บทที่ 609.2 เล่นหมากล้อมทำลายจิตแห่งเต๋า รสเหล้าร้อนลวกกระเพาะ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

อวี้เจวี้ยนฟูนั่งขัดสมาธิ ยื่นมือมาผลักตำราตราประทับสองเล่มนั้นออก เห็นได้ชัดว่านั่นคือของที่นางไม่มีทางควักเงินซื้อ

เพียงแต่ว่าก่อนที่อวี้เจวี้ยนฟูจะลงมือ ชุยตงซานกลับยื่นสองมือมาบังตราประทับสองชิ้นไว้อีกครั้ง

พัดพับทุกอันล้วนถูกอวี้เจวี้ยนฟูยื่นมือมาผลักออก นางหยิบตราประทับอันที่ชุยตงซานไม่ได้ซ่อนไว้ขึ้นมา มองตัวอักษรบนตราประทับแล้วก็ยิ้ม คือประโยคปลาแปลงเป็นมังกร คำว่าปลาที่อ่านว่าอวี๋ ถือว่าพ้องเสียงกับคำว่าอวี้แซ่ของนาง

คือการเริ่มต้นที่ดี เพียงแต่อวี้เจวี้ยนฟูยังคงไม่รู้สึกหวั่นไหว นับแต่เด็กมาข้าอวี้เจวี้ยนฟูก็ไม่ชอบชื่ออวี้เจวี้ยนฟูนี้ ส่วนแซ่อวี้ แน่นอนว่าต้องรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ แต่กลับไม่ได้หลงใหลเกินไปนัก ส่วนปลาจะกลายเป็นมังกรหรือไม่ นางไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณเสียหน่อย ต่อให้จะเคยเห็นทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่โอฬารของประตูมังกรบนแผ่นดินกลางมาก่อน แต่จิตใจก็ไม่เคยสะท้านไหว ทัศนียภาพก็เป็นแค่ทัศนียภาพเท่านั้น

นี่จึงเป็นเหตุให้อวี้เจวี้ยนฟูทำเพียงแค่เอามันวางไว้ด้านข้าง ยิ้มกล่าวว่า “เหลือแค่ตราประทับสองชิ้นสุดท้ายแล้ว”

ฝ่ามือสองข้างของชุยตงซานกดตราประทับเอาไว้ประหนึ่งนิ้วทั้งห้าของเซียนที่วางทับลงบนยอดเขา “พี่หญิงอวี้ กล้าลงเดิมพันให้ใหญ่กว่าเดิมหรือไม่ การเดิมพันเล็กๆ ก่อนหน้านี้ยังคงมี แต่พวกเรามาเดิมพันกันอีกว่าพี่หญิงอวี้จะชอบตราประทับฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวากันแน่? หรือพี่หญิงอวี้จะเดิมพันให้มากกว่านั้น เดิมพันว่าไม่ชอบทั้งสองชิ้น ต่อให้จะหวั่นไหวแต่ไม่คิดจะจ่ายเงินซื้อ เป็นอย่างไร? พี่หญิงอวี้เคยมีความกล้าหาญของสตรีที่กล้าถามหมัดอาจารย์ของข้า ไม่ทราบว่าวันนี้ความกล้าหาญที่ว่านั้นยังอยู่หรือไม่?”

อวี้เจวี้ยนฟูถาม “การเดิมพันสองอย่างนี้ ใช้ของอะไรในการเดิมพันบ้าง?”

ชุยตงซานใช้เสียงในใจเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “ของเดิมพันข้อที่ใหญ่กว่าตอนแรกเล็กน้อย ก็คือเดิมพันว่าวันหน้าพี่หญิงอวี้จะช่วยนำความของข้าไปบอกแก่ตระกูลอวี้ ส่วนของเดิมพันที่ใหญ่กว่านั้นไปอีกก็คือช่วยข้านำความไปบอกเสินโจวจือ ยังคงเป็นประโยคเดียวเหมือนเดิม วางใจเถอะ พี่หญิงอวี้แค่เป็นคนนำความไปบอกเท่านั้น จะไม่มีทางให้เจ้าทำเรื่องที่เกินความจำเป็นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นการเดิมพันก็ถือเป็นโมฆะ หรือถือว่าข้าแพ้ไปได้เลย”

สีหน้าของอวี้เจวี้ยนฟูเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดในชั่วพริบตา ใช้วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธเอ่ยว่า “ข้าไม่เดิมพันได้ไหม?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ต้องได้แน่อยู่แล้ว มีเจ้ามือที่ไหนบังคับคนอื่นให้มาเดิมพัน? แล้วใต้หล้านี้มีร้านผ้าห่อบุญที่ไหนที่บังคับให้คนอื่นซื้อของของตัวเอง? เพียงแต่สภาพจิตใจของพี่หญิงอวี้ไม่เหมือนกับเมื่อครู่นี้แล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่เชื่อใจท่านเท่าเมื่อครู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรพี่หญิงอวี้ก็เป็นคนตระกูลอวี้ โจวเสินจือก็ยิ่งเป็นผู้อาวุโสที่พี่หญิงอวี้เคารพนับถือ ทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต เป็นเหตุให้การพูดจาที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจก็เพื่อไม่ให้ผิดต่อเจตจำนงเดิมซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่า แน่นอนว่ามีเหตุผลให้อภัยได้ เพียงแต่ว่าโต๊ะพนันก็คือโต๊ะพนัน ข้าเป็นเจ้ามือก็เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า หากว่ากันอย่างเป็นธรรมแล้ว ข้าก็ต้องการให้พี่หญิงอวี้ที่กล้าลงเดิมพันกล้ายอมรับความพ่ายแพ้ ควักเงินมาซื้อของทั้งหมดไป”

อวี้เจวี้ยนฟูถอนหายใจโล่งอก

ชุตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กล้าพนันก็กล้ายอมรับความพ่ายแพ้ นั่นเพราะพี่หญิงอวี้มั่นใจว่าตัวเองจะชนะ น่าเสียดายที่การยอมรับความพ่ายแพ้ในวันนี้ ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจทวงคืนชัยชนะมาได้ แน่นอนว่านี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก จะมองข้ามขนบธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ยิ่งใหญ่ของโลกเพียงเพื่อความสะใจเล็กๆ ได้อย่างไร ขนาดมีวิชาหมัดสูงส่งยังเป็นเช่นนี้ วิชาหมัดไม่สูงก็ยิ่งควรเปลี่ยนให้เป็นเช่นนี้”

อวี้เจวี้ยนฟูเงยหน้าขึ้น “เจ้าจงใจใช้ถ้อยคำของเฉินผิงอันมายั่วยุข้าอย่างนั้นรึ?”

ตอนอยู่บนถนนใหญ่หน้าประตูจวนหนิง การถามหมัดครั้งแรกของอวี้เจวี้ยนฟู เฉินผิงอันเคยบอกว่าผู้ฝึกยุทธจะพูดแรงได้ก็ต้องมีปณิธานหมัดที่ใหญ่มากพอ

ชุยตงซานยิ้มตาหยี “ใช่แล้วอย่างไร? ไม่ใช่แล้วอย่างไร? ถอยก้าวหนึ่งวันนี้แล้วอย่างไร พรุ่งนี้ก็เดินออกไปอีกสักสองก้าวสิ อวี้เจวี้ยนฟูไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณเสียหน่อย คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว บนเส้นทางของการเรียนวรยุทธ แต่ไหนแต่ไรมาก็เหมือนการพายเรือทวนกระแสน้ำ ไม่ช่วงชิงความช้าเร็วกับกาลเวลาอยู่แล้ว”

อวี้เจวี้ยนฟูถาม “เจ้ารู้อยู่แล้วใช่ไหมว่า หากข้าแพ้ก็ต้องนำความของเจ้าไปบอกแก่คนตระกูลอวี้ และเพื่อเจตจำนงเดิม ข้าอวี้เจวี้ยนฟูก็ต้องจมอยู่แต่ในตระกูลอวี้ จะไม่เหลือความมั่นใจที่จะออกเดินทางไปทั่วสี่ทิศอีก”

ชุยตงซานพยักหน้ายิ้มกล่าว “แน่นอน หากไม่รู้นิสัยใจคอของนักพนันบ้างเลย จะกล้ามาเป็นเจ้ามือต้อนรับแขกจากทั่วสารทิศได้อย่างไร? ก็แค่อวี้เจวี้ยนฟูไม่ชอบชื่อที่บรรพบุรุษตั้งให้ก็เท่านั้น เป็นสตรี แต่กลับถูกปฏิบัติดั่งบุรุษ มีสตรีคนใดที่มีอารมณ์ความรู้สึก เมื่อเติบใหญ่แล้วจะยังชื่นชอบอยู่ได้อีก? เพียงแต่ข้าเชื่อว่าความรู้สึกที่อวี้เจวี้ยนฟูมีต่อแซ่ของตัวเองยังนับว่าไม่เลว”

อวี้เจวี้ยนฟูยิ้มจืดเจื่อน

จูเหมยเอ๋ยจูเหมย เจ้าเด็กโง่เอ้ย ไม่ว่าครั้งนี้แพ้หรือชนะ กลับไปข้าก็คงต้องด่าเจ้าสักหลายๆ คำ

ขณะที่อวี้เจวี้ยนฟูอยู่ในอารมณ์ซับซ้อนสับสน อันที่จริงนางก็คอยสังเกตความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา หวังว่าจะใช้สิ่งนี้มาวิเคราะห์ว่าสรุปแล้วจะเป็นตราประทับชิ้นใดกันแน่ถึงทำให้ชุยตงซานผู้นี้มั่นใจขนาดนี้

เพียงแต่ว่ายิ่งมองยิ่งคิด อวี้เจวี้ยนฟูก็ยิ่งไม่มั่นใจ

อวี๋เจวี้ยนฟูควักเงินร้อนน้อยออกมาเหรียญหนึ่ง ดีดเบาๆ หนึ่งครั้ง พอเหรียญร่วงลงพื้นก็เห็นว่าเป็นฝั่งก้อยที่หงายขึ้น อวี้เจวี้ยนฟูจึงเอ่ยว่า “มือขวา! ข้าเดาว่าเป็นตราประทับที่มือขวาบังไว้ที่ข้าจะไม่ควักเงินซื้อมัน”

ชุยตงซานโน้มตัวเตรียมจะเก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นขึ้นมา

อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ยอย่างเดือดดาล “ชุยตงซาน!”

ชุยตงซานเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเหลอหรา “ชนะแล้วไม่เก็บเงิน ข้าจะมาเป็นเจ้ามือกับร้านผ้าห่อบุญนี่ทำไม อาจารย์ของข้าเป็นกุมารแจกทรัพย์ แต่ข้าไม่ใช่สักหน่อย เงินพวกนี้ข้าหามาได้ด้วยความยากลำบากและไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจเลยนะ”

อวี้เจวี้ยนฟูจ้องมองด้วยสายตากรุ่นโกรธ

ชุยตงซานจึงหัวเราะร่าแล้วดึงมือกลับมา พอยกมือขึ้นก็เผยให้เห็นตราประทับชิ้นนั้น “ที่แท้ยามที่พี่หญิงอวี้โกรธก็น่ามองยิ่งกว่าเสียอีก”

อวี้เจวี้ยนฟูเอื้อมมือคว้าจับบังคับตราประทับชิ้นนั้นให้ลอยกลางอากาศเข้ามาอยู่ในมือ ก้มหน้าลงมอง ไม่ใช่ตราประทับชิ้นใดที่อยู่ในตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่และตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่

ตรงขอบของตราประทับแกะสลักคำว่า หินอยู่ในลำธาร จะไม่ใช่เสาหลักกลางกระแสน้ำได้อย่างไร ก้อนเมฆงดงามอยู่บนฟ้า หมัดยังคงอยู่บนฟ้าเหนือฟ้า

ส่วนตัวอักษรบนตราประทับคือ เทพีแห่งการต่อสู้ เฉินเฉาอยู่ข้างกาย

อวี้เจวี้ยนฟูกำตราประทับนี้ไว้แน่น นางเงียบไปนานกว่าจะเงยหน้าขึ้น “ข้าแพ้แล้ว ว่ามาเถอะ จะให้ข้านำความใดไปบอกแก่ทางตระกูล”

ความร้ายกาจของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่การใช้สองนามแฝงของนางอย่างคำว่าสือไจ้ซี (หินในลำธาร) และอวี้ฉี่อวิ๋น (ก้อนเมฆงดงาม) กระทั่งเส้นสายระหว่างตระกูลตนกับอาจารย์ผู้เฒ่าโจว อีกฝ่ายก็ยังรู้อย่างชัดเจน และนี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้

ความร้ายกาจที่แท้จริงของอีกฝ่ายนั้นอยู่ที่การคาดเดาใจคน เดาได้อย่างแม่นยำว่านางอวี้เจวี้ยนฟูยอมรับประโยคนั้นของเฉินผิงอันจากใจจริง คำนวณได้อย่างแม่นยำว่าหากตนแพ้ก็จะยินดีรับปากตระกูลว่าจะไม่เตร็ดเตร่ออกไปทั่วทิศอีก แต่จะทำตัวให้สมกับเป็นลูกหลานตระกูลอวี้ที่แท้จริง ยอมออกแรงเพื่อตระกูลอวี้ นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่าประโยคที่อีกฝ่ายต้องการให้ตนนำไปบอกแก่บรรพบุรุษ ไม่ว่าตระกูลอวี้ฟังไปแล้วจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร อย่างน้อยที่สุดก็จะกลั้นใจยอมรับความสัมพันธ์ควันธูปนี้เอาไว้! ยิ่งคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธของนางอวี้เจวี้ยนฟูในทุกวันนี้ ก็คือไล่ตามเฉาสือและเฉินผิงอัน จะไม่มีทางทนมองแผ่นหลังของบุรุษทั้งสองยิ่งเดินยิ่งห่างไปไกลอย่างแน่นอน!

สีหน้าของอวี้เจวี้ยนฟูหม่นหมอง รออยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ได้เอ่ยด้วยเสียงในใจ จึงเงยหน้าขึ้นพูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวว่า “ข้ากล้าเดิมพันก็กล้ายอมรับความพ่ายแพ้! เชิญพูดมา!”

ชุยตงซานมองสตรีผู้นี้แล้วคลี่ยิ้ม ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นแม่นางน้อยที่ค่อนข้างจะน่ารัก ดังนั้นเขาจึงเอ่ยประโยคนั้นออกไป

อวี้เจวี้ยนฟูกล่าวอย่างตกตะลึง “แค่ประโยคนี้เองหรือ?”

ประโยคที่คนผู้นี้เอ่ยเมื่อครู่นี้แปลกประหลาดมาก พิลึกพิลั่นอย่างถึงที่สุด!

‘ตาเฒ่าตระกูลอวี้ รีบไปหาสถานที่ที่ไร้ผู้คนแล้วตะโกนดังๆ ว่า ‘หากฝีมือเล่นหมากล้อมของข้าไม่ห่วย แล้วใครจะห่วย’ ‘ข้าชอบล้มกระดานหมาก ข้าเคยชนะใครเสียที่ไหน’ ให้ครบสามรอบ’

หรือว่าแท้จริงแล้วคำพูดของแม่นางน้อยจูเหมยนั่นถึงจะถูกต้อง จริงแท้แน่นอนที่สุด?

เพราะถึงอย่างไรคำพูดเช่นนี้ ตนแค่ต้องนำความไปบอกเท่านั้น บอกไปแล้ว บรรพบุรุษจะทำหรือไม่ทำก็ย่อมได้

ชุยตงซานเก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นมา ตัวอักษรบนเหรียญหายากอย่างถึงที่สุด มีความเป็นไปได้ว่าจะเหลือแค่เหรียญเดียวบนโลก เงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งขายด้วยราคาของเงินฝนธัญพืชก็ยังถูกพวกเทพเซียนที่ชอบ ‘เก็บสะสมเหรียญเงิน’ แย่งกันหัวร้างข้างแตก ไม่เสียทีที่พี่หญิงอวี้เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่จริงๆ วันหน้าออกเรือน สินสอดต้องเยอะมากแน่ๆ น่าเสียดายแทนเจ้าไหวเฉียนที่ชะตาอาภัพผู้นั้นจริงๆ ไม่มีดวงจะได้เสวยสุขแล้ว เรื่องที่อาภัพที่สุดก็คือยังไม่ตาย แต่กลับได้แต่มองดูพี่หญิงอวี้ที่เมื่อก่อนต่างคนต่างก็ดูแคลนกันเอง แต่ตอนนี้ถูกใจนางแล้ว ทว่านางกลับยังดูแคลนเขาออกเรือนแต่งไปเป็นภรรยาผู้อื่น พอคิดถึงเรื่องนี้ ชุยตงซานก็จดคุณความชอบเล็กๆ ให้กับตัวเอง วันหน้าหากมีโอกาสต้องเอาไปคุยอวดศิษย์พี่หญิงใหญ่สักหน่อย

มือซ้ายของชุยตงซานกดตราประทับชิ้นสุดท้ายนั้นไว้ตลอดเวลา ยิ้มกล่าวว่า “พี่หญิงอวี้ อยากจะลองเดิมพันเป็นครั้งสุดท้ายดูไหม หากข้าชนะ พี่หญิงอวี้ก็เอาถ้อยคำไปเอ่ยให้โจวเสินจือฟัง แต่หากข้าแพ้ คำพูดที่เอ่ยกับตระกูลอวี้ประโยคนั้นก็ให้ถือเป็นโมฆะได้เลย และเงินร้อนน้อยเหรียญนี้ก็จะคืนให้เจ้า ถึงอย่างไรก็ถือว่าข้าไม่ทันระวังเลยแพ้หมดกระดาน ทุกการเดิมพันล้วนถือว่าข้าแพ้ทั้งหมด ตกลงไหม?”

อวี้เจวี้ยนฟูครุ่นคิด ต่อให้การเดิมพันสุดท้ายนี้ ตนแทบจะชนะได้อย่างมั่นคง แต่อวี้เจวี้ยนฟูก็ไม่คิดจะเดิมพันอีก นี่เป็นเพียงแค่ลางสังหรณ์ของผู้หญิงเท่านั้น

อวี้เจวี้ยนฟูส่ายหน้า “ไม่เล่นแล้ว!”

และคนที่อยู่ฝั่งตรงห้ามก็หัวเราะก๊ากเสียงดัง “โชคในการเสี่ยงดวงของพี่หญิงอวี้มองดูเหมือนไม่ดี แต่แท้จริงแล้วกลับดีมากๆ ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดข้าถึงพูดเช่นนี้ อีกไม่นานพี่หญิงอวี้ก็จะได้รู้คำตอบแล้ว แล้วยังเป็นวันนี้อีกด้วย”

อวี้เจวี้ยนฟูกล่าวอย่างเดือดดาล “ยังจะใช้วิธียั่วยุอีกรึ? ไม่จบไม่สิ้นสักทีหรือไร?!”

ชุยตงซานโยนตราประทับที่กุมไว้ตลอดเวลาชิ้นนั้นไปให้อวี้เจวี้ยนฟูเบาๆ “มอบให้เจ้า ถือเสียว่าข้าที่เป็นลูกศิษย์ขออภัยเจ้าแทนอาจารย์ของข้าก็แล้วกัน”

อวี้เจวี้ยนฟูรับตราประทับชิ้นนั้นมาแล้วก็ปากอ้าตาค้าง พึมพำว่า “เป็นไปไม่ได้ ตราประทับชิ้นนี้ถูกเซียนกระบี่ไม่ทราบชื่อซื้อไปแล้ว ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนก็ยังตรวจสอบไม่พบว่าใครซื้อไป เจ้าเพิ่งมาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่แค่ไม่กี่วัน…อีกอย่างเจ้าจะรู้ได้อย่างไร ขอแค่เป็นตราประทับ ขอแค่เป็นมัน…”

ชุยตงซานพูดปลงอนิจจังราวกับเด็กน้อยที่แสร้งทำเป็นเอ่ยถ้อยคำลึกซึ้ง “การเดิมพันใหญ่ในใต้หล้านี้ โอกาสชนะล้วนอาศัยโชคใหญ่”

ชุยตงซานเก็บของทั้งหมดที่อวี้เจวี้ยนฟูไม่ถูกใจกลับมาแล้วลุกขึ้นยืน “ของกระจุกกระจิกพวกนี้ ถือเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่พี่หญิงอวี้มอบให้ข้าก็แล้วกัน พอคิดถึงว่าวันหน้าพี่หญิงอวี้ก็จะกลายมาเป็นคนสนิทคุ้นเคยกันแล้ว ข้าก็ดีใจ ดีใจจริงๆ”

อวี้เจวี้ยนฟูยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เงยหน้าขึ้น “ผู้อาวุโสเป็นใครกันแน่?”

สามารถเรียกบรรพบุรุษของนางว่าตาเฒ่าตระกูลอวี้และบอกว่าเขาเล่นหมากล้อมได้ห่วยแตก ถึงขั้นยังกล้าเรียกชื่ออาจารย์ผู้เฒ่าโจวว่าโจวเสินจือได้โดยตรง

เด็กหนุ่มชุดขาวยิ้มตาหยี “ข้าก็คือตงซานไงล่ะ”

ชุยตงซานก้าวยาวๆ ไปหาคนอื่น

พอชุยตงซานก้าวออกไปได้หลายก้าวก็พลันหยุดเดินแล้วหันกลับมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่หญิงอวี้ วันหน้าอย่าได้โยนเงินเสี่ยงทายหัวก้อยเพื่อตัดสินใจเลือกต่อหน้าคนอื่นอีก ไม่กล้าพูดว่าทั้งหมด แต่ช่วงเวลาส่วนใหญ่แล้ว เรื่องของโชควาสนาที่เจ้าคิดว่าเป็นมายาล่องลอยนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพราะขอบเขตของเจ้าไม่สูงถึงได้มีโชค โชคดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่เจ้า แล้วก็ไม่ได้อยู่ที่สวรรค์ วันนี้อยู่ที่ข้า เจ้ายังสามารถยอมรับได้ แต่วันหน้าล่ะ? วันนี้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธอวี้เจวี้ยนฟู วันหน้ากลับเป็นอวี้เจวี้ยนฟูแห่งตระกูลอวี้ ประโยคนั้นของอาจารย์ข้า ขอพี่หญิงอวี้โปรดใคร่ครวญทุกคืนวัน ไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำอีก”

อวี้เจวี้ยนฟูเงียบงันเป็นคำตอบ

ตราประทับที่อยู่ในมือนางชิ้นนี้ไม่มีลายขอบ มีเพียงตัวอักษรตรงกลาง

ห่านชนกำแพง

อวี้เจวี้ยนฟูหันหน้าไปมอง

เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นกำลังเดินพลางปล่อยหมัดอยู่บนหัวกำแพง ปากเปล่งเสียงร้องฮื่อฮ่า อีกทั้งเสียงยังไม่ใช่เบาๆ นั่นคงเป็นวิชาหมัดที่พอจะเรียกได้ว่าหมัดหวังปา (หมัดตะพาบ เป็นคำด่า เปรียบเปรยว่าเป็นการปล่อยหมัดส่งเดช) กระมัง

……

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกำลังถ่ายทอดเวทกระบี่ให้กับเด็กๆ ของราชวงศ์เส้าหยวน

ตามกฎของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เมื่อขึ้นมาบนหัวกำแพงเมืองก็ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรอีกแล้ว หากคิดจะตั้งกฎขึ้นมาเองก็อาศัยกระบี่ในการพูดเท่านั้น

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยคือคนต่างถิ่น เวทกระบี่ไม่ต่ำ แต่กลับมีนิสัยอ่อนโยน บวกกับตนกับกลุ่มเด็กรุ่นเยาว์ผู้มีพรสวรรค์กลุ่มนี้มีชื่อเสียงธรรมดามากในกำแพงเมืองปราณกระบี่ แน่นอนว่าไม่คิดจะเป็นปฏิปักษ์กับเด็กหนุ่มชุดขาวที่มองดูพวกเขาฝึกกระบี่อยู่ไกลๆ อีกทั้งเด็กหนุ่มคนนั้นยังมองพวกเขาอยู่แค่ไม่กี่ทีก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของตัวเองต่ออีกครั้ง เซียนกระบี่ขู่เซี่ยชำเลืองตามองชื่อหนังสือ คือตำราหมากล้อมเล่มหนึ่ง มีชื่อว่า ‘ตำราศาลาแห่งความชื่นมื่น’ มีชื่อเสียงแพร่หลายมากในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในราชวงศ์เส้าหยวน เป็นตำราที่เอาไว้ใช้ไขปัญหายากตายตัวโดยเฉพาะ ประโยคหนึ่งในบทนำนั้นก็ยิ่งได้รับการยกย่อง ‘ฝีมือของข้าสูงหรือต่ำ ต้องดูที่วิธีรับมือที่ดีที่สุดในการเล่นหมากล้อมของอีกฝ่าย ใช้วิธีการที่แข็งแกร่งรับมือกับผู้แข็งแกร่ง แล้วค่อยใช้วิธีที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าคว้าชัยชนะไปทีละก้าว นั่นจะไม่สาสมใจหรอกหรือ?’

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยคลี่ยิ้ม ตบะและขอบเขตของคนผู้นี้น่าจะไม่ต่ำ เพียงแต่ว่าเก็บอำพรางไว้ได้เป็นอย่างดี แม้แต่เขาก็ยากที่จะมองทะลุไปถึงรากฐานของอีกฝ่ายได้ในปราดเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรหรือขอบเขตประตูมังกรแล้ว ส่วนจะเป็นโอสถทองหรือก่อกำเนิดในกลุ่มของเซียนดิน ก็ยิ่งบอกได้ยาก

หรือว่าคิดจะใช้การเล่นหมากล้อมมาหาเรื่อง? ‘เด็กหนุ่ม’ ที่บอกอายุแท้จริงได้ยากคนนี้มาผิดที่หรือไม่?

นอกจากจะถ่ายทอดเวทกระบี่แล้ว เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ยังให้กลุ่มผู้มีความสามารถซึ่งจะเป็นเสาคานของราชวงศ์เส้าหยวนในอนาคตฝึกตนด้วยตัวเอง ตามหาโชควาสนาและคว้าจับมาด้วยตัวเอง

เด็กหนุ่มที่เป็นลูกศิษย์สายของเหวินเซิ่งคนนั้นมีความอดทนไม่น้อย เขานั่งอ่านตำราหมากล้อมอยู่ตรงนั้น ไม่เพียงเท่านี้ ยังหยิบกระดานและโถเก็บเม็ดหมากออกมาด้วย ครั้นจึงเริ่มเล่นหมากล้อมอยู่กับตัวเอง