บทที่ 608.4 อาจารย์ลุงใหญ่ออกกระบี่ ศิษย์พี่เล็กเล่นหมากล้อม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ชุยตงซานคลี่ยิ้มเมตตา เจ้าตะพาบที่พอจะมีเวทกระบี่เล็กๆ น้อยๆ อย่างจั่วโย่วผู้นี้ไม่ซ้อมคนกันเอง แต่เล่นงานคนนอกก็พอจะช่วยคลายโทสะได้บ้างจริงๆ

เผยเฉียนเหน็บไม้เท้าเดินป่าไว้ใต้รักแร้ มือสองข้างวางไว้เบื้องหน้า ปรบเข้าด้วยกันเบาๆ

ชุยตงซานยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ผ่านวันนี้ไป เรื่องที่สายเหวินเซิ่งไม่มีเหตุผลก็จะแพร่ไปทั่วกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว”

เผยเฉียนถาม “ทำไมล่ะ?”

เฉาฉิงหล่างแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “คนอื่นรู้สึกว่าหลักการเหตุผลหลายๆ อย่างมักจะอยู่บนมือของผู้อ่อนแอที่เปลี่ยนจากผู้แข็งแกร่งมาเป็นผู้อ่อนแอ นี่ก็เพราะพวกเขาไม่เคยมีความรู้สึกร่วมด้วย”

ชุยตงซานหัวเราะร่า “อย่าเลียนแบบเด็ดขาดเชียวนะ”

เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า “ข้าแค่รู้ว่ามีเรื่องพวกนี้ และข้าก็เรียนรู้จากแค่อาจารย์เท่านั้น”

จั่วโย่วไม่ได้สนใจชุยตงซาน พอถอนสายตากลับมาแล้วก็ทอดมองไปเบื้องหน้า สีหน้าเฉยชา ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “หมี่อวี้ เยว่ชิง ออกจากเมืองไปเปิดศึกกับข้า แค่แบ่งแพ้ชนะเท่านั้น เมื่อแพ้ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ซะ แต่หากยินดีจะให้ตัดสินเป็นตายก็ไปตายได้เลย”

เซียนกระบี่หมี่อวี้ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ข้าขอยอมแพ้เจ้า และจะยังเอ่ยขออภัยด้วย”

เยว่ชิงกลับไม่ได้เอ่ยตอบ

ดังนั้นร่างของจั่วโย่วจึงวูบหายไป ไปหาเยว่ชิงผู้นั้น

เวลานี้เจ้าเยว่ชิงถึงเพิ่งจะรู้ว่าควรทำตัวเป็นคนใบ้ใช่ไหม?

ก่อนหน้านี้ข้าจั่วโย่วใช้กระบี่งัดปากเจ้าให้เอ่ยถ้อยคำระยำเหล่านั้นหรือไร?

ชุยตงซานเรียกเรือยันต์ออกมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะรอดูอะไร ไม่มีอะไรน่าดูหรอก กลับบ้านๆ อาจารย์ลุงใหญ่ของพวกเจ้ายามตีกับผู้อื่นไร้ข้อพิถีพิถัน ไร้ความสุภาพและไร้อารยธรรมที่สุดแล้ว”

ชุยตงซานกับเผยเฉียนนั่งอยู่ด้านข้างฝั่งซ้ายขวาของเรือคนละฝั่ง ต่างคนต่างถือไม้เท้าเดินป่าแล้วยังทำท่าเหมือนแจวเรือ ชุยตงซานพูดจาน่าเชื่อถือบอกกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเขาว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จะเดินทางกลับได้เร็วยิ่งกว่าเดิม

เฉาฉิงหล่างรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย มองเผยเฉียนที่ออกแรงพายเรือเต็มกำลังแล้วยังหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ก็ไม่รู้ว่านางเชื่อจริงๆ หรือแค่รู้สึกสนุกกันแน่

เวลานี้ชุยตงซานมีสีหน้าสดชื่นปลอดโปร่ง ฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนเรือข้ามฟาก กระดกก้นใช้สองมือต่างไม้พายแล้วออกแรงพายอย่างตั้งใจ

ก่อนหน้านี้ที่ตนโดนกระบี่นั้นไป นอกจากจะพูดเรื่องเป็นการเป็นงานได้จบแล้ว ก็ยังได้พูดถึงคุณความชอบยิ่งใหญ่ของเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงไปด้วย การค้าครั้งนี้ไม่ขาดทุนจริงๆ

ดึกดื่นค่อนคืนกว่าจะกลับไปถึงจวนหนิง

เผยเฉียนไม่ได้เจอกับอาจารย์แม่ที่อยู่ระหว่างการปิดด่านก็อดผิดหวังนิดๆ ไม่ได้

เฉินผิงอันกับชุยตงซานไปคุยธุระกันที่ศาลาหน้าผาสังหารมังกร

เฉาฉิงหล่างไปฝึกตนยังที่พักของตัวเอง

เรื่องที่เซียนกระบี่ใหญ่สองท่านเปิดศึกบนหัวกำแพงแพร่ไปทั่วกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างรวดเร็ว

ว่ากันว่าเซียนกระบี่เยว่ชิงถูกจั่วโย่วบังคับลากออกมาจากหัวกำแพงเมือง ร่างของเขาถูกตีกระเด็นไปทางทิศใต้

นี่ก็คือการต่อสู้ตัดสินเป็นตายโดยที่ไม่เหลือพื้นที่ให้เยว่ชิงเลือกแล้ว

สุดท้ายได้ยินมาว่าเซียนกระบี่หลายท่านพากันห้ามปราม

กลางดึกคืนนี้ แสงกระบี่ทางทิศใต้สว่างโชติช่วงราวกับดวงตะวันลอยกลางนภา เป็นเหตุให้ตลอดทั้งนครถูกสาดสะท้อนราวกับเวลากลางวัน

สุดท้ายแล้วก็ไม่เกิดเรื่องใหญ่ร้ายแรงอย่างการมีคนตาย

ถึงอย่างไรกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เห็นเรื่องใหญ่กันมาจนชินตาแล้ว ก็แค่จะมีคนดื่มเหล้าเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

กิจการของร้านเตี๋ยจ้างจึงดีมากขึ้นกว่าเดิม

ช่วงนี้น่าหลันเย่สิงพลันรู้สึกว่าสายตาที่ยายแก่ป๋ายเลี่ยนซวงมองตนน่าขนลุกอยู่ไม่น้อย

ลองนับนิ้วดูถึงได้ค้นพบว่าช่วงนี้จำนวนครั้งที่นางเรียกตนว่าสุนัขเฒ่าน่าหลันเหมือนจะน้อยลงไปมาก และความน่าเกรงขามก็ด้อยกว่าเดิมเยอะ

นี่ทำให้น่าหลันเย่สิงรู้สึกขนพองสยองเกล้าอยู่สักหน่อย

จากนั้นก็ได้เจอกับเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยิ้มกว้างเรียกตนว่าท่านปู่น่าหลัน น่าหลันเย่สิงเดินเคียงบ่าไปกับเขา แล้วจึงถามว่า “ตงซานอ่า ช่วงนี้เจ้าไปพูดอะไรกับป๋ายหมัวมัวหรือไม่?”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ใช่สิ ป๋ายหมัวมัวคือผู้อาวุโสของจวนหนิงนะ ผู้น้อยย่อมต้องพูดคุยทักทายด้วยอยู่แล้ว”

น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “นอกจากทักทายแล้วยังพูดอะไรอีกหรือไม่?”

ชุยตงซานกระทืบเท้า พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ก็น่าจะพูดอะไรบางอย่างนั่นแหละ แต่ทำไมถึงลืมได้นะว่าพูดอะไรไปบ้าง ข้าคนนี้ไม่ชอบจดจำความแค้น ยิ่งจดจำเรื่องอะไรไม่ค่อยได้ ไม่ดีเลยจริงๆ”

น่าหลันเย่สิงหยุดอยู่ที่เดิม มองเด็กหนุ่มชุดขาวที่กระโดดผลุงไปด้านหน้าจนชายแขนเสื้อใหญ่สะบัดเป็นวงกว้าง แล้วก็ให้นึกถึงช่วงเวลาแรกเริ่มสุดที่คนทั้งสองเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องขึ้นมา

เช้าตรู่ของวันนี้เผยเฉียนเรียกให้ชุยตงซานไปเป็นผู้คุมกันตน จากนั้นนางก็ถือไม้เท้าเดินป่า สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก เดินอาดๆ อยู่บนถนนที่เงียบสงัดนอกกำแพงสูงของจวนตระกูลกวอ

บังอาจเกินไปแล้ว ไร้มารยาทเกินไปแล้ว ศิษย์พี่หญิงใหญ่มาเยือนแล้วแต่กลับไม่ออกมาต้อนรับ ยังถือเป็นลูกศิษย์ครึ่งตัวของอาจารย์พ่อตนได้อีกหรือ? ไม่ได้หรอกนะ

ช่างเถิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่านางไม่มีวาสนากับศิษย์พี่หญิงใหญ่ วันหน้าภูเขาลั่วพั่วย่อมไม่มีที่ทางสำหรับนาง แล้วก็อย่ามาโทษว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ให้โอกาสก็แล้วกัน ให้แล้วแต่รับไว้ไม่ได้อีก น่าสงสาร น่าเวทนาจริงๆ

คิดไม่ถึงว่าบนหัวกำแพงจะมีศีรษะหนึ่งโผล่มา สองมือวางค้ำไว้บนหัวกำแพง สองเท้าลอยต่องแต่ง นางถามว่า “นี่ เจ้าตัวเล็กบนถนนนั่นน่ะ เจ้าเป็นใครกัน? ไม้เท้าเดินป่าและหีบไม้ไผ่ใบเล็กของเจ้าสวยจริงๆ แค่ยิ่งขับให้เจ้าดูดำขึ้นไปอีกก็เท่านั้น”

เผยเฉียนยืนอยู่ที่เดิม หันหน้าไปมอง

กวอจู๋จิ่วเบิกตากว้างมองเผยเฉียน ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าคงไม่ใช่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่สำหรับในใจข้าแล้วหน้าตางดงามราวบุปผา เป็นโฉมสะคราญงามล่มบ้านล่มเมือง วิชาหมัดไร้เทียมทาน เรือนกายสูงแปดจั้งหรอกนะ?”

เผยเฉียนถอนสายตากลับมา มองไปยังห่านขาวใหญ่ด้วยแววตาลำบากใจ

ทว่าห่านขาวใหญ่กลับไร้คุณธรรม แสร้งทำตัวหูหนวกเป็นใบ้เสียอย่างนั้น

ดังนั้นพอกลับมาถึงจวนหนิง ยามฟุบตัวอยู่บนโต๊ะของอาจารย์พ่อ เผยเฉียนจึงมีท่าทางเซื่องซึมเล็กน้อย

เฉินผิงอันวางตราประทับที่อยู่ในมือลง ยิ้มถามว่า “ทำไม เจอแม่นางน้อยลวี่ตวนผู้นั้นแล้วก็เลยอารมณ์ไม่ค่อยดีงั้นหรือ?”

เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที “อาจารย์พ่อ ข้าไม่ได้มาฟ้องท่านลับหลังอะไรหรอกนะ แต่ข้าไม่ค่อยชอบนางเท่าไรเลย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ศาลบรรพจารย์บนภูเขาลั่วพั่วของพวกเราไม่มีกฎบอกว่าจะต้องชอบใครมากกว่าใครเสียหน่อย ขอแค่ต่างฝ่ายต่างรักษากฎก็เพียงพอมากแล้ว”

เผยเฉียนรีบลุกขึ้นนั่ง พยักหน้าเอ่ยว่า “ตกลง! ไม่อย่างนั้นหากต้องให้ข้าแกล้งทำเป็นชอบนางต้องยากมากแน่ๆ!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่ต้องจงใจทำเช่นนี้ แต่ก็จำไว้ว่าห้ามมองคนอื่นด้วยอคติเด็ดขาด จะได้เป็นเพื่อนกันหรือไม่ก็ต้องดูที่โชควาสนา”

เผยเฉียนคลี่ยิ้มดุจบุปผาผลิบาน

กวอจู๋จิ่วอะไรนั่น ต่อให้ได้กลายเป็นลูกศิษย์ของภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ยังต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่อยู่ดีไม่ใช่หรือ?

เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะขยับตัวนั่งตรงอย่างสำรวม “ต่อจากนี้อาจารย์จะพูดถึงเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวพันกับความถูกความผิด ต่อให้อาจารย์ถามเจ้า เจ้าจะไม่ตอบอะไรก็ได้ แต่หลังจากที่ความเสียใจผ่านไปแล้ว เจ้าคิดถึงอะไรขึ้นมาได้ก็บอกอาจารย์ ขณะเดียวกันก็จำไว้ว่า ในเมื่ออาจารย์ยินดีจะพูดจาแรงๆ กับเจ้า นั่นก็เป็นเพราะรู้สึกว่าเจ้าสามารถรับได้ เพราะยอมรับว่าเผยเฉียนคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของข้า อีกอย่างไม่ใช่อาจารย์ไม่รู้ว่าเผยเฉียนในอดีตคือใคร แต่กระนั้นยังยินดีจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ นั่นก็แสดงว่าไม่ได้มองแค่ความดีของเจ้าและการเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้นของเจ้า ถูกหรือไม่?”

เผยเฉียนหน้าซีดขาว นางเองก็นั่งตัวตรงอย่างสำรวมเช่นกัน มือทั้งสองกำเป็นหมัด พยักหน้ารับเบาๆ ด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว

เฉินผิงอันถึงได้เอ่ยต่อว่า “วันนี้อาจารย์จะพูดเรื่องในอดีตกับเจ้า ไม่ใช่พลิกบัญชีเก่ามาซักไซ้เอาผิด แต่ก็สามารถพูดว่าพลิกบัญชีเก่าได้ เพราะอาจารย์รู้สึกมาโดยตลอดว่าความผิดความถูกนั้นดำรงอยู่มาโดยตลอด นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่เป็นรากฐานที่สุดในใจของอาจารย์ ข้าไม่หวังว่าความดีของเจ้าในวันนี้จะสามารถกลบทับความผิดในอดีตได้ ขณะเดียวกันอาจารย์เองก็เห็นด้วยจากใจจริงว่า ความดีของเจ้าในวันนี้ได้มาไม่ง่าย และอาจารย์ยิ่งไม่มีทางเอาความผิดของเจ้าในอดีตมาปฏิเสธความดีของเจ้าในตอนนี้และในอนาคต ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อาจารย์ล้วนให้ความสำคัญและทะนุถนอมเห็นค่า”

เผยเฉียนตาแดงก่ำ ยกมือขึ้นมาเช็ดดวงตา ก่อนจะรีบวางมือลงทันใด “อาจารย์พ่อโปรดพูด เผยเฉียนฟังอยู่”

สีหน้าของเฉินผิงอันเด็ดเดี่ยว ไม่ได้จงใจกดเสียงลงต่ำ เพียงแค่พูดเนิบช้าด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้าเคยถามเฉาฉิงหล่างว่าปีนั้นตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เขาเคยเป็นฝ่ายหาเรื่องต่อยตีกับเจ้าก่อนหรือไม่ เขาบอกว่าเคย ข้าจึงถามเขาอีกว่า ปีนั้นเผยเฉียนเคยพูดต่อหน้าเขาหรือไม่ว่า นางเผยเฉียนที่อยู่บนถนนใหญ่เคยได้เห็นบางสิ่งที่คนข้างกายติงอิงถือไว้ในมือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเฉาฉิงหล่างตอบว่าอย่างไร? เฉาฉิงหล่างตอบอย่างไม่ลังเลว่าเจ้าไม่เคยพูด ข้าเลยบอกกับเขาว่าให้พูดความจริง ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะโกรธ เฉาฉิงหล่างก็ยังบอกว่าไม่เคย”

เผยเฉียนหน้าเบ้ ริมฝีปากสั่นระริก น้ำตาพลันไหลอาบเต็มใบหน้า “เคย อาจารย์ เคย ข้าเคยพูด วันนั้นเฉาฉิงหล่างเสียใจมากราวกับเป็นบ้า เขาเป็นฝ่ายมาต่อยตีกับข้าก่อน ข้ายังยกม้านั่งฟาดเขาด้วย”

เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงนั้น เอ่ยว่า “เผยเฉียน ควรจะทำอย่างไร เจ้าลองไปคิดเองและลงมือทำ แต่อาจารย์จะบอกกับเจ้าว่า ในชีวิตของพวกเราทุกคน ไม่เพียงแต่เจ้า ตัวอาจารย์เองก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าความผิดทุกอย่างที่ทำลงไป ต่อให้เราจะรู้ว่าทำผิด แล้วจะมีโอกาสให้แก้ไขชดเชยได้ ถึงขั้นที่ว่าความผิดหลายๆ อย่าง ต่อให้พวกเราทำผิดแล้วอยากแก้ไข ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ไม่มีแล้ว นอกจากนี้ข้าเองก็หวังให้เจ้าเข้าใจว่า ไม่ใช่ว่าเฉาฉิงหล่างไม่คิดจดจำความแค้น ไม่ใช่ว่าเขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องไม่สำคัญ เพียงแต่เขายินดีจะให้อภัยเจ้า ทว่าคนอื่นให้อภัยกับการที่เราทำผิด คือคนละเรื่องกัน เรื่องราวทางโลกก็ซับซ้อนเช่นนี้ บางทีพวกเราอาจเป็นคนดีที่ทำความดี แต่ความผิดมากมายก็ยังคงอยู่ ยังคงอยู่ตลอดมา ต่อให้ทุกคนต่างก็จำไม่ได้แล้ว แต่ตัวเองก็ยังจำได้ ไม่ใช่ว่าเจ้ามีเหตุผลมากมาย มีเหตุผลนับร้อยนับพันให้ทำความผิด แล้วความผิดจะไม่ใช่ความผิดอีกต่อไป”

เผยเฉียนนั่งร้องไห้โฮอยู่ตรงนั้น

เฉินผิงอันลุกขึ้นขยับมานั่งบนม้านั่งยาวข้างกายนาง “วันนี้อาจารย์พ่อของเจ้าทำให้เจ้าเสียใจแบบนี้ แล้ววันหน้าหากเจ้าทำผิดอีก อาจารย์พ่อก็ยังจะทำเช่นนี้อีก เจ้าจะทำอย่างไร?”

เผยเฉียนยื่นมือข้างหนึ่งออกมากระตุกชายแขนเสื้อของอาจารย์พ่ออย่างกล้าๆ กลัวๆ พูดเสียงสะอื้นว่า “อาจารย์พ่อไม่ต้องการข้าแล้วใช่ไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่ กว่าจะสอนเผยเฉียนคนเมื่อวานให้กลายเป็นเผยเฉียนวันนี้ได้ ตัดใจทิ้งไม่ลงหรอก”

เขาหันตัวมาลูบหัวของเผยเฉียนเบาๆ พูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “เพราะบางครั้งชีวิตของอาจารย์ก็ยากลำบากมากนี่นา”

แล้วเผยเฉียนก็ร้องไห้ปานจะขาดใจอีกครั้ง

คิดถึงพ่อแม่ระหว่างที่เดินทางลี้ภัยด้วยกัน คิดถึงขอทานน้อยในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่นอนอยู่บนสิงโตหินนับดวงดาวในวันที่อากาศร้อนจัด คิดถึงท่านปู่ชุยที่จากไปโดยไม่บอกลานาง แล้วก็พลันคิดถึงเรื่องทุกอย่าง

ทุกเรื่องที่ไม่ยินดีคิด เรื่องที่ยินดีคิดแต่กลับไม่กล้าคิด ล้วนพากันไหลบ่าทะลักสู่หัวใจในฉับพลัน

กลางระเบียงนอกห้องมีฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างเงียบเชียบ

เฉาฉิงหล่างเปลี่ยนจากยืนมาเป็นนั่งลงบนพื้น เอนหลังพิงผนัง

ชุยตงซานศิษย์พี่เล็กนั่งอยู่ข้างกายเขา

และศิษย์พี่เล็กคนนี้ก็รักษาฟ้าดินเล็กแห่งนั้นเอาไว้ขณะที่พาเขาออกมาจากเรือนอย่างเงียบเชียบ

เฉาฉิงหล่างเอ่ย “ในใจรู้สึกดีขึ้นเยอะแล้ว ขอบคุณศิษย์พี่เล็ก”

ชุยตงซานเอ่ย “ได้เจอกับอาจารย์ของพวกเรา ไม่ใช่เรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินอะไรทั้งนั้น เจ้าและข้ามาพยายามไปร่วมกัน”

เฉาฉิงหล่างถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก้มตัวคารวะอยู่นานไม่ยอมยืดตัวขึ้นมา

ชุยตงซานพลันโหวกเหวกขึ้นว่า “ไม่ได้การๆ มาถึงที่นี่แล้ว หากไม่ถูกอาจารย์ลุงใหญ่ใช้หนึ่งกระบี่ฟาดให้ร่วงลงจากหัวกำแพงก็ถูกท่านปู่น่าหลันรังแก ข้าต้องเอามาดของศิษย์พี่เล็กออกมาใช้เสียหน่อย ต้องหาคนมาเล่นหมากล้อมด้วยแล้ว! พวกเจ้ารอไปก่อนเถอะ อีกไม่นานก็จะได้ยินเรื่องราวอันรุ่งโรจน์ของศิษย์พี่เล็กแล้ว! ชนะเขาจะไปยากอะไร ชนะสามครั้งห้าครั้งติดก็ไม่นับเป็นผายลมอะไรได้ มีเพียงชนะจนตัวเขาเองอยากจะแพ้ต่อไป นั่นต่างหากถึงจะแสดงให้เห็นว่าวิชาหมากล้อมของศิษย์พี่เล็กเจ้าพอจะใช้ได้”

เมฆขาวก้อนหนึ่งล่องลอยไปทางหัวกำแพงเมืองอย่างเนิบช้า

ไปหาคุณชายใหญ่หลินจวินปี้ผู้นั้นแล้ว

ระหว่างทางที่มุ่งไป ชุยตงซานถึงกับคิดคำพูดโหมโรงไว้เรียบร้อยแล้ว

คุณชายหลิน บังเอิญยิ่งนัก ยังอ่าน ‘ตำราเมฆหลากสี’ อยู่อีกหรือ บอกตามตรง อันที่จริงข้าเองก็เล่นหมากล้อมเป็นเหมือนกัน วิชาหมากล้อมของเจ้าสูงขนาดนี้ เจ้ายอมต่อให้ข้าสักสามเม็ดเป็นอย่างไร ไม่เกินไปกระมัง? ข้าเป็นใคร? ข้าคือตงซานนะ

ชายแขนเสื้อดุจดั่งเมฆขาว

ชุยตงซานหันหน้าหาท้องฟ้าหันหลังให้พื้นดิน มือเท้าโบกสะบัดเป็นท่าว่ายน้ำ

ดินและน้ำของพื้นที่หนึ่งหล่อเลี้ยงคนแบบหนึ่ง ราชวงศ์เส้าหยวนนั่นคือสถานที่ที่ดีจริงๆ