กลิ่นหอมลึกลับกลุ่มหนึ่งแผ่กระจายออกมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ลึกลับไร้ร่องรอย แทบจะไม่ได้ยกลิ่น แต่กลับไม่สามารถทำให้กลิ่นหายไปได้ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
ประมุขชิงยื่นมือหยิบปิ่นมาจากมือจัวเซียงเหลียน สังเกตดูเล็กน้อย พบว่าทำมาจากกิ่งไม้จริงๆ ด้วย แทบจะรักษารอยหักคงเดิมเอาไว้ เพียงใช้มีดตัดแต่งเล็กน้อยเพื่อทำเป็นเครื่องประดับ ประมุขชิงนำมาจ่อดมตรงจมูกอีก หลับตาดมกลิ่นหอมอัศจรรย์ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายที่สุด แล้วลืมตาขึ้นช้าๆ ถามจัวเซียงเหลียนด้วยแววตาเฝ้าคอยว่า “ไม่ต้องกังวล ถ้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เงยหน้าขึ้นมา”
ผู้หญิงทั้งสามเงยหน้าเล็กน้อย สายตามองบนใบหน้าเขาครู่เดียว แล้วก็รีบก้มหน้าอีก จะไม่กังวลได้อย่างไร น่ากลัวจริงๆ!
ต่อให้ทั้งสามนอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าทั้งชีวิตนี้จะมีโอกาสได้มาที่วังสวรรค์ในตำนาน มีโอกาสพบราชันสวรรค์ที่ได้ยินจากเสียงร่ำลือ รู้ว่านี่คือการมีอยู่ที่น่าหวาดกลัวที่สุด ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้าอย่างไร
เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น ประมุขชิงก็ไม่บังคับแล้ว ยื่นปิ่นปักผมไปข้างหลัง ให้พวกซ่างกวนชิงดูด้วย พวกเขารับมาผลัดกันดู แล้วก็ผลัดกันดม
ประมุขชิงจ้องจัวเซียงเหลียน “จัวเซียงเหลียน ข้าถามเจ้าหน่อย สิ่งนี้ทำมาจากไม้ไม่ผุจริงเหรอ?”
จัวเซียงเหลียนไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร แทบจะร้องไห้แล้ว ตอบเสียงสั่นว่า “ผู้น้อยก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำมาจากอะไรค่ะ”
“ไม่รู้เหรอ?” น้ำเสียงประมุขชิงฟังดูจริงจัง
ตุ้บ! จัวเซียงเหลียนคุกเข่าอีกครั้ง ฉางหงเหมยกับต้วนอ้ายเอ๋อร์ก็คุกเข่าลงอย่างอ่อนปวกเปียกเช่นกัน
ประมุขชิงค่อนข้างพูดไม่ออก มองออกแล้วว่าพวกนางสามคนคุกเข่าอาจจะผ่อนคลายกว่า ขี้คร้านจะสั่งให้พวกนางลุกขึ้นยืนแล้วเช่นกัน ถามว่า “เช่นนั้นทำไมมีคนบอกว่านี่คือไม้ไม่ผุ?”
จัวเซียงเหลียนส่ายหน้า ครั้งนี้ร้องไห้ออกมาแล้วจริงๆ ตอบเสียงสะอื้นว่า “ผู้น้อยไม่ทราบ ไม่ทราบจริงๆ ค่ะ!”
“ไม่รู้ด้วยเหรอว่าปิ่นปักผมนี้มาจากที่ไหน?” ประมุขชิงถาม
“ศิษย์พี่ของข้าส่งให้เป็นของขวัญ” จัวเซียงเหลียนตอบ
“ศิษย์พี่เจ้าได้มาจากไหน?” ประมุขชิงถาม
จัวเซียงเหลียนใส่หน้าร้องไห้ “ผู้น้อยไม่ทราบค่ะ”
ถามอะไรก็ไม่รู้ ประมุขชิงสีหน้าเริ่มหงุดหงิดแล้ว หันตัวเดินออกไปสองสามเก้า ขณะเดียวกันก็มองไปที่เกาก้วน แล้วเอียงหน้าบอกใบ้ให้เกาก้วนสืบสวน อย่างไรเสียเกาก้วนก็ถนัดเรื่องนี้อยู่แล้ว
เกาก้วนหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาหลายคน ควบคุมตัวฉางหงเหมยกับต้วนอ้ายเอ๋อร์ออกไป จะไปสอบสวนแยก จัวเซียงเหลียนที่กำลังคุกเข่าหันซ้ายหันขวามองศิษย์พี่หญิงและศิษย์น้องหญิงถูกควบคุมตัวไป ทำให้หวาดกลัวกว่าเดิม
ผู้หญิงทั้งสามมีสภาพเหมือนแพะที่รอเชือด ถึงขั้นจนตรอกที่กว่าแพะด้วยซ้ำ ตอนถูกควบคุมตัวไปไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงขอความเป็นธรรมหรือร้องขอชีวิตด้วยซ้ำ ปล่อยให้เป็นฝ่ายถูกกระทำ
เกาก้วนเดินช้าๆ มาตรงหน้าจัวเซียงเหลียน ก้มมองลงต่ำพร้อมบอกว่า “ข้าคือเกาก้วนทูตตรวจการขวาตำหนักสวรรค์”
สมาชิกหน่วยตรวจการขวาสองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาหยิบแผ่นหยกขึ้นมาบันทึกบทสนทนา
ผู้พิพากษาหน้านิ่งในตำนาน…ในหัวจัวเซียงเหลียนมีบางอย่างแวบเข้ามา นางตัวสั่นเล็กน้อย แล้วโขกศีรษะกับพื้นทันที “นายท่าน!”
“ตั้งแต่นี้ไป ข้าถามอะไร เจ้าก็ตอบสิ่งนั้น ห้ามปิดบังแม้แต่นิดเดียว” เกาก้วนกล่าว
“ค่ะ!” จัวเซียงเหลียนเอ่ยรับ
“เจ้าชื่ออะไร เป็นศิษย์สำนักไหน?” เกาก้วนถาม
“ผู้น้อยชื่อจัวเซียงเหลียน เป็นศิษย์สำนักเทียนกู่”
“จะได้ปิ่นปักผมอันนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อวาน…ไม่ใช่สิ ประมาณเมื่อวันซืนค่ะ”
ประมุขชิงและคนอื่นๆ สบตากันแวบหนึ่ง ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้โกหก ก็แสดงว่าปิ่นปักผมเพิ่งมาอยู่ในมือนางได้ไม่นาน
“เราทำเองเหรอ หรือว่าซื้อมา?”
“ไม่ใช่เลยค่ะ เป็นศิษย์พี่ที่มอบให้ข้า”
“ศิษย์พี่เจ้าชื่ออะไร?”
“ซ่งต๋า”
“ทำไมซ่งต๋าถึงมอบปิ่นปักผมนี้ให้เจ้า?”
“ศิษย์พี่กับข้าเป็นคู่รักที่ท่านอาจารย์แนะนำให้ ศิษย์พี่มักจะมอบของขวัญให้ข้าบ่อยๆ ค่ะ”
“ศิษย์พี่เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าได้ปิ่นปักผมนี่มาจากไหน?”
“ศิษย์พี่ออกไปฝึกฝน บอกว่าเกือบจะหลงทางอยู่ในอาณาเขตดาวนิรนาม บังเอิญไปเห็นต้นไม้ประหลาดต้นหนึ่ง จึงหักกิ่งมาตัดแต่งทำปิ่นปักผมให้ข้า เขาไม่ได้บอกว่านำมาจากที่ไหน…”
ทั้งสองถามตอบกัน เริ่มตั้งแต่ตอนที่ได้ปิ่นปักผมต้นไปที่ตลาดสวรรค์ โดนคนบอกว่าเป็นไม้ไม่ผุ จนกระทั่งหนีออกจากตลาดสวรรค์และโดนคนจับได้ เล่าเหตุการณ์และขั้นตอนออกมาทีละนิด
หลังจากถามไปรอบหนึ่งแล้ว จู่ๆ เกาก้วนก็เริ่มใหม่อีกครั้งตั้งแต่แรก “เจ้าชื่ออะไร เป็นศิษย์สำนักไหน?”
เมื่อถามตอบกันได้สักระยะ จัวเซียงเหลียนที่อารมณ์เริ่มสงบลงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามอง นางสงสัยเล็กน้อย คำถามนี้ถามไปแล้วไม่ใช่หรือ? เพียงแต่พอสบสายตาเย็นชาของเกาก้วน นางก็ตัวสั่นนิดหน่อย แล้วก็ตอบคำถามอย่างซื่อสัตย์ต่อไป
หลังจากถามคำถามทั้งหมดซ้ำอีกรอบแล้ว สมาชิกหน่วยตรวจการขวาทางฝั่งซ้ายและขวาก็เดินเข้ามา นำแผ่นหยกที่บันทึกการสอบสวนสองแผ่นส่งให้เกาก้วน
หลังจากเกาก้วนอ่านเปรียบเทียบทั้งสองแผ่นแล้ว ก็พบว่าเนื้อหาที่ถามจัวเซียงเหลียนสองครั้ง แม้จะมีบางคำคลาดเคลื่อน แต่สถานการณ์ก็เหมือนกัน
ผ่านไปไม่นาน ฉางหงเหมยกับต้วนอ้ายเอ๋อร์ที่ถูกจับแยกไปสอบสวนก็กลับมาแล้ว ส่งบันทึกการสอบสวนมาให้ด้วยเช่นกัน
เกาก้วนถามอีกเล็กน้อย จากนั้นหันตัวไปพูดกับประมุขชิง “ฝ่าบาท สามคนนี้พูดเหมือนกัน ไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน ส่วนสถานการณ์โดยละเอียดกว่านี้ ยังต้องให้หน่วยตรวจการขวาสอบสวนอย่างช้าๆ อีกทีขอรับ”
ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ เกาก้วนหันกลับมาบอกลูกน้อง “พาตัวกลับไปสอบสวนให้ละเอียดที่หน่วย”
“รับทราบ!” ลูกน้องเอ่ยรับคำสั่ง จากนั้นคุมตัวจัวเซียงเหลียนเดินออกไปด้วย
ปิ่นปักผมกลับมาอยู่ในมือประมุขชิงแล้ว ประมุขชิงถือมาจ่อดมตรงจมูก “เกาก้วน เจ้าคิดว่าสิ่งที่พวกนางบอกมีอะไรปิดบังหรือเปล่า?”
เกาก้วนใส่หน้า “การสอบสวนขั้นต้นคงจะไม่มีปัญหาอะไร จากประสบการณ์ของข้าน้อย พวกนางไม่เหมือนพูดโกหก อิงตามจากที่สอบถามจากสำนักอื่นที่ตั้งอยู่บนดาวเคราะห์เดียวกับสำนักเทียนกู่ คนที่รู้จักผู้หญิงสามคนนี้บอกมาว่า ผู้หญิงทั้งสามมีประวัติภูมิหลังสะอาดมาก และบริสุทธิ์มากด้วย ไม่มีประวัติความเป็นมาที่ซับซ้อนอะไร ถ้ากำลังพูดโกหกจริงๆ เช่นนั้นผู้หญิงทั้งสามคนก็ไม่ธรรมดาแล้ว แต่ถ้าไม่ได้โกหก พวกนางก็น่าจะรู้เพียงเท่านี้ สรุปก็คือไม่ว่าจะโกหกหรือไม่ ก็ต้องตรวจสอบความจริง ต้องตามหาคนของสำนักเทียนกู่ให้เจอ โดยเฉพาะซ่งต๋านั่น”
ประมุขชิงพยักหน้า
“ประเด็นของปัญหาก็คือ คนของสำนักเทียนกู่หายไปหมดแล้ว มีคนนำหน้าพวกเราไปหนึ่งก้าว ชิงตัวคนของสำนักเทียนกู่ไปแล้ว” อู๋ฉวี่กล่าว
เกาก้วนพูดเสริมอีกว่า “ตามที่เทพแห่งภูผาและเทพแห่งผืนดินให้การ ตอนที่คนของสำนักเทียนกู่ถูกชิงตัวไป เป็นหลังจากตอนที่ปิ่นปักผมถูกเปิดโปงที่ตลาดสวรรค์แล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนแรกคนอื่นก็ไม่รู้เช่นกันว่าสำนักเทียนกู่กับไม้ไม่ผุเกี่ยวข้องกัน มารู้หลังจากเรื่องปิ่นปักผมถูกเปิดโปง ดูท่าแล้วคงมีคนที่ตลาดสวรรค์รู้ข้อมูลของผู้หญิงทั้งสามก่อนพวกเรา แย่งตัดหน้าเราไปแล้วขอรับ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว “ดูจากสถานการณ์ที่ตลาดสวรรค์ พวกเราสืบเจอข้อมูลของผู้หญิงสามคนนั้นก่อน และเป็นพวกเราที่รีบไปที่สำนักเทียนกู่ก่อน ต่อให้จะมีข่าวหลุดพร้อมกัน แต่คนเกือบพันของสำนักเทียนกู่ก็ไม่ได้รวมตัวอยู่ด้วยกัน คงไม่ถูกจับไปทั้งหมดเร็วขนาดนั้นหรอกกระมัง?”
“ข่าวอาจไม่ได้หลุดไปพร้อมกัน บางทีอาจมีคนสืบเจอก่อนพวกเราแล้วก็ได้” เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ
สายตาของทุกคนมองไป โพ่จวินถามว่า “หมายความว่ายังไง?”
สำหรับการสืบคดี ทุกคนค่อนข้างเชื่อการตัดสินของเกาก้วน ในจุดนี้แม้แต่โพ่จวินก็ต้องยอมรับ ถึงแม้จะชอบด่าเกาก้วนว่าเป็นขุนนางทรราชก็ตาม!
เกาก้วนอธิบายว่า “หลักการเรียบง่ายมาก ก็ร้านค้าที่สืบเจอประวัติของผู้หญิงสามคนนั้นไง สำนักเทียนกู่อยู่ไม่ห่างจากตลาดสวรรค์ดาวเฟยหัว ผู้หญิงสามคนนั้นไปที่ตลาดสวรรค์บ่อยๆ จะมีคนรู้ประวัติของพวกนางก็ไม่แปลกเลยสักนิด ก่อนที่พวกเราจะสืบเจอ อาจจะมีคนรู้ประวัติพวกนางแล้วลงมือก่อนก็ได้ เพียงแต่ระดมคนไปชิงตัวคนเกือบพันของสำนักเทียนกู่ได้เร็วขนาดนี้ ไม่ธรรมดาเลย ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้”
“ในบรรดาคนที่ตามไปสำนักเทียนกู่ ไม่เห็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของตระกูลเซี่ยโห้ว” อู๋ฉวี่กล่าว
เกาก้วนบอกว่า “คนไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะทำ แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลเซี่ยโห้วไม่ชอบแสดงกำลังอย่างเปิดเผย อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุก็พอฟังขึ้น มิหนำซ้ำใครจะกล้ารับประกัน ว่าท่ามกลางคนที่ไปที่เกิดเหตุไม่มีคนของตระกูลเซี่ยโห้ว? เพียงแต่จะบอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นไปได้ ฮ่าวเต๋อฟางก็เป็นไปได้เช่นกัน ถ้าพูดถึงความคุ้นเคยต่อสถานการณ์ในอาณาเขตทัพใต้ ตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะเทียบฮ่าวเต๋อฟางไม่ได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะรู้ประวัติของผู้หญิงสามคนนี้ก่อน เพียงแต่เป็นไปได้ทั้งสองฝ่าย หรือไม่ทุกคนก็มีความเป็นไปได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้เบาะแส ตัดใครออกไม่ได้ทั้งนั้น ทุกคนล้วนมีความเป็นไปได้ว่าจะเสแสร้งปิดบัง”
ทุกคนเงียบไป พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ฮ่าวเต๋อฟางแทรกซึมอยู่ในอาณาเขตทัพใต้มาหลายปี ทุกที่ล้วนเป็นคนของฮ่าวเต๋อฟาง ถ้าจะรู้ประวัติของผู้หญิงสามคนนั้นก่อนก็ไม่แปลก กำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางเทียวไปเทียวมา ไม่แน่ว่าอาจกำลังปิดบังความจริงอยู่ก็ได้
เกาก้วนมองไปที่ของในมือประมุขชิง “ในเมื่อได้ปิ่นปักผมมาไว้ในมือแล้ว ตอนนี้ก็ต้องยืนยันก่อนว่าใช่ไม้ไม่ผุหรือไม่ ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานว่าเป็นของจริง ถ้าเป็นของปลอมขึ้นมา เช่นนั้นก็เหนื่อยเปล่าแล้ว”
ประมุขชิงดมปิ่นปักผมอีกครั้ง แล้วสั่งว่า “ซ่างกวน เราไปหยิบ ‘ม้วนตำราของมหัศจรรย์ ‘ ที่หอเก็บหนังสือของตำหนักดาราจักรมา”
เขาไม่ได้แอบตรวจสอบคนเดียวส่วนตัว แต่จะทำให้ชัดเจนต่อหน้าทุกคน
“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงน้อมรับคำสั่ง แล้วถลันตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ซ่างกวนชิงก็เหาะกลับมาอีก เหยียบลงพื้นตรงหน้าทุกคน แล้วยื่นหนังสือหนาเล่มหนึ่งให้
ภายใต้การบอกใบ้ของประมุขชิง ซ่างกวนชิงพลิกหาต่อหน้าทุกคน พวกเขาเข้ามาล้อมดู เห็นเพียงหน้ากระดาษที่ซ่างกวนชิงเปิดอ่านดูค่อนข้างหนา เหมือนจะยืดหยุ่นเล็กน้อยด้วย เป็นสีเขียวปนขาว เหมือนจะทำจากหนังสัตว์อะไรสักอย่าง
“ฝ่าบาท หาพบแล้วขอรับ” ใช้เวลาไม่นาน ซ่างกวนชิงก็ตะโกนบอก แล้วถือมาตรงหน้าประมุขชิง
เห็นเพียงบนหน้ากระดาษที่เขียวแกมขาว วาดพรรณนาลักษณะต้นไม้ใหญ่บนยอดเขาหิมะเอาไว้ต้นหนึ่ง ภาพบนม้วนกระดาษล้วนเป็นลายเส้นสีดำ แยกสีภาพไม่ออก แต่บรรยายลักษณะเอาไว้จนเห็นภาพ เมื่อเทียบกับปิ่นปักผมในมือประมุขชิง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าต้นไม้เดิมที่ใช้ทำปิ่นปักผมหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ดูจากใบที่เหลือไว้บนปิ่นปักผม เทียบกันแล้วก็พบว่าเหมือนกัน ใบเป็นรูปหัวใจสองอันซ้อนกัน แยกออกได้ง่ายมาก
หลายคนที่อยู่ตรงนั้นตกใจทันที สบตากันแวบหนึ่ง แล้วมองเนื้อหาที่บรรยายไว้ใต้ภาพอีกที
ประมุขชิงหยิบมีดสั้นด้ามหนึ่งออกมาทันที แล้วออกแรงกรีดบนปิ่นปักผม แต่ปิ่นปักผมไม่ขาด เหนียวทนทานมาก รอยกรีดประสานรวมกันอีกครั้งแล้ว
จากนั้นพวกเขาก็ถลันตัวออกจากพระตำหนักอุทยานอีก พอถึงนอกตำหนักแล้ว ประมุขชิงก็จุดหินผลึกไขมันเพลิงก้อนหนึ่ง ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเพลิงให้พอดี แล้วเผาปลายปิ่นปักผม แม้อุณภูมิบนหินผลึกจะสูง แต่ปิ่นปักผมกลับทนไฟมาก ต้องค่อยๆ รอกว่าจะเห็นรอยไหม้ พอไหม้จนมีควันลอยออกมา กลิ่นหอมลึกลับนั่นก็เข้มข้นขึ้นเยอะมาก ยิ่งไหม้ก็ยิ่งหอม ดมแล้วทำให้รู้สึกสดชื่น
ผ่านไปครู่เดียว พวกเขาก็มองไปบนพื้นรอบๆ เห็นสัตว์เล็กประเภทมดแมลงทยอยไต่ออกมาทางนี้ ไม่นานนกน้อยที่บินผ่านก็ถูกดึงดูดเข้ามาเช่นกัน มาบินวนบนศีรษะของพวกเขาพลางส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว
………………