ตามกลิ่นหอมที่แผ่กระจาย สัตว์ปีกบนฟ้ารวมตัวกันมากมายราวกับเมฆ สัตว์เลื้อยคลานบนพื้นดินไต่บนพื้นหนาแน่น พวกทหารยามนอกพระตำหนักอุทยานมองมาทางนี้อย่างประหลาดใจ
พวกซ่างกวนชิงเหลียวซ้ายและขวา
ประมุขชิงร่ายอิทธิฤทธิ์หยุดเผา สะบัดแขนเสื้อหนึ่งที คลื่นกลมระลอกหนึ่งระเบิดออกโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง สัตว์เลื้อยคลานบนพื้นและสัตว์ปีกบนฟ้าถูกแรงระเบิดกระเด็นออกไป
ขณะมองปิ่นปักผมในมือถูกเผาไหม้ไปข้อหนึ่ง ประมุขชิงก็หันตัวมาหาทุกคน โบกปิ่นปักผมในมือด้วยแววตาเป็นประกาย เต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิม
พวกลูกน้องเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ เป็นของจริง เป็นไม้ไม่ผุในตำนานจริงๆ
ซ่างกวนชิงใช้มือมือมอบม้วนตำราด้วยรอยยิ้ม “ยินดีกับฝ่าบาท สอดคล้องกับลักษณะพิเศษของไม้ไม่ผุบนม้วนตำราทุกประการ น่าจะไม่ผิดพลาดขอรับ”
โพ่จวินชำเลืองภาพบนม้วนตำราพลางถามอย่างแปลกใจ “ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าม้วนตำรานี้ใครเป็นผู้เขียนขึ้น เห็นได้ชัดว่าคนเขียนม้วนตำราเคยพบไม้ไม่ผุแล้ว ไม่รู้ว่าได้เป็นอมตะหรือเปล่า?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเขียน” ประมุขชิงส่ายหน้า
โพ่จวินจ้องม้วนตำราแล้วพูดต่อ “ตามที่บรรยายไว้บนม้วนตำรา ไม้ไม่ผุยังมีผลข้างเคียง ต้องดื่มเลือดของมันถึงจะเป็นอมตะ ถ้าเข้าใจผิดไปกินไม้ของมัน ตัวคนก็จะกลายเป็นไม้ จะไม่ผุพังโดยใช้อีกวิธีการ”
ซ่างกวนชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ใครจะโง่ถึงขนาดไปกินไม้ บนนี้ก็บอกไว้แล้ว ถ้าฟันไม้นี้ออก ตรงปากแผลจะมีเลือดหยดออกมา ถ้าดื่มชามใหญ่จะสามารถมีชีวิตเป็นอมตะ”
ประมุขชิงกล่าวเสียงดังว่า “เกาก้วน งานในมือที่วางได้ก็วางไว้ก่อน รวบรวมกำลังจัดการเรื่องนี้ สอบสวนผู้หญิงสามคนนั้นให้ชัดเจน ต้องสืบให้เจอคนสำนักเทียนกู่ที่ถูกชิงตัวไป โดยเฉพาะซ่งต๋านั่น ต้องหาเขาให้เจอ! กำลังคนในมือพวกเจ้าต้องให้ความร่วมมือเต็มที่!”
“รับทราบ!” ทุกคนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง
ประมุขชิงโบกปิ่นปักผมในมือ “ไม้ไม่ผุคงจะไม่ได้มีแค่เลือดอมตะชามเดียวแน่ ขอเพียงหาไม้ไม่ผุพบ ข้าจะให้ทุกคนร่วมเป็นอมตะด้วยกัน!”
นี่นับเป็นคำสัญญาปลุกใจ ก็ช่วยไม่ได้ เขาคนเดียวต่อให้มีความสามารถมากขนาดไหน ต่อให้วรยุทธ์สูงขนาดไหน พลังแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์ อาศัยแค่เขาคนเดียวจัดการเรื่องนี้ไม่ได้
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ทุกคนกุมหมัดคารวะ
เกาก้วนที่ยืนตัวตรงพลันบอกว่า “ฝ่าบาท เกรงว่าจะยุ่งยากแล้ว”
ทุกคนมองตามสายตาเขา เห็นเพียงตรงประตูลานตำหนักบนแนวภูเขาโดยรอบ ส่วนใหญ่ล้วนมีคนกำลังมองมาทางนี้ เห็นได้ชัดว่าตกใจกับเสียงความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ คาดว่าคงเห็นแล้ว
ประมุขชิงเริ่มมีสีหน้าหนักแน่น เมื่อครู่นี้กระตุ้นเพื่อทดสอบว่าไม้ไม่ผุเป็นของจริงหรือของปลอม จึงไม่ทันคิดไปทางด้านนี้ ปิดบังมาตั้งนานแต่กลับถูกเขาเปิดโปงเองแล้ว
ไม่ใช่แค่เขา หลายคนในที่เกิดเหตุก็ไม่ได้คำนึงถึงเช่นกัน ได้แต่ทอดถอนใจให้เบื้องล่างที่เข่นฆ่ากันเพื่อปิดบัง
“ฝ่าบาท พี่น้องเบื้องล่างสามารถหยถดเข่นฆ่ากันเพื่อปิดบังได้แล้วขอรับ” โพ่จวินกล่าวอย่างทอดถอนใจ
จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม ในห้องโบราณ เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งขัดสมาธิบนเตียงไม้พลันลืมตา “ประมุขชิงสร้างสถานการณ์ตบตาหรือเปล่า ประมุขชิงจะทดสอบไม้ไม่ผุอย่างเปิดเผยได้ยังไง?”
เว่ยซูส่ายหน้า “คุณชายเก้ายืนยันแล้ว ว่าผู้หญิงสามคนนั้นตกอยู่ในมือประมุขชิงแล้วจริงๆ พบกับประมุขชิงที่พระตำหนักอุทยานแล้ว”
เซี่ยโห้วลิ่งเงียบไป สงสัยในพระตำหนักอุทยานก็มีคนของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกัน
จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีเดินไปเดินมาอยู่ในป่าพลันหยุดนิ่ง แล้วเอียงหน้าถามว่า “ประมุขชิงสร้างสถานการณ์ตบตาหรือเปล่า?”
ถังเฮ่อเหนียนยิ้มเจื่อน “จะสร้างสถานการณ์ตบตาหรือไม่นั้นไม่สำคัญ กองทัพองครักษ์ที่หลบหนีการสังหารพวกนั้นหลุดมือไปแล้ว ค้นตัวแล้วไม่เจอผู้หญิงสามคนนั้น คาดว่าคงฉวยโอกาสตอนวุ่นวายหนีไปแล้ว ตอนนี้กองทัพองครักษ์เตือนให้พวกเราปล่อยคนเดียวนี้”
“ไม่มีประโยชน์แล้วจะเก็บไว้ทำไม? ปล่อยไปเถอะ” โค่วหลิงซวีโบกมือ แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอีก” สำนักเทียนกู่ สืบมาว่าคนของสำนักเทียนกู่ไปไหนแล้ว! ไม้ไม่ผุที่แท้จริงไม่น่าจะแสร้งอยู่บนตัวได้ คิดหาทางจับตาดูคนของวังสวรรค์ไว้ พวกเขาคงจะไปหาแล้ว”
“ขอรับ!” ถังเฮ่อเหนียนเอ่ยรับ
จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางที่อยู่ในห้องตบโต๊ะยืนขึ้น “น่ารังเกียจ!”
ซูอวิ้นโน้มน้าวอยู่ข้างๆ “ท่านอ๋องไม่ต้องโมโหค่ะ ปิ่นปักผมอันนั้นกับผู้หญิงสามคนนั้นคงจะเป็นเพียงเบาะแส น่าจะมีโอกาสอีกค่ะ!”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้!” ฮ่าวเต๋อฟางกัดฟัน “เสียประโยชน์ให้หนิวโหย่วเต๋อนั่นแล้ว!”
ซูอวิ้นเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ เขานึกไม่ถึงว่าการแย่งชิงจะจบลงเร็วขนาดนี้ ประกาศต่อใต้หล้าโดยสูญเปล่า ถ้ารู้แต่แรกคงอดทนไว้สักหน่อย หนิวโหย่วเต๋อใช้วิธีการโจมตีมาบีบเขา สิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจมากก็คือ ตอนที่เพิ่งประกาศออกไป ใต้หล้ารู้กันหมดแล้ว จะแตกคอกันทันทีก็จะดูไม่สมเหตุสมผล
ซูอวิ้นปลอบใจว่า “ท่านอ๋อง ที่โดนหนิวโหย่วเต๋อฉวยโอกาสก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นสำนักเทียนกู่ก็ถูกชิงตัวไปจากอาณาเขตทัพใต้ เกรงว่ายังเป็นจุดเน้นให้อำนาจแต่ละฝ่ายมาช่วงชิง ตราบใดที่เรื่องนี้ยังไม่จบ ทุกคนก็ยังเพ่งสมาธิอยู่กับเรื่องนี้ ยังไม่มีใครอยากให้มีปัญหาอื่นเข้ามาแทรก ท่านอ๋องโจมตีฝ่ายเดียวคงไม่คุ้ม แล้วอีกอย่าง ในภายหลังขอเพียงมีข้ออ้าง ยังกลัวจะไม่มีโอกาสจัดการเขาอีกเหรอคะ? ตอนนี้การตามหาไม้ไม่ผุคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของท่านอ๋อง ทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋ออย่าเพิ่งไปสนใจค่ะ”
ฮ่าวเต๋อฟางพยักหน้าเงียบๆ
พิภพเล็ก นภาอู๋เลี่ยง ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น หิมะขาวโพลน ลมหนาวพัดวูบ
อวิ๋นจือชิว หลินผิงผิง เสวี่ยเอ๋อร์ ทั้งสามเหาะมาเหยียบลงบนยอดเขา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตามหาอยู่ท่ามกลางหิมะ
กลับมาพิภพเล็กครั้งนี้ อวิ๋นจือชิวไม่ได้มาที่นี่ทันที แบบนั้นจะชัดเจนเกินไป นางไปเยี่ยมเยว่เหยาที่แดนโพ้นสวรรค์ก่อน ตอนนั้นเยว่เหยาอยู่ฝึกตนที่แดนโพ้นสวรรค์คนเดียว ไม่ได้อยู่กับฉินเวยเวย
หลังจากมาถึงนภาอู๋เลี่ยง ก็พูดคุยกับฉินเวยเวยอีกเล็กน้อย หลังจากพักผ่อนอย่างเป็นทางการแล้ว ถึงอ้างว่าเดินเล่นเพื่อมาที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น โดยมีเหยียนซิวคอยเฝ้าป้องกันให้บนยอดเขา
“ฮูหยิน ใช่ต้นนี้หรือเปล่าคะ?” จู่ๆ เสวี่ยเอ๋อร์ก็เอ่ยถาม
อวิ๋นจือชิวกับหลินผิงผิงถลันตัวเข้าไปพร้อมกัน เห็นเพียงตอไม้ต้นหนึ่งอยู่ในกองหิมะที่แหวกออก ถ้าไม่ใช่เพราะบนตอไม้มีรอยเลือดสีแดงเล็กน้อย ตอไม้ที่ขาวดุจหยกก็อาจถูกเข้าใจผิดเป็นก้อนน้ำแข็งแน่นอน
หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดกวาดกองหิมะหมดแล้ว อวิ๋นจือชิวก็เดินวนหลายรอบ ตรวจสอบดูอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ตัดตอไม้ไปไม่ถึงโคน ยังสูงถึงเข่า จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เฟิงเป่ยเฉินให้ความสำคัญในปีนั้นอาจจะเป็นไม้ไม่ผุ ถูกลืมอยู่ที่นี่โดยไม่มีใครสนใจ อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่เคยเห็นไม้ไม่ผุของจริง พึมพำอย่างลังเลว่า “คงจะเป็นสิ่งนี้ละมั้ง”
หลินผิงผิงใช้เท้าแหวกกองหิมะออก จากนั้นอุทาน “เอ๋” แล้วโน้มตัวดึงกิ่งไม้กิ่งหนึ่งออกจากกองหิมะ สีขาวบริสุทธิ์ดุจหยก เส้นเลือดชัดเจนจนสังเกตเห็นได้ ใบไม้ก็ยังอยู่บนนั้น
อวิ๋นจือชิวรู้สึกสะเทือนใจ เรียกให้อีกสองคนมาเก็บกวาดตรงนี้ด้วยกัน ไม่นานก็เห็นกิ่งไม้แห้งจำนวนมากจากกองหิมะ พวกมันถูกแช่แข็งเอาไว้ จึงคงสภาพเดิมไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ ในปีนั้นเฟิงเป่ยเฉินก็ตัดต้นไม้ต้นนี้ ต้นไม้ต้นใหญ่แต่ตัดไปได้เพียงท่อนไม้สองท่อน ส่วนใหญ่เหลือทิ้งไว้ที่นี่
“เก็บกวาดให้ละเอียด ถ้าเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ นั่นล้วนเป็นของดี อย่าให้มีตกหล่น” อวิ๋นจือชิวกล่าวเตือน
ทั้งสามคนไม่ปล่อยให้เหลือแม้แต่ชิ้นเล็กชิ้นน้อย สุดท้ายก็เก็บกวาดได้เป็นกอง
พอตรวจสอบกิ่งใหญ่ไปรอบหนึ่งแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ตรวจสอบตอไม้นั่นอีก ผลก็คือพบว่ามันตายไปแล้ว ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้นอีก นางดึงขึ้นมาดูทั้งราก อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “ว่ากันว่าเลือดของไม้ไม่ผุจะไม่ถูกแช่แข็ง ต่อให้อุณภูมิต่ำแค่ไหนก็ไม่แข็ง ถ้าหยดออกมาเกินระยะเวลาหนึ่งมันจะแห้งไปเอง พอมาดูตอนนี้สงสัยจะเป็นเรื่องจริง ต้นไม้ต้นนี้อาจจะเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ น่าเสียดายแล้ว”
หลังจากนางตรวจสอบแล้ว ก็พบว่าในเส้นเลือดของกิ่งไม้มีน้ำเลือดที่ทำให้คนเป็นอมตะตามตำนานจริงๆ จะไม่ปวดใจได้อย่างไร
หลินผิงผิงยิ้มปลอบใจ “ฮูหยิน ถ้านี่คือไม้ไม่ผุจริงๆ นำมาเผาผสมน้ำอาบแล้วจะรักษาความอ่อนเยาว์ได้ไม่ใช่เหรอคะ? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็ไม่ขาดทุนแล้ว”
ในบรรดาสามคนนี้ ใบหน้าของนางดูมีอายุมากที่สุด สาเหตุก็เป็นเพราะตอนแรกมีทรัพยากรฝึกตนไม่พอ การยืดระยะเวลาแก่ชราไม่ดีเท่าไร สำหรับนางแล้ว ถ้าสามารถรักษาความอ่อนเยาว์ของตอนนี้ไว้ได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้ขออะไรมากมายกว่านี้
นางรู้ดี ในเมื่ออวิ๋นจือชิวปล่อยให้นางรู้ความลับนี้ได้ อีกทั้งตรงนี้ก็มีกิ่งไม้แห้งของไม้ไม่ผุมากมาย กอปรกับหยางเจาชิงสามีของนางถูกใช้งานในตำแหน่งสำคัญข้างกายเหมียวอี้ นางต้องได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์นี้แน่นอน
“นั่นก็ใช่” อวิ๋นจือชิวลูบใบหน้าตัวเองด้วยรอยยิ้ม “เก็บไว้ให้หมด อย่าให้ตกหล่นแม้แต่น้อย รอให้ยืนยันได้ก่อน แล้วพวกเราก็มาทดลองกัน ถ้าเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ ก็เพียงพอให้คนใช้หลายคนเลย อนุภรรยาพวกนั้นของนายท่านก็ยังได้ทั่วถึง เดี๋ยววันหลังให้เจาชิงแต่งอนุอีกสักคนมาอาศัยบารมีด้วยกัน”
“ฮูหยินคะ!” หลินผิงผิงยิ้มเจื่อน นี่ไม่ใช่ว่าล้อนางเล่นหรอกเหรอ ถ้ามองจากจุดยืนของนาง ก็ย่อมไม่อยากให้หยางเจาชิงแต่งงานเพิ่มอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าหยางเจาชิงอยากจะแต่งงานเพิ่มอีก นางก็จะไม่ขัดขวาง อย่างไรเสียนางก็เคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ยังเลี้ยงดูไหว
หลังจากทางนี้ทำซ้ำไป อวิ๋นจือชิวไปที่สำนักงามวิจิตรอีก จะไปตรวจสอบระฆังดาราแบบใหม่ของเยารั่วเซียนสักหน่อย
เหมียวอี้ได้รับรายงานสถานการณ์จากฝั่งนี้ พอได้ยินว่าเลือดอมตะตามตำนานไม่มีแล้ว ก็เลิกสนใจไม้ท่อนนั้นทันที ต่อให้เป็นไม้ไม่ผุจริงๆ แล้วอย่างไรล่ะ ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาไม่สนใจการักษาความอ่อนเยาว์อยู่แล้ว ส่วนระฆังดาราแบบใหม่ของสำนักงามวิจิตร เหมียวอี้ยังไม่สนใจจะนำมาใช้ที่พิภพใหญ่ ของสิ่งนี้ทำกำไรได้มากกว่าร้านขายของชำซื่อตรงแน่นอน อาศัยศักยภาพของเขาในปัจจุบัน ยังไม่สามารถรักษาผลประโยชน์มหาศาลขนาดนั้นที่พิภพใหญ่ได้
เขาฉวยโอกาสส่งกำลังพลไปประจำที่ดาวเคราะห์ที่ฮ่าวเต๋อฟางให้ สำนักลมปราณนับว่ามีที่อยู่แล้ว
เรื่องที่สำนักลมปราณสร้างร้านค้าใหม่ที่ตลาดสวรรค์ก็ยังไม่เป็นรูปธรรมเช่นกัน ต้องฉวยโอกาสตอนอำนาจฝ่ายต่างๆ ยังไม่สนใจสร้างร้านขึ้นมา
เขานึกว่าอื่นไม่สนใจ แต่ที่จริงแล้วทุกคนล้วนจับตาดู เพียงแต่ไม่พูดก็เท่านั้นเอง ต่างกำลังดูว่าเขาจะทำอย่างไร เห็นเขาทำท่าเหมือนจะสร้างเตาใหม่ขึ้นมาจริงๆ ก็เคลื่อนไหวทันที
หลังจากประชุมในตำหนักใหญ่เสร็จแล้ว เหวินเจ๋อยังอ้อยอิ่งอยู่ในตำหนัก ยังไม่แยกย้ายไปไหน
เหมียวอี้เดินลงบันไดบัลลังก์ พอเห็นก็รู้แล้วว่าผิดปกติ ถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
เหวินเจ๋อยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างไม่อาย “นายท่าน ข้ามีเรื่องจะถาม”
เหมียวอี้มองเขาศีรษะจดเท้า “มีเรื่องอะไร?”
เหวินเจ๋อยิ้มแห้ง “ได้ยินว่าสำนักลมปราณจะสร้างร้านขายของชำขึ้นมาใหม่หรือขอรับ?”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม? เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก สำนักลมปราณจัดการเองได้” เหมียวอี้ยังนึกว่าเขาอยากจะเข้ามาแทรกแซงเรื่อง
เหวินเจ๋อบอกว่า “นายท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้มีเจตนานั้น ทางวังสวรรค์มีคนฝากฝังให้ข้ามาบอกท่าน…เฮ้อ พูดตรงๆ แล้วกัน ท่านคงรู้ว่าเบื้องหลังสมาคมวีรชนคือใคร ผู้การใหญ่ซ่างกวนให้ข้ามาเตือนนายท่านสักหน่อย เดิมทีสมาคมวีรชนมีหุ้นสองส่วนอยู่ที่ร้านขายของชำซื่อตรง ตอนนี้นายท่านให้สำนักลมปราณสร้างร้านใหม่ เช่นนั้นหุ้นสองส่วนก็จะหายไปแล้ว ผู้การใหญ่ซ่างกวนจะสื่อว่า เขาไม่คัดค้านหากนายท่านอยากจะสร้างร้านใหม่ เพียงแต่จะมาหลอกลวงเขาไม่ได้”
เหมียวอี้เข้าใจแล้ว คิดจะชุบมือเปิบอีกล่ะสิ เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “เรื่องนี้จัดการง่าย เจ้าให้เขาไปหาราชินีสวรรค์สิ ขอเพียงราชินีสวรรค์มีคำสั่ง ข้าจะกล้าขัดขวางได้ยังไง แต่ถ้าราชินีสวรรค์ไม่ยอม ข้าก็ตัดสินใจเองไม่ได้เหมือนกัน”
…………………………