี้ด้วย

ส่วนแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนนั้น คือคนที่คิดไปไกลมากที่สุด บอกว่าต้องดูที่ว่าผู้ถือตนสันโดษบนหน้าหนังสือกับผู้ถือตนสันโดษที่ไม่รู้ชื่อมีจำนวนฝ่ายละเท่าไร ถึงจะสามารถได้ข้อสรุปที่ถูกต้องชัดเจน

ส่วนเด็กหนุ่มรองเท้าสานที่เวลานั้นยังไม่ถือว่าเป็นอาจารย์ของตนก็ทำเพียงแค่นั่งฟังอยู่ข้างกองไฟเงียบๆ จดจำความคิดของทุกคนเอาไว้ บางครั้งก็เติมฟืนแห้งเข้าไปในกองไฟ

ชุยตงซานใช้สองมือกุมไม้เท้าเดินป่า ยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ไข่มุกเนื้อไม้ลูกเล็กที่อาจารย์ของข้ามอบให้เจ้า เก็บไว้ดีแล้วหรือยัง”

เผยเฉียนกลอกตา “คำพูดไร้สาระพูดให้น้อยหน่อย น่ารำคาญจริงๆ”

จากนั้นเผยเฉียนก็พลันคลี่ยิ้ม หมุนตัวกลับ หันหลังให้ทางทิศใต้ หยิบถุงเงินออกมาอย่างระมัดระวัง ด้านในคือไข่มุกไม้เม็ดหนึ่งที่ไม่ถือว่ากลมกลึงมากนัก

วันนั้นตนสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ ช่วยอาจารย์คิดหาวิธีการใหม่ๆ ในการหาเงิน อาจารย์จึงตกรางวัลตน บอกว่าให้นางเก็บไว้ให้ดี อาจารย์เก็บรักษาอย่างดีมานานหลายปีแล้ว หากหายไป รับรองว่าได้กินมะเหงกจนเต็มอิ่มแน่

ทุกคำสั่งสอนของอาจารย์ต้องเงี่ยหูตั้งใจฟัง

ชุยตงซานถาม “รู้ประวัติความเป็นมาของไข่มุกเม็ดนี้ไหม?”

เผยเฉียนส่ายหน้า แบฝ่ามือออก ในมือประคองไข่มุกเนื้อไม้ที่ฝีมือแกะสลักค่อนข้างหยาบนั้นเอาไว้ บนพื้นผิวยังมีรอยเส้นเอียงๆ อีกหลายรอย ราวกับว่าคนที่ทำไข่มุกไม้เม็ดนี้ฝีมือไม่ค่อยดี สายตาก็ไม่ค่อยได้เรื่องเช่นกัน

เพียงแต่อาจารย์มอบให้ ต่อให้มีทองหมื่นชั่งก็ยากจะหาซื้อได้ และต่อให้เอาทองมาร้อยล้านชั่งก็ไม่ขาย

เฮ้อ หากไม่เป็นเพราะฝีมือการแกะสลักแย่ไปสักหน่อย ไม่อย่างนั้นในศาลบรรพจารย์เล็กๆ ของนาง และในใจนาง ไข่มุกเม็ดนี้ก็จะมีตำแหน่งสูงส่งเทียบเท่ากับไม้เท้าเดินป่าบวกกับหีบไม้ไผ่ใบเล็กได้แล้ว

ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “เจ้าของเล่นเล็กๆ ชิ้นนี้ เมื่อเทียบกับมีดแกะสลักเล่มที่เฉาฉิงหล่างได้มา อาจารย์ของเจ้าเก็บรักษาเป็นอย่างดีมานานกว่าเสียอีก”

เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “ไข่มุกน้อยมีเรื่องราวยิ่งใหญ่หรือ?”

ชุยตงซานส่ายหน้า “ไม่ได้มีเรื่องราวยิ่งใหญ่อะไร ไข่มุกน้อยเรื่องราวเล็กๆ”

เผยเฉียนเอ่ย “พูดจาครึ่งๆ กลางๆ ไม่ถือเป็นวีรบุรุษ รีบพูดให้จบเลยนะ!”

ชุยตงซานลูบไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวที่วางไว้บนหัวเข่าเบาๆ เอ่ยว่า “เป็นช่วงเวลายามเด็กที่อาจารย์พ่อของเจ้าออกไปเก็บสมุนไพร เขาฟันต้นไม้ต้นหนึ่ง สะพายตะกร้าไว้บนหลังพร้อมกับแบกมันลงมาจากภูเขา พอมาถึงที่บ้านก็ทำสร้อยประคำเส้นหนึ่งให้กับพระโพธิสัตว์ ครั้งสุดท้ายที่ไปไหว้พระโพธิสัตว์ในสุสานเทพเซียนจึงเอาไปแขวนไว้บนมือของพระโพธิสัตว์ ภายหลังก็ไม่ได้ไปเยือนที่นั่นอีกนาน ตอนที่ไปเยือนอีกครั้ง เนื่องจากผ่านลมผ่านฝนผ่านหิมะมามากมาย บนมือของพระโพธิสัตว์จึงไม่มีสร้อยลูกประคำนั้นเหลืออยู่แล้ว อาจารย์พ่อของเจ้าเก็บลูกประคำนี้มาจากบนพื้นได้แค่ลูกเดียว ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้างกายของอาจารย์พ่อจึงเหลือแค่ลูกประคำลูกนี้เท่านั้น ถูกเก็บซ่อนไว้ในไหเล็กๆ ใบหนึ่งตลอดเวลา ทุกครั้งที่ออกจากบ้านก็ตัดใจเอาติดตัวไปด้วยไม่ได้ เพราะกลัวว่าจะทำหาย ดังนั้นอาจารย์พ่อบอกให้เจ้าตั้งใจเก็บรักษาไว้ให้ดี เจ้าก็ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีจริงๆ”

เผยเฉียนกำมือแน่น ก้มหน้าลง

ในภาพม้าวิ่งแห่งแม่น้ำกาลเวลานั้น ม้วนภาพของเรื่องราวเล็กๆ นี้ ปีนั้นชุยตงซานจงใจตัดออก ตั้งใจไม่ให้นางได้เห็น

ชุยตงซานเอ่ยต่อว่า “ตอนที่อาจารย์ยังเด็ก ขอพรพระโพธิสัตว์แล้วได้ผลหรือไม่? น่าจะถือว่าไม่ได้ผลมากกว่ากระมัง ตอนนั้นอาจารย์เพิ่งจะตัวแค่นั้น เคยเรียนหนังสือมาก่อน เคยรู้จักตัวอักษรไหม? แต่ชีวิตนี้ของอาจารย์เคยโทษคนบ่นฟ้าเพราะความทุกข์ยากที่ตัวเองต้องเผชิญบ้างหรือไม่? อาจารย์เดินทางไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ เคยมีใจคิดทำร้ายคนอื่นไหม? ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าวางตัวอยู่ร่วมกับคนบนโลกโดยเลียนแบบอาจารย์ไปเสียทุกเรื่อง ไม่มีความจำเป็น อาจารย์ก็คืออาจารย์ เผยเฉียนก็คือเผยเฉียน ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ว่า ถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็ยังคงมีความงดงามที่ไม่เคยมีใครรู้ ต่อให้พวกเราเบิกตากว้างแค่ไหน บางทีอาจจะมองไม่เห็น อาจจะไม่เคยล่วงรู้ไปตลอดชีวิต ดังนั้นพวกเราจึงไม่อาจเห็นแค่ความไม่ดีงามเท่านั้น”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “มนุษย์ธรรมดาไหว้พระขอพรพระโพธิสัตว์ ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้า พระโพธิสัตว์ถือลูกประคำเอาไว้ กำลังขอพรกับใครอยู่กันแน่?”

ชุยตงซานถามเองตอบเอง “ก็แค่ขอพรตัวเองเท่านั้น”

เฉาฉิงหล่างพลันเปิดปากเอ่ยว่า “กรอบป้ายมหาบัณฑิตในเมืองเล็กบ้านเกิดของอาจารย์ก็มีกรอบป้ายคำว่า ‘ไม่แสวงหาสิ่งนอกกาย’ อยู่”

เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ “หลักการเหตุผลมากมาย เดิมทีก็เชื่อมโยงถึงกัน ความรู้ของลัทธิขงจื๊อพวกเรา อันที่จริงก็มีขั้นตอนที่แสวงหาสิ่งที่อยู่ภายในตัวเองแล้วขยับเข้าไปในจุดที่ลึกกว่าเดิม ปัญหาก็มีเหมือนกัน นั่นก็คือการอ่านหนังสือการเรียนหนังสือในอดีตมีธรณีประตูใหญ่อยู่ ผู้ที่สามารถเรียนหนังสือศึกษาหาความรู้ได้นั้น ส่วนใหญ่มักจะมีฐานะทางบ้านที่ไม่เลว ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยในหมู่ชาวบ้าน แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปงัดข้อกับผลได้ผลเสียที่อยู่ระดับล่างมากเกินไป เพียงแต่ว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่าน ยิ่งบัณฑิตมีมาก ความรู้ในอดีตก็ยิ่งไม่พอให้ใช้ เพราะหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์แค่สอนให้เจ้าเดินไปยังจุดสูงเท่านั้น ไม่ได้สอนเจ้าว่าควรจะหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างไร ไม่มีทางสอนเจ้าว่าควรจะต่อสู้กับความคิดในใจที่เหมือนต่อยตีกับคนชั่วอย่างไร ประโยคที่ว่า ‘ใกล้ชิดวิญญูชน ห่างไกลคนถ่อย’ แค่หกคำนี้ พอให้พวกเราที่เป็นคนรุ่นหลังใช้หรือ? ข้าว่าหลักการเหตุผลนั้นดีมากพอ แต่กลับไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไร”

“บัณฑิตแทบทุกรุ่นมักจะรู้สึกว่าวิถีทางโลกที่ตนเผชิญอยู่ในปัจจุบันไม่ค่อยดี จึงด่าฟ้าด่าดิน โทษตัวเองตำหนิคนอื่น นั่นเป็นเพราะว่าตัวเองอ่านหนังสือมามากแล้ว พออายุเยอะหน่อย เส้นทางชีวิตยาวหน่อย เห็นเรื่องไม่ดีงามมามากยิ่งกว่าเดิม ความเข้าใจที่มีต่อความทุกข์ยากก็ยิ่งลึกล้ำ ถึงมีความเข้าใจในแง่ลบเช่นนี้? แท้จริงแล้ววิถีทางโลกไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้แย่ลงสักเท่าไรหรือไม่? ความเป็นไปได้พวกนี้ ควรจะต้องลองตรองดูให้มากขึ้นหรือไม่? ในความเป็นจริงแล้วความทุกข์ยากที่มากกว่านั้นไม่มีใครพูดออกมา และไม่มีเขียนไว้ในหนังสือ ต่อให้เขียนแล้วตัวอักษรก็มีไม่มาก”

“บุคคลและเรื่องราวที่ดีงาม เมื่อเทียบกับความเจ็บทางกายแล้ว นับแต่โบราณมาก็ดูเหมือนว่าอย่างแรกจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอย่างหลัง อีกทั้งฝ่ายหลังยังมักจะใช้จำนวนน้อยต่อกรกับจำนวนมาก แต่กลับเอาชนะได้ทุกครั้ง”

เผยเฉียนเงียบงัน

เฉาฉิงหล่างหยุดการฝึกตน เริ่มหันมาฝึกฝนจิตใจ

ชุยตงซานมีสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่ใช่ว่าหลักการเหตุผลไม่ดีแล้วก็ไม่ถูกต้อง แต่เป็นเพราะดีเกินไปและถูกต้องเกินไปก็เลยทำได้ยาก เมื่อทำไม่ได้ก็มักจะมีคนมากมายที่ไม่ได้ตำหนิคนและเรื่องราวไร้เหตุผลที่อยู่ข้างกาย แต่กลับหันไปโทษหลักการเหตุผลและอริยะปราชญ์แทน เพราะอะไร? เพราะหลักการเหตุผลบนตำราพูดไม่ได้ หากอริยะปราชญ์ได้ยินเข้าก็ไม่มีทางทำอะไร จะทำอย่างไร? นี่ก็เลยมีถ้อยคำเก่าแก่ที่มีความหมายกลางๆ มากมายปรากฏขึ้น รวมไปถึง ‘คำสุภาษิต’ อีกมากมายหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่นประโยคที่ว่ายินดีหาเรื่องวิญญูชน แต่ไม่คิดหาเรื่องคนถ่อย มีเหตุผลไหม? ดูเหมือนว่าหากคิดให้ลึกซึ้งก็มักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ไม่มีหรือ? จะไม่มีได้อย่างไร ใต้หล้านี้คนแทบทุกคนล้วนเป็นต้องใช้ชีวิตแต่ละวันให้ผ่านพ้นไป กำลังทรัพย์ควันธูปทั้งหมดล้วนเกิดจากการสั่งสมเหรียญทองแดงทีละเหรียญ ดังนั้นพอคิดเช่นนี้ ประโยคนี้ก็มีค่าดุจทองคำดุจหยกจริงๆ”

ชุยตงซานเอนตัวนอนหงายไปด้านหลัง “ข้ารำคาญพวกคนที่ฉลาดแต่ฉลาดไม่พอพวกนั้นที่สุด ในเมื่อทำลายกฎและได้รับผลประโยชน์ไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ควรหุบปากแล้วเสพสุขกับผลประโยชน์ที่อยู่ในกระเป๋าตัวเองให้ดีเถอะ ยังจะออกมาโอ้อวดความฉลาดน้อยนิดอีก พอข้าเห็นเข้า…เผยเฉียน เฉาฉิงหล่าง พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าช่วงแรกเริ่มสุด ศิษย์พี่เล็กของเจ้าที่อยู่อีกปลายด้านหนึ่งของอารมณ์และจิตใจ คิดอย่างไร?”

เผยเฉียนส่ายหน้า

เฉาฉิงหล่างตอบ “ไม่กล้าคิดหรอก”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “นั่นก็คือลากเอาทุกสรรพชีวิตในใต้หล้าให้นอนหลับไปพร้อมกับข้า”