บทที่ 608.3 อาจารย์ลุงใหญ่ออกกระบี่ ศิษย์พี่เล็กเล่นหมากล้อม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

มือหนึ่งของเผยเฉียนถือไข่มุกลูกประคำ อีกมือหนึ่งกระตุกชายแขนเสื้อของห่านขาวใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่กลับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”

เฉาฉิงหล่างเอ่ยปลอบใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ลืมไปแล้วหรือว่าศิษย์พี่เล็กพูดว่าอย่างไร ‘ช่วงแรกเริ่มสุด’ ความคิดหลายอย่างเกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนแปลงไป นั่นกลับกลายเป็นว่าจะเป็นการลด ‘หมื่นหนึ่ง’ นั้นอย่างแท้จริง”

“ในใจข้ามีคุณธรรมและความชื่นมื่นเบิกบาน จะสนไปไยว่าวิถีทางโลกเลอะเลือนแค่ไหน”

ชุยตงซานเอ่ยเยาะหยันตัวเอง “ชั่วชีวิตนี้เห็นความชั่วร้าย ความเห็นแก่ตัวของใจคนมามากมาย อย่าว่าแต่ตั้งใจมองไปเลย ต่อให้ไปหลบอยู่ไกลๆ ไม่ยอมรับรู้ก็ยังได้กลิ่นเหม็นเน่าของความชั่วร้ายโชยมาปะทะจมูก อีกทั้งปัญหายังอยู่ตรงนี้ ข้าดันชอบที่จะไปรับรสดมกลิ่นมัน แล้วยังมีความสุขกับการทำเช่นนั้น แต่ความอดทนของข้าก็มีไม่ค่อยมากเท่าไร ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงเป็นอาจารย์เป็นนักปราชญ์ที่แท้จริงไม่ได้ อย่าว่าแต่อาจารย์เลย แค่จ้งชิว ข้าก็ยังเปรียบเทียบด้วยไม่ได้”

ลองกลับมานึกย้อนดู ที่แท้ซิ่วไฉเฒ่าก็พูดถูกมาตั้งนานแล้ว ยอดฝีมือที่ศึกษาความรู้ได้อย่างลึกซึ้ง บางทีอาจมีเจ้าชุยฉาน ผู้ที่สามารถดูแลปกครองปวงประชา ก็อาจจะมีเจ้าชุยฉานอยู่เช่นกัน แต่คนที่สามารถสอนหนังสืออยู่ในโรงเรียน อีกทั้งยังทำได้ดีอีกด้วย ในสำนักของข้ามีเพียงเสี่ยวฉีกับเหมาเสี่ยวตงเท่านั้น

ชุยตงซานลุกขึ้นยืน “ไปชมทัศนียภาพกันต่อเถอะ ระหว่างฟ้าดินมีความงามมากมายรอข้านานเป็นพันเป็นหมื่นปี ไม่ควรจะทำให้มันผิดหวัง”

เฉาฉิงหล่างเข้าใจเหตุผลดี เขาจึงรีบลุกขึ้นยืนทันที

เผยเฉียนเก็บไข่มุกเม็ดนั้นลงไปอย่างระมัดระวัง ลุกขึ้นยืนอย่างอิดออด อันที่จริงนางอยากกลับไปบ้านของอาจารย์พ่อกับอาจารย์แม่มากแล้ว

เวลานี้คาดว่าคงเป็นนางคนเดียวที่ถูกปิดหูปิดตา

และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจ้งชิวถึงได้ ‘เดินเล่น’ อยู่บนลานประลองยุทธของจวนหนิงทั้งวันทั้งคืน

บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จุดที่ห่างจากที่นี่ไปไกลแสนไกล ภิกษุรูปหนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพัง พนมมือท่องภาษาธรรม

คนที่รู้เรื่องนี้ คาดว่าก็คงมีแต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าอย่างเฉินชิงตูแล้ว

จากนั้นเผยเฉียนก็เดินๆ หยุดๆ ไปตลอดทาง ผู้ฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ฝึกกระบี่อยู่บนหัวกำแพงเมืองก็ได้เห็นแล้ว เพียงแต่ว่ามีแค่อาจารย์หลิวที่อยู่ ป๋ายโส่วกลับไม่อยู่

เผยเฉียนรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ฉวยโอกาสที่บริเวณใกล้เคียงไม่มีใครอยู่ นางจึงร่ายวิชากระบี่มารคลั่งอย่างอารมณ์ดีไปคำรบหนึ่ง

เฉาฉิงหล่างขยับออกห่างนางไปไกลหน่อย กลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บ

ส่วนชุยตงซานก็โดนไม้ฟาดไปหลายที

หลังจากนั้นพวกเผยเฉียนสามคนก็เจอกับเซียนกระบี่หญิงที่ประหลาดมากคนหนึ่ง

นางกำลังนั่งโล้ชิงช้าอยู่บนหัวกำแพง

เผยเฉียนรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกกว้าง ชิงช้านี้ดูน่าสนุกอย่างมาก มีเพียงเชือกสองเส้นที่สูงทะลุเข้าไปในชั้นเมฆ รวมไปถึงแผ่นไม้แผ่นหนึ่งที่เซียนกระบี่หญิงนั่งอยู่ ไม่มีโครงที่เอาไว้แขวนชิงช้า แต่ดูเหมือนว่ามันจะสามารถแกว่งไกวแบบนี้ได้ตลอดเวลา

ชุยตงซานวิ่งตุปัดตุเป๋เข้าไปยิ้มถาม “พี่สาวท่านนี้ ต้องการให้ข้าช่วยไกวชิงช้าหรือไม่?”

เซียนกระบี่หญิงมีนามว่าโจวเฉิง ดูเหมือนนางกำลังจมอยู่กับความคิดตัวเอง จึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ตามคำกล่าวของนครทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เซียนกระบี่หญิงผู้นี้สติวิปลาสไปนานแล้ว ทุกครั้งที่มีศึกใหญ่เกิดขึ้น นางไม่เคยออกจากหัวกำแพงเมืองไปสังหารศัตรู จะเฝ้าอยู่ที่ชิงช้านี้อย่างเดียว ไม่อนุญาตให้เผ่าปีศาจตนใดเข้ามาใกล้ในระยะร้อยจั้งพันจั้ง หากเข้ามาใกล้ก็จะต้องตาย ส่วนคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่เองนั้น ไม่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่ผู้ฝึกกระบี่หรือพวกเด็กๆ ที่มาเล่นสนุก ขอแค่ไม่เสียงดังให้นางหนวกหู โจวเฉิงก็ไม่เคยสนใจ

ชุยตงซานยังคงไม่ถอดใจ “พี่หญิงโจว ข้าคือตงซานนะ”

พี่หญิงเทพเซียนคนนี้ทั้งขาวทั้งกลมกลึง งดงามจริงๆ

คุยกับนางกี่ประโยคก็ล้วนดีทั้งสิ้น

โจวเฉิงที่โยกตัวไปพร้อมชิงช้าหันหน้ามามอง ไม่ได้มองเด็กหนุ่มชุดขาว แต่มองแม่นางน้อยที่ผิวออกดำเล็กน้อยคนนั้น นางยิ้มกล่าวว่า “อยากมานั่งสักหน่อยไหม?”

เผยเฉียนส่ายหน้า พูดอย่างขลาดๆ ว่า “พี่หญิงโจว ช่างเถิด ข้าไม่รบกวนท่านดีกว่า”

โจวเฉิงยิ้มกล่าว “ข้าสามารถรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ได้ เจ้ามาเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า แต่หากมีอาจารย์แล้วก็ไม่เป็นไร แค่แขวนชื่อไว้ก็พอ ข้าจะถ่ายทอดเวทกระบี่อย่างหนึ่งให้แก่เจ้า ไม่แย่ไปกว่าวิชากระบี่ชุดนั้นของเจ้าเลย มหามรรคาของทั้งสองฝ่ายมีต้นกำเนิดเดียวกัน เพียงแต่คุณสมบัติของข้าไม่พอ เดินไปไม่ถึงยอดเขา แต่เจ้ากลับมีความหวังอย่างมาก”

ต่อให้เป็นชุนตงซานก็ยังรู้สึกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด

แน่นอนว่านั่นเป็นแค่การเสแสร้งเท่านั้น

พี่สาวเซียนกระบี่ท่านนี้ ใช้ได้เลยนี่นา

ไม่ทำให้ตนผิดหวังจริงๆ เป็นไปตามหลักเหตุผล และอยู่ในการคาดการณ์

ทว่าเผยเฉียนตกใจจนน้ำตาไหลแล้ว

หรือว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านนี้มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่จนสามารถได้ยินคำพูดหยอกล้อของตนบนเรือข้ามฟากนอกภูเขาห้อยหัว? ข้าก็แค่โม้กับห่านขาวใหญ่ไปอย่างนั้นเองนะ

โจวเฉิงพลันปิดปากหัวเราะ “ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องกลัวนะ วันหน้ามาที่นี่บ่อยๆ”

เผยเฉียนก็หัวเราะตามไปด้วย เพียงแต่ว่ามองดูแล้วน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก

โจวเฉิงคิดแล้วก็ยื่นมือมากระตุกเชือกยาวเส้นหนึ่ง จากนั้นบิดหมุนข้อมือหนึ่งก็มีเส้นด้ายสีทองกลุ่มหนึ่งผุดขึ้นมา นางโยนมันไปให้แม่นางน้อยที่ตัวเองถูกชะตาเบาๆ “รับไปแล้วก็ไม่ต้องเอามาคืนข้า แล้วก็ห้ามเอาไปทิ้ง ไม่อยากเรียนก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้น ไม่มีปัญหาอะไร”

การกระทำของเซียนกระบี่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มักจะทำให้คนรู้สึกประหลาดใจได้เสมอ

ชุยตงซานมองเผยเฉียนที่หน้าแหยไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ที่ไหนก็ยิ้มเอ่ยว่า “ยังไม่ขอบคุณพี่หญิงโจวอีกหรือ?”

เผยเฉียนไม่กล้ากุมหมัดคารวะ ได้แต่ประสานมือโค้งคำนับแทน

เดินห่างมาจากเซียนกระบี่หญิงและชิงช้าประหลาดแล้ว เผยเฉียนถึงได้กล้ายื่นมือมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ถามว่า “ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “หากอาจารย์ถามเจ้าก็บอกไปว่าเก็บมาได้จากบนพื้น หากอาจารย์ไม่เชื่อ เดี๋ยวข้าจะพูดให้เขาเชื่อเอง”

เผยเฉียนกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย

เฉาฉิงหล่างกลั้นยิ้ม

จากนั้นมีอยู่วันหนึ่ง เผยเฉียนพลันเงยหน้ามองม่านฟ้ายามราตรี เฉาฉิงหล่างมองตามสายตาของนางไปถึงจะพอมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าบนจุดสูงของหัวกำแพงมีทะเลเมฆจุดหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวกันของแสงอาทิตย์อัสดง

ว่ากันว่าตรงนั้นมีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งมักจะนอนหลับอยู่ตลอดทั้งปี เหมือนนอนอยู่บนเตียงผ้าฝ้ายหลากสีขนาดใหญ่

ชุยตงซานเหลือบตามองครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่มองอีก เจ้าคนที่ชอบสีสันฉูดฉาดผู้นี้มีนามว่าหมี่อวี้ เป็นขอบเขตหยกดิบที่อาศัยเงินเทพเซียนดันขึ้นมา เพราะว่ามีพี่ชายดี เซียนกระบี่หมี่ฮู่ที่พลังพิฆาตของกระบี่บินไม่ถือว่าน้อย หากไม่เป็นเพราะยอมสละโชควาสนาและรากฐานมากมายของตัวเองเพื่อมาปลูกฝังน้องชายคนนี้ อันที่จริงเดิมที่หมี่ฮู่ก็น่าจะเป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว เพียงแต่ว่าผลได้ผลเสียของเรื่องนี้ ต่อให้คนนอกจะรู้สึกว่าไร้ความหมายแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นการเลือกของตัวเซียนกระบี่หมี่ฮู่เอง หมี่ฮู่ชื่นชอบการเข่นฆ่าศัตรู ทุกครั้งล้วนเป็นการเข่นฆ่าที่โหดเหี้ยม เล่าลือกันว่าครั้งที่น่าเวทนาที่สุดคือร่างกายและจิตวิญญาณของเขาเกือบจะถึงขั้น ‘ภูเขาสายน้ำปริแตกพังทลาย’ ทว่าเขาไม่เพียงแต่ขอบเขตไม่ถดถอย กลับกันยังสามารถหยัดยืนอยู่บนขอบเขตได้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังมีความหวังว่าจะฝ่าทะลุคอขวดเลื่อนไปสู่ระดับสูงอีกขั้นหนึ่งได้

ส่วนเซียนกระบี่หมี่อวี้ที่แสร้งทำตัวสุภาพงามสง่าได้มากกว่าใครในกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้ นับว่าได้รับความนิยมในกลุ่มสตรีโตเต็มวัยไม่น้อย ไม่เพียงเท่านี้ เขายังมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับสตรีต่างถิ่นหลายคนด้วย

ชุยตงซานไม่ได้คิดจะหยุดอยู่ที่นี่ เป้าหมายในการเดินทางมาครั้งนี้อยู่ที่เซียนกระบี่ใหญ่อีกคนหนึ่งที่ปากไม่มีหูรูดอย่างเยว่ชิง

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของอีกฝ่าย เล่มหนึ่งมีนามว่า ‘น้ำพุร้อยจั้ง’ เล่มที่สองมีนามว่า ‘กระจอกเมฆบนฟ้า’ ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่เข่นฆ่ากับคนอื่น หรืออยู่บนสนามรบ พลังพิฆาตก็ล้วนยิ่งใหญ่ทั้งคู่

แน่นอนว่าชุยตงซานในเวลานี้ไม่อาจเอาชนะ ‘ตัวสำรองสิบคน’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้ได้ แต่ตนมีอาจารย์ แล้วอาจารย์ก็มีศิษย์พี่ใหญ่นี่นะ

เพียงแต่ชุยตงซานอุตส่าห์ไม่ไปหาเรื่องคนอื่นแล้ว แต่ปัญหากลับพุ่งเข้ามาหาเขาด้วยตัวเองเสียนี่

นี่ทำให้ชุยตงซานดีใจจะตายอยู่แล้ว

หมี่อวี้เซียนกระบี่ที่นอนอยู่บนเมฆเรืองรองลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือออกมาปัดไอเมฆลี้ลับที่ราวกับปุยนุ่นออก ยิ้มถามว่า “พวกเจ้าก็คือลูกศิษย์ของเฉินผิงอันหรือ?”

ชุยตงซานยื่นมือมารั้งเผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างให้อยู่ข้างกาย แล้วก็ยกมือข้างนั้นเกาหัว “มีอะไรจะชี้แนะหรือ?”

หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “ไม่เรียกว่าชี้แนะหรอก ข้าไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาของพวกเจ้าเสียหน่อย ก็แค่รู้สึกปลาบปลื้มใจเท่านั้น ควันธูปสายเหวินเซิ่งบางเบา ตอนนี้อยู่ดีๆ กลับมีคนโผล่มาเยอะขนาดนี้ เฉินผิงอันมีความสามารถไม่น้อย ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง น่าชื่นชมน่ายินดี ควันธูปโชติช่วง มิน่าล่ะถึงอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราได้เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้”

ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “หากผู้อาวุโสยังพูดจาแปลกแปร่งอยู่เช่นนี้ ผู้น้อยก็คงต้องพูดจาแปลกแปร่งบ้างแล้วนะ”

หมี่อวี้เหมือนได้ยินเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้า เขาหัวเราะดังลั่นไม่หยุด สะบัดชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง เมฆหลากสีที่อยู่ข้างกายก็พลันแผ่กระจายตัว “เชิญพูดได้ตามสบาย ข้ายังไม่ถึงขั้นถือสาเด็กน้อยอย่างพวกเจ้าหรอก”

ชุยตงซานถามอย่างขุ่นเคืองว่า “เยว่ชิงผู้นั้นคือพ่อที่เป็นชู้กับแม่ท่านหรือ?”

ร่างของหมี่อวี้โน้มมาด้านหน้าเล็กน้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หมายความว่าอย่างไร?”

เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มชุดขาวเอ่ยอย่างน้อยใจว่า “พูดจาให้ระคายหูคนอื่นยังต้องมีเหตุผลด้วยหรือ หากท่านบอกแต่แรก ข้าก็คงไม่พูดแล้ว”

เหงื่อไหลรินมาตามสันหลังของเผยเฉียน เตรียมตัวพร้อมสำหรับตะโกนเรียกอาจารย์ลุงใหญ่อยู่ทุกเมื่อ ส่วนอาจารย์ลุงใหญ่จะได้ยินหรือไม่ ไม่ต้องสนใจ ถึงอย่างไรก็น่าจะพอเอามาข่มขู่คนได้อยู่กระมัง

เฉาฉิงหล่างกลับยิ้มเอ่ยคล้อยตามว่า “ศิษย์พี่เล็กมีเหตุผล”

นี่เป็นครั้งแรกที่เผยเฉียนรู้สึกว่าเจ้าตอไม้เฉาพอจะใช้ได้อยู่เหมือนกัน

ก่อนหน้านี้ไม่เห็นรู้สึกว่าเขาใจกล้าเลยนี่นา คิดมาตลอดว่าเขาขี้ขลาดยิ่งกว่าหมี่ลี่เสียอีก

หมี่อวี้ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเคาะลงบนความว่างเปล่าเบาๆ ราวกับกำลังสองจิตสองใจว่าควรจะ ‘อธิบายเหตุผล’ อย่างไร

เด็กหนุ่มชุดขาวเอ่ยว่า “ก็ได้ๆ ข้าผิดไปแล้ว เยว่ชิงไม่ใช่พ่อที่เป็นชู้กับแม่ท่าน ผู้น้อยยอมรับผิดจากใจจริง ผู้อาวุโสมีวิชากระบี่เลิศล้ำค้ำฟ้า อีกทั้งยังพูดเองด้วย คงไม่กลับคำกลายเป็นว่าถือสาผู้น้อยหรอกกระมัง”

หมี่อวี้เพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด

เขาหมี่อวี้ พี่ชายหมี่ฮู่ บวกกับเยว่ชิงเซียนกระบี่ใหญ่ที่พลังพิฆาตโดดเด่นเหนือใคร แค่นี้พอหรือไม่? หมี่อวี้รู้สึกว่าน่าจะพอแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่พี่ชายของตนและเยว่ชิงเองก็มีสหายอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ

ส่วนอีกฝ่ายกลับมีแค่จั่วโย่วคนเดียว

ส่วนเฉินผิงอันอะไรนั่น แล้วก็ลูกกระต่ายสายเหวินเซิ่งที่ระดับความอาวุโสต่ำยิ่งกว่าพวกนี้ จะนับเป็นอะไรได้?

หมี่อวี้ลุกขึ้นยืน เตรียมจะหาเหตุผลที่ฟังขึ้นมาสั่งสอนมดตัวน้อยใต้ฝ่าเท้าของตนพวกนี้สักหน่อย เซียนกระบี่พูดอะไร ไม่ว่าจะน่าฟังหรือไม่ ก็ล้วนต้องตั้งใจฟัง หุบปากเงียบไปแต่โดยดี

เผยเฉียนเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว รวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยกับชุยตงซานว่า “ห่านขาวใหญ่ เจ้ารีบไปหาอาจารย์ลุงใหญ่เร็วเข้า! ข้ากับเฉาฉิงหล่างขอบเขตต่ำ เขาไม่มีทางฆ่าพวกเราแน่!”

แล้วนางก็แอบกระซิบกับเฉาฉิงหล่างว่า “อีกเดี๋ยวไม่ว่าข้าทำอะไร เจ้าก็ห้ามลงมือ แล้วก็ห้ามพูดด้วย! อย่าเปิดโอกาสให้เขาเล่นงานเจ้าได้!”

ชุยตงซานเกาหัว

ศิษย์พี่หญิงใหญ่

เจ้าไม่รู้จริงๆ ว่าอาจารย์ลุงใหญ่ของตนเป็นคนอย่างไร

ปีนั้นแม้แต่ฉีจิ้งชุนไอ้หมอนี่ก็ยังซ้อมเสียอ่วม นั่นยังเป็นคนกันเองด้วยนะ ถ้าอย่างนั้นเขาจั่วโย่วลงมือกับคนอื่น ออกกระบี่ใส่คนอื่น จะออมมือได้หรือ?

พริบตานั้น

ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เกิดเสียงสายฟ้าคำรามครืนครั่นพุ่งตรงเข้ามาทางตำแหน่งนี้

หมี่อวี้หรี่ตาลง จิตวิญญาณสั่นสะเทือน เรียกกระบี่บินออกมา แต่กลับไม่กล้าวางท่าว่าจะสังหารศัตรู เพียงแค่ป้องกันไว้เท่านั้น

ปราณกระบี่พุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที แหวกผ่าค่ายกลกระบี่ของเซียนกระบี่หมี่อวี้มาได้อย่างง่ายดาย มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่เหนือก้อนเมฆที่สลายไปเกินครึ่ง กระบี่ยาวที่อยู่ตรงเอวยังคงไม่ออกจากฝัก

หมี่อวี้ยืนนิ่งไม่กล้าขยับ

จนกระทั่งบัดนี้ หมี่อวี้ขอบเขตหยกดิบถึงได้ค้นพบว่า ยามที่มองคนผู้นี้เดินลึกเข้าไปในถิ่นของศัตรู ใช้หนึ่งกระบี่รับมือกับปีศาจใหญ่สองตัวอยู่ไกลๆ กับการที่ตนต้องเป็นศัตรูกับเขาเอง คือฟ้าดินสองอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

คนผู้นั้นที่ปราณกระบี่ของทั้งร่างล้วนถูกเก็บไปหมดยืนอยู่ข้างกายหมี่อวี้ แต่กลับไม่ได้มองหมี่อวี้ เพียงมองไปเบื้องหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “สายของเหวินเซิ่ง หลักการเหตุผลหนักเกินไป กระบี่ผุๆ เล่มนั้นของเจ้ารับไม่ไหว เศษสวะอย่างเจ้าคู่ควรด้วยหรือ?”

เฉาฉิงหล่างประสานมือคารวะ “เฉาฉิงหล่างแห่งภูเขาลั่วพั่วคารวะท่านอาจารย์ลุงใหญ่”

เผยเฉียนรีบพูดเสริม แล้วก็ประสานมือคารวะตามไปด้วย “เผยเฉียนแห่งภูเขาลั่วพั่ว น้อมต้อนรับท่านอาจารย์ลุงใหญ่ที่ใหญ่ที่สุด!”

พอยืดตัวขึ้น เผยเฉียนก็ยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ ดังนั้นจึงกำหมัดแน่น เขย่งเท้ายืดคอชะเง้อ โบกมือไปยังแผ่นหลังที่อยู่ในมุมสูงนั้นอย่างแรง “อาจารย์ลุงใหญ่ต้องระวังนะ ไอ้หมอนี่ใจดำนักล่ะ!”

จั่วโย่วหันหน้ามามอง อยู่ดีๆ ก็มีศิษย์หลานโผล่มาสองคน อันที่จริงในใจเขาก็รู้สึกขัดเขินนิดๆ รอจนชุยตงซานไสหัวไปไกลๆ อย่างรู้กาลเทศะแล้ว จั่วโย่วถึงได้พยักหน้าให้เด็กหนุ่มชุดเขียวกับแม่นางน้อยคู่นี้ นี่น่าจะถือว่าเป็นการพูดว่า ‘อาจารย์ลุงใหญ่ทราบแล้ว’ ได้แล้ว

จั่วโย่วเอ่ย “หมี่อวี้ เจ้าจะเรียกเยว่ชิงและหมี่ฮู่มา หรือจะให้ข้าช่วยทักทายพวกเขาแทนเจ้า?”

หมี่อวี้หน้าซีดขาว

เพราะว่าตัวเขาตกอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็ก ไม่เพียงแค่นี้ แค่เขาเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็มีปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุดเหมือนกระบี่บินนับพันนับหมื่นเล่มที่พากันหันปลายกระบี่แหลมคมมาทางเขา

ชุยตงซานยกสองมืออุดปาก แต่กลับกดเสียงพูดเน้นย้ำทีละคำช้าๆ ว่า “อา จารย์ ลุง ใหญ่ ต้อง ชนะ นะ”

จากนั้นชุยตงซานก็ไปหลบอยู่ด้านหลังเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่าง

เพราะกังวลจริงๆ ว่าอาจารย์ลุงใหญ่ผู้นี้จะปล่อยกระบี่ใส่ตนอีกรอบ

เรื่องสังหารปีศาจ จั่วโย่วเคยทุ่มเทแรงใจทั้งหมดอย่างแท้จริงด้วยหรือ?

นอกจากคนไม่กี่คนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ก่อนจะมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ก็ยังไม่เคยรู้ ดังนั้นจึงเพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้