บทที่ 609.1 เล่นหมากล้อมทำลายจิตแห่งเต๋า รสเหล้าร้อนลวกกระเพาะ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

วันนี้พวกผีขี้เหล้าที่มาดื่มเหล้าที่ร้านเนืองแน่นหนาตา บรรยากาศกลมเกลียวสมานฉันท์ ต่างก็เอ่ยถ้อยคำดีๆ เกี่ยวกับเถ้าแก่รองผู้นั้น หากไม่บอกว่าเถ้าแก่รองที่หล่อเหลาสง่างามดุจต้นไม้หยกรับลมมีมาดเหมือนศิษย์พี่ใหญ่ของเขา ก็บอกว่าเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่บวกกับผักดองและบะหมี่หยางชุนของเถ้าแก่รองน่าจะเป็นอาหารที่เลิศรสที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเราแล้ว หากไม่มาดื่มเหล้าที่นี่ก็ไม่ใช่เซียนกระบี่เลย

แต่นี่กลับทำให้คนบางคนรู้สึกใจฝ่อ ดื่มเหล้าเข้าไปแล้วก็ให้ครั่นเนื้อครั่นตัว ใคร่ครวญว่านี่จะเป็นวิธีการต่ำช้าของกองกำลังบางฝ่ายที่เป็นอริกันหรือไม่ หรือว่านี่ก็คือเคล็ดวิธีพิฆาตชั้นต่ำที่เถ้าแก่รองเคยพูดถึง? ดังนั้นคนเหล่านี้จึงจดจำชื่อแซ่และหน้าตาของพวกคนที่พูดจาเอาจริงเอาจังที่สุด คุยโวโอ้อวดด้วยถ้อยคำเลี่ยนหูที่สุดเอาไว้เงียบๆ วันหน้าจะไปขอความดีความชอบจากเถ้าแก่รอง ส่วนนี่จะเป็นการใส่ร้ายคนดี เข้าใจพันธมิตรผิดไปหรือไม่ ถึงอย่างไรเถ้าแก่รองก็รู้ดีว่าควรทำอย่างไร พวกเขาแค่รับผิดชอบหน้าที่คาบข่าวไปฟ้องเป็นพอ เพราะถึงอย่างไรในบรรดาคนเหล่านี้ก็มีอยู่หลายคนที่ทุกวันนี้คือสหายที่แค่ได้รับการบอกเป็นนัยจากเถ้าแก่รอง แต่ยังไม่ได้กลายเป็นเถ้าแก่ที่นั่งรับเดิมพันหลอกเอาเงินคนอื่นได้อย่างแท้จริง

ทางฝั่งของหัวกำแพงเมืองแห่งนี้ อวี้เจวี้ยนฟูนั่งแทะแผ่นแป้งย่าง มือหนึ่งหิ้วกาน้ำทอดสายตามองไปยังสนามรบบางแห่งที่อยู่ทางทิศใต้ ตรงนั้นมีแอ่งน้ำเล็กๆ อยู่มากมาย การที่อยู่บนหัวกำแพงสูงแห่งนี้แล้วสามารถมองเห็นหลุมบ่อบนพื้นเหล่านั้นได้ ก็พอจะจินตนาการได้ว่าหากไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ หลุมบ่อพวกนั้นมีแต่จะใหญ่เท่าทะเลสาบ ส่วนตัวคนก็เล็กเท่าเมล็ดงาเท่านั้น

ตอนนี้อวี้เจวี้ยนฟูมักจะมาเยือนที่หัวกำแพงเมืองบ่อยๆ นางถือว่าเป็นสหายครึ่งตัวกับเด็กสาวจูเหมยแล้ว เพราะถึงอย่างไรในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์เส้าหยวนกลุ่มนี้ คนที่นางถูกชะตาด้วยมากที่สุดก็ยังคงเป็นจูเหมยที่แสดงนิสัยอย่างตรงไปตรงมาผู้นี้ รองลงมาก็คือจินเจินเมิ่งผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ส่วนคนอื่นๆ นางไม่ค่อยชอบเท่าไร แน่นอนว่าการไม่ชอบของอวี้เจวี้ยนฟูก็มีเพียงการแสดงออกอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือไม่คบค้าสมาคมด้วย เจ้าทักทายข้า ข้าก็พยักหน้าตอบรับ แต่หากเจ้าคิดจะพูดจาปราศรัยก็อย่าเลยดีกว่า เมื่อเจอกับผู้อาวุโส เป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อนก็ควรหยุดเมื่อพอสมควร ง่ายดายเพียงเท่านี้

ข้าอวี้เจวี้ยนฟูแค่มาขัดเกลาวิชาหมัดเท่านั้น ไม่ได้มาช่วยตระกูลขยับขยายเส้นสายอิทธิพล แล้วนับประสาอะไรกับที่ตระกูลอวี้แค่พอมีความสัมพันธ์ควันธูปกับภูเขาห้อยหัวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกำแพงเมืองปราณกระบี่เลยแม้แต่น้อย

ส่วนจูเหมยนั้น นางคงจะคิดว่าตัวเองคือคู่พี่น้องต่างพ่อต่างแม่กับอวี้เจวี้ยนฟูที่พลัดพรากจากกันมาหลายปีกระมัง

อวี้เจวี้ยนฟูเป็นกังวลเล็กน้อย นางพกแผ่นแป้งย่างมาน้อยเกินไป กินเร็วเกินไป แผ่นแป้งย่างทั้งหลายที่อยู่ในห่อสัมภาระถูกกินจนหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว ส่วนที่อยู่ในวัตถุจื่อชื่อก็เหลืออยู่อีกไม่มาก

เพียงแต่ว่าความกังวลเล็กน้อยนี้ไม่ได้มีค่าพอให้พูดถึง เดินทางมาหล่อหลอมเรือนกายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ครานี้ ความตั้งใจแรกก็คือไล่ตามเส้นทางการเรียนวรยุทธของเฉาสือ สร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตร่างทอง คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเถ้าแก่รองที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองเหมือนกัน แล้วก็คิดไม่ถึงว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ในใจของนางแล้ว เซียนกระบี่ของที่แห่งนี้กลับทำให้คนเลื่อมใสได้มากกว่า ต่อให้อวี้เจวี้ยนฟูไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ก็ยังคงรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับใต้หล้าไพศาลที่ฟ้าดินกว้างใหญ่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์แล้ว บางสิ่งบางอย่างที่คู่ควรแก่การรับไปปรับใช้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่นั้นหาจากที่อื่นไม่ได้ มีแค่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้นจริงๆ

อวี้เจวี้ยนฟูกินแผ่นแป้งย่างหมดแล้วก็ดื่มน้ำหนึ่งคำ คิดว่าจะพักผ่อนอีกสักครู่แล้วค่อยลุกไปฝึกหมัด

การฝึกหมัดคือเรื่องใหญ่เทียมฟ้า ถูกกำหนดมาแล้วว่าเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกในชีวิตนี้ของนางอวี้เจวี้ยนฟู ทว่าบางครั้งหากแอบอู้ คิดอยากจะทำเรื่องบางอย่างที่ไม่ใช่การฝึกหมัดก็ไม่มีปัญหาอะไร

วิชากระบี่ของผู้อาวุโสจั่วโย่วคนนั้น คู่ควรกับคำว่าสูงที่สุดอย่างแท้จริง

เซียนกระบี้ซุนจวี้เฉวียนได้เห็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของศึกครั้งนั้นมากับตาตัวเอง ตามคำบอกของเซียนกระบี่ซุน การออกกระบี่ของจั่วโย่วครั้งนี้ อันดับแรกคือการใช้ ‘พละกำลังมหาศาลอย่างไร้เหตุผล’ ออกกระบี่ฟันให้เยว่ชิงร่วงลงไปจากหัวกำแพงเมือง จากนั้นก็ไม่พันธนาการปราณกระบี่อีกต่อไป ตั้งแต่ต้นจนจบ จำนวนครั้งที่เยว่ชิงออกกระบี่มีน้อยจนนับนิ้วได้ ไม่ใช่ว่าเยว่ชิงไม่แข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะอานุภาพของน้ำตกปราณกระบี่จากน้ำพุร้อยจั้งกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาเล่มนั้น มิอาจทัดเทียมกับทะเลสาบปราณกระบี่ของจั่วโย่วได้ ส่วนกระจอกเมฆบนฟ้าซึ่งเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มก็ยิ่งแทบจะไม่มีโอกาสได้ดิ่งลงพื้น

แต่ซุนจวี้เฉวียนก็ยิ้มเอ่ยว่า เยว่ชิงเองก็เก็บไม้เก็บมืออยู่เหมือนกัน ไม่ใช่เกรงใจ แต่เพราะไม่กล้า ด้วยกลัวว่าจั่วโย่วจะฟันเขาให้ตายด้วยกระบี่เดียวจริงๆ

ขณะเดียวกันก็มอบบันไดลงและหาเหตุผลให้กับเซียนกระบี่ท่านอื่นที่ออกหน้ามาห้ามปรามด้วย น่าเสียดายที่จั่วโย่วไม่ได้สนใจเซียนกระบี่สองท่านที่พยายามโน้มน้าวด้วยถ้อยคำดีๆ เพียงแค่จ้องเยว่ชิงเขม็งแล้วใช้ปราณกระบี่กระแทกใส่เขาไม่หยุด ไม่ใช่ความวุ่นวายไร้ระเบียบ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะปราณกระบี่ของจั่วโย่วมากเกินไป ปณิธานกระบี่เข้มข้นเกินไป การตัดสินเป็นตายของเซียนกระบี่บนสนามรบมักจะเกิดขึ้นในชั่วพริบตา มองไม่เห็นความจริงและขั้นตอนทั้งหมด แต่นี่ก็ไม่สำคัญ ขอแค่หลบได้พ้น ป้องกันไว้ได้ ฝ่าการโจมตีออกไปได้ก็เพียงพอแล้ว การออกกระบี่ของเซียนกระบี่ที่เสี่ยงอันตรายหลายครั้ง ส่วนใหญ่มักจะเป็นไปตามใจปรารถนา หากมีไหวพริบสักหน่อย กลับกลายเป็นว่าจะโจมตีได้สำเร็จในกระบี่เดียว

ตอนนั้นจั่วโย่วไม่เอ่ยอะไร ทว่าความหมายชัดเจนอย่างมาก เซียนกระบี่ทุกคนยกเว้นเยว่ชิง ชมศึกอยู่ไกลๆ ได้ไม่เป็นไร จะช่วยเอ่ยปรามก็ได้ไม่เป็นไร มีเพียงคนที่ขยับเข้ามาใกล้เท่านั้นที่ล้วนถือเป็นศัตรู

ตอนนั้นเซียนกระบี่สองท่านนั้นกระอักกระอ่วนแทบตาย คนหนึ่งในนั้นถูกกระบี่ยาวที่ชักออกจากฝักในมือจั่วโย่วฟันลงมา พื้นดินปริแตก ร่องลึกบังเกิดทันใด หากไม่เป็นเพราะจั่วโย่วจงใจออกกระบี่แฉลบไปด้านข้างสิบจั้ง เซียนกระบี่ท่านนั้นก็เกือบได้ออกแรงเต็มกำลังเพื่อต้านทานกระบี่นี้แล้ว เขาได้แต่เรียกสหายมา แล้วก็เรียกเซียนกระบี่อีกสองคนให้มาช่วยคุมท้าย แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครกล้าลงมือโจมตี หากจั่วโย่วไม่สนใจเยว่ชิงแล้วหันกระบี่เข้าหาทุกคนแทน จะทำอย่างไร?

ในช่วงเวลาที่เยว่ชิงจำต้องออกกระบี่ บนหัวกำแพงก็ปรากฏร่างของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เขายืนเอาสองมือไพล่หลัง จ้องนิ่งไปยังสนามรบทางทิศใต้ คล้ายกำลังเอ่ยประโยคหนึ่งกับจั่วโย่ว

จั่วโย่วถึงได้ยอมเก็บกระบี่

สุดท้ายซุนจวี้เฉวียนเอ่ยกับอวี้เจวี้ยนฟูด้วยน้ำเสียงปลงอนิจจังว่า เวทกระบี่สูงขนาดนี้ แล้วยังไม่กลัวการใช้กำลังของคนคนเดียวต่อสู้กับคนเป็นกลุ่มมากที่สุด จั่วโย่วผู้นี้คิดจะเดินขึ้นฟ้าก้าวเดียวอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เลยหรือไร?

ตอนนั้นอวี้เจวี้ยนฟูถามด้วยความใคร่รู้ว่า เดินขึ้นฟ้าก้าวเดียวหมายความว่าอย่างไร

น่าเสียดายที่ซุนจวี้เฉวียนเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไรอีก

อวี้เจวี้ยนฟูลุกขึ้นยืน ออกหมัดช้าๆ ไปตามหัวกำแพง ออกหมัดช้า ทว่าเรือนกายกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

หลังจากเดินไปได้ประมาณหนึ่งก้านธูปก็เจอกับเด็กหนุ่มชุดขาวที่เดินตรงเข้ามาหา อวี้เจวี้ยนฟูไม่อยากรู้สักนิดว่าคนผู้นี้ชื่อแซ่อะไร แต่นี่ก็ต้องถามจูเหมยที่ชอบพูดเจื้อยแจ้วรายงานทุกเรื่องให้นางฟังก่อนว่าจะตอบตกลงหรือไม่ จูเหมยบอกว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน เป็นคนของแจกันสมบัติทวีป แซ่ชุยนามตงซาน หากนับตามลำดับอาวุโสถือเป็นลูกศิษย์รุ่นที่สามของสายเหวินเซิ่ง แต่ดูเหมือนว่าสมองของชุยตงซานจะไม่ค่อยปกตินัก เดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ น่าเสียดายเนื้อหนังมังสาที่งดงามนั้นจริงๆ

อีกฝ่ายเดินดิ่งตรงมา อวี้เจวี้ยนฟูจึงได้แต่ขยับเบี่ยงหลบ สองฝ่ายจะได้เดินสวนไหล่ผ่านกันไป

คิดไม่ถึงว่าดูเหมือนอีกฝ่ายก็จะคิดเช่นนี้เหมือนกัน กลายเป็นว่านางขยับไปตรงกับอีกฝ่ายพอดี อวี้เจวี้ยนฟูจึงขยับเปลี่ยนเส้นทางอีกครั้ง อีกฝ่ายก็ขยับพร้อมกันอีก ไปๆ มาๆ ชุยตงซานผู้นั้นจึงหยุดเดิน พูดหน้าบูดว่า “พี่หญิงอวี้ ท่านบอกมาเถอะว่าจะเดินไปทางซ้ายหรือทางขวา เอาเป็นว่าข้าไม่กล้าขยับแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าก็กลัวท่านจะเข้าใจผิดคิดว่าข้ามีเจตนาร้าย เห็นสตรีหน้าตางดงามแล้วคิดไม่ซื่อ”

อวี้เจวี้ยนฟูไม่ได้เอ่ยอะไร เห็นว่าเขาหยุดเดินก็เดินอ้อมออกไป เดินสวนไหล่กับเขาไกลๆ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะหมุนตัวกลับมา กลายเป็นว่ามาเดินเคียงข้างนาง เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันประมาณห้าหกก้าว ชุยตงซานเอ่ยเบาๆ ว่า “พี่หญิงอวี้ เคยได้ยินชื่อตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่และตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่หรือไม่? มีชิ้นไหนที่ถูกใจไหม? ข้าคือลูกศิษย์ที่ไม่ได้ความที่สุด กระเป๋าฟีบแบนที่สุดของอาจารย์ การฝึกตนต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากมาย ข้าไม่อยากให้อาจารย์เป็นกังวล เลยได้แต่หาเงินมาด้วยตัวเอง อาศัยการเป็นศาลาใกล้น้ำจึงได้ยลแสงจันทร์ก่อน แอบไปขโมยตราประทับและพัดพับของอาจารย์มาก่อนหลายชิ้น แล้วยังไปที่ร้านผ้าแพรต่วนของนายน้อยใหญ่ตระกูลเยี่ยนมาด้วย ซื้อตราประทับในราคาถูกมาได้หลายชิ้น พี่หญิงอวี้ก็คิดเสียว่าข้าเป็นร้านผ้าห่อบุญเถอะ ที่ข้ามีตำราตราประทับอยู่สองเล่ม พัดพับสามอัน พัดกลมหกอัน และตราประทับหกชิ้น พี่หญิงอวี้ ท่านอยากดูสักหน่อยไหม?”

อวี้เจวี้ยนฟูหยุดเดิน ยิ้มกล่าวว่า “หากข้ามองไม่ผิด เรือยันต์ลำนั้นของเจ้าเป็นสมบัติหนักบนภูเขาที่มาจากหลิวเสียทวีป เจ้าอาศัยการขายของกระจุกกระจิกอย่างตราประทับและพัดพับพวกนี้ ต่อให้กิจการเจริญรุ่งเรือง ขายไปหนึ่งร้อยปีจะพอให้ซื้อเรือยันต์ลำนั้นได้หรือไม่? ข้าว่ายาก บอกมาตามตรงเถอะว่ามาหาข้ามีธุระอะไร?”

เห็นเพียงว่าใบหน้าเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย จนใจ ขมขื่น พูดอย่างเหม่อลอยว่า “ในใจของข้า เดิมทีพี่หญิงอวี้คือสตรีชั้นสูงที่แตกต่างไปจากคนอื่นในใต้หล้านี้มากที่สุด ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ท่านก็คงดูแคลนการหาเล็กๆ น้อยๆ อย่างยากลำบากพวกนี้เหมือนกันสินะ ก็จริงนะ ตระกูลเศรษฐีร่ำรวย ต่อให้เป็นแค่ของตกแต่งบนโต๊ะที่ไม่สะดุดตา ต่อให้เป็นโถใส่อาหารนกที่มีรอยร้าวก็ยังมีค่าหลายเหรียญเงินเทพเซียนเลยกระมัง?”

อวี้เจวี้ยนฟูส่ายหน้า “ยังไม่ยอมพูดตรงๆ อีกหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงต้องอาศัยตบะแท้จริงที่อำพรางไว้ทำให้ข้าหยุดเดินแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังว่าข้าจะพูดกับเจ้าอีกแม้แต่คำเดียว”

อวี้เจวี้ยนฟูเตรียมจะเดินหน้าต่อ ชุยตงซานก็รีบพูดทันทีว่า “ใจข้าคิดแต่อยากจะหาเงิน ขณะเดียวกันก็อยากให้พี่หญิงอวี้จำได้ด้วยว่าข้าเป็นใคร พี่หญิงอวี้ไม่เชื่อ ข้าเสียใจมาก นี่ก็เป็นข้าที่รนหาที่เอง ข้าไม่อยากให้พี่หญิงอวี้โกรธแม้แต่น้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าขอเดิมพันกับพี่หญิงอวี้ก็แล้วกัน เดิมพันว่าในบรรดาสิ่งของเหล่านี้ของข้าจะต้องมีสิ่งของที่พี่หญิงอวี้ไม่เพียงแต่ถูกตา ยังยินดีจะควักเงินจ่ายด้วย หากเดิมพันถูกก็ถือว่าข้าชนะท่านแพ้ หากข้าแพ้จะรีบไสหัวไปทันที ชีวิตนี้ชาตินี้จะไม่มาพบพี่หญิงอวี้อีกแล้ว เพราะจะแพ้ไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่หากข้าชนะ พี่หญิงอวี้ต้องจ่ายเงินซื้อไว้ และชัยชนะนี้ของข้าก็เล็กเท่าเมล็ดข้าวสารเท่านั้น ตกลงไหม?”

อวี้เจวี้ยนฟูคลี่ยิ้ม

ทว่าเด็กหนุ่มกลับคล้ายจะอ่านใจนางออก จึงยิ้มตามไปด้วย “พี่หญิงอวี้เป็นใคร ข้ามีหรือจะไม่รู้ การที่กล้าเดิมพันแล้วเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้ ไม่ใช่เพราะคนบนโลกคิดว่าอวี้เจวี้ยนฟูมีชาติกำเนิดจากตระกูลชั้นสูง นิสัยดีเช่นนี้ก็ถือเป็นความใจกว้างของลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์อะไร แต่เป็นเพราะนับตั้งแต่เด็กมาพี่หญิงอวี้ก็รู้สึกมาโดยตลอดว่า ต่อให้ตัวเองจะแพ้ก็ยังสามารถคว้าชัยชนะกลับคืนมาได้ ในเมื่อพรุ่งนี้ชนะได้ เหตุใดวันนี้จึงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้? ไม่มีความจำเป็นเลย”

สีหน้าของอวี้เจวี้ยนฟูมืดทะมึน “เจ้าเป็นใคร?!”

เด็กหนุ่มกล่าวอย่างน้อยใจ “ข้าบอกกับพี่หญิงอวี้แล้วนะ ข้าคือตงซานไงล่ะ”

อวี้เจวี้ยนฟูกระตุกมุมปาก “ข้าไม่เพียงแต่พร้อมยอมรับความพ่ายแพ้ ยังกล้าที่จะเดิมพันด้วย เอาของของเจ้าออกมาเถอะ”

ใบหน้าของชุยตงซานเต็มไปด้วยความเขินอาย ก้มหน้าลงมองแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบเอามือกดไว้ที่เข็มขัด จากนั้นก็เบี่ยงตัวหันข้างทำท่าขัดเขินอิดออด ไม่กล้าให้ใครเห็น

หมัดหนึ่งของอวี้เจวี้ยนฟูจึงพุ่งไปที่จุดไท่หยางของฝ่ายตรงข้าม

เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายกลับยืนนิ่งไม่ขยับราวกับตอไม้ที่ตกใจจนทึ่มทื่อไปแล้ว แล้วก็คล้ายว่าไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย อวี้เจวี้ยนฟูจึงรีบกดปณิธานหมัดที่ใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกให้กลายเป็นพายุหมัดขอบเขตห้าทันที สุดท้ายตอนที่หมัดเข้าใกล้หน้าผากของอีกฝ่ายก็ลดปณิธานหมัดลงอีก ใช้กำลังของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่เท่านั้น อีกทั้งยังลดหมัดลง ทำให้ต่อยเข้าที่แก้มของเด็กหนุ่มชุดขาว คิดไม่ถึงว่าต่อให้ทำถึงขนาดนี้แล้ว ภาพที่เกิดขึ้นต่อมาก็ยังทำให้อวี้เจวี้ยนฟูประหลาดใจมากอยู่ดี

เดิมทีอวี้เจวี้ยนฟูมองตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่ายไม่ออก แต่ในใจก็มีการประเมินสูงต่ำไว้คร่าวๆ แล้ว สูงสุดคือขอบเขตก่อกำเนิด ต่ำสุดคือขอบเขตถ้ำสถิต ไม่อย่างนั้นอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ฝีเท้าและลมหายใจของเด็กหนุ่มก็คงไม่มีทางราบรื่นได้ขนาดนี้ ต่อให้เป็นขอบเขตถ้ำสถิต จะดีจะชั่วก็น่าจะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางแล้ว นี่จึงเป็นเหตุให้อีกฝ่ายสามารถหลบหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าของตนได้ หมัดขอบเขตสี่ก็น่าจะต้านรับได้ไหว ย่อมไม่มีทางบาดเจ็บหนัก ก็แค่อาจจะเจอกับความเจ็บปวดทางกายบ้างเล็กน้อย

อวี้เจวี้ยนฟูไหนเลยจะคิดได้ว่าพออีกฝ่ายโดนหมัดหนึ่งของนางไปแล้ว ร่างจะบินคว้างหลายต่อหลายตลบ ก่อนจะไปกระแทกอยู่จุดที่ห่างไปหลายสิบก้าว มือเท้าชักกระตุกครั้งแล้วครั้งเล่า

หรือหมัดขอบเขตสี่ของนางจะฆ่าคนให้ตายได้?

อวี้เจวี้ยนฟูก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างก็พุ่งวูบไปหยุดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มชุดขาว เลือดกำเดาไหลเป็นของจริง ไม่มีทางเสแสร้งกันได้ จากนั้นเด็กหนุ่มก็กอดน่องขาเล็กข้างหนึ่งของอวี้เจวี้ยนฟูเอาไว้ “พี่หญิงอวี้ ข้านึกว่าจะไม่ได้พบหน้าท่านอีกแล้ว”

อวี้เจวี้ยนฟูขมวดคิ้ว สะเทือนปณิธานหมัดดีดเด็กหนุ่มชุดขาวนั่นออกไปทันที ร่างทั้งร่างของฝ่ายหลังจึงไถลครูดออกไปในแนวนอนหลายสิบก้าว

ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง เช็ดเลือดกำเดาทิ้ง กำลังจะเอามือเช็ดชายแขนเสื้อ แต่คงกลัวว่าจะทำให้เสื้อผ้าสกปรกจึงเช็ดกับพื้นแทน ทำเอาอวี้เจวี้ยนฟูที่มองอยู่ยิ่งขมวดคิ้วหนัก

จูเหมยพูดไม่ผิด สมองของคนผู้นี้มีปัญหาจริงๆ

และในขณะที่อวี้เจวี้ยนฟูเตรียมจะจากไปเพราะไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นี้ต่อนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าชุยตงซานจะควักตำราตราประทับสองเล่มจากชายแขนเสื้อออกมาวางลงบนพื้นด้านหน้าตัวเองอย่างเป็นระเบียบ เพียงแต่ว่าไม่ได้วางหนังสือทั้งสองเล่มนอนลงกับพื้น แต่วางตั้งเอาไว้ บดบังตราประทับ พัดพับและพัดกลมทั้งหมดที่อยู่ด้านหลังตำรา ชุยตงซานยิ้มกว้าง กวักมือเรียก “พี่หญิงอวี้ มาเดิมพันกัน!”

อวี้เจวี้ยนฟูลังเลเล็กน้อย ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินไปหา ‘โต๊ะเดิมพันตัวเล็ก’ นั้น

คงกังวลว่านางจะมองเห็นภาพเหตุการณ์ด้านหลัง ‘ประตูใหญ่สองบาน’ อย่างตำราตราประทับ พอรู้ดีว่าต้องแพ้อย่างแน่นอนก็จะเปลี่ยนใจไม่เดิมพันแล้ว ชุยตงซานจึงรีบยกมือสองข้างขึ้นบดบังตราประทับและพัดทั้งหลายไว้อย่างว่องไว ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างเหมือนหิมะขาวที่ห้อยย้อยลงมา ราวกับหลังคาบ้านที่ถูกสร้างให้บดบังลมฝน