เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย “ใจกล้าก็ไม่ได้หมายความว่าต้องทำเรื่องโง่เสมอไป!”
“ท่านผู้สำเร็จราชการกำลังหาข้ออ้างให้ตัวเองหรือเปล่า?” ซูอวิ้นถามกลั้วหัวเราะ
เหมียวอี้จึงยิ้มพร้อมกล่าวสิ่งที่มีความหมายล้ำลึก “กำลังพูดเหน็บแนมข้าเหรอ? ได้ ถ้าอยากจะรู้ว่าข้าใจกล้าหรือเปล่าก็ง่ายมาก ถ้าเจ้ากล้าหาญ ก็พูดอย่างเมื่อครู่นี้อีกครั้งดูสิ!”
ซูอวิ้นมองพร้อมยิ้มเล็กน้อย ฟังเข้าใจความหมายของเหมียวอี้แล้ว ถ้านางเกล้าพูดอีกครั้ง ถ้าอีกฝ่ายไม่ฆ่านาง ก็คงไม่เจรจากับนางแล้ว หรือไม่…สายตาของเหมียวอี้หยุดอยู่บนหน้าอกนางอย่างไม่เป็นมิตรสุดๆ ทำให้นางใจสั่นเพราะความกลัว
“เชิญท่านผู้สำเร็จราชการ!” ซูอวิ้นหันตัวมายื่นมือเชิญ เก็บกลั้นคำพูดเพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นประโยชน์ต่อการเจรจา ถึงอย่างไรครั้งนี้นางก็ไม่ได้มาเพื่อประชด
เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินอยู่ข้างๆ ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน เดินเนิบนาบอยู่บนลานกว้างท่ามกลางสายตาของฝูงชน ส่วนผู้ติดตามสองคนของซูอวิ้นก็ยังถูกควบคุมไว้ราวกับเป็นพลทหารยศเล็ก
“ที่นี่เล็กไปหน่อย แต่สภาพแวดล้อมก็ไม่เลว” ซูอวิ้นมองไปรอบๆ เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่พูดอะไร นางถึงได้เข้าประเด็นหลัก “ได้ยินว่าท่านผู้สำเร็จราชการต้องการจะโจมตีทัพใต้เหรอ?”
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะตอบว่า “ไม่ใช่สักหน่อย เป็นข่าวลือทั้งนั้น”
“…” ซูอวิ้นเอียงหน้ามองเขา พูดแบบนี้ก็ไม่ต้องเจรจาแล้ว ยิ่งทำให้นางหนักใจมากขึ้น กังวลว่าเหมียวอี้จะต้องโจมตีให้ได้ ไม่ใช่ว่าฮ่าวเต๋อฟางกลัวกำลังพลเล็กน้อยของเหมียวอี้ แต่สิ่งที่กังวลจริงๆ ก็คือการที่ประมุขชิงชักใยอยู่เบื้องหลัง ที่นางมาด้วยตัวเองก็เพราะจะทำความเข้าใจสถานการณ์แบบต่อหน้า ดังนั้นนางจึงต้องพูดประเด็นนี้ต่อไป “เรื่องที่ผู้สำเร็จราชการหนิวประกาศคำสั่งโจมตีต่อบรรดาแม่ทัพที่นี่ ข้ารู้แล้ว”
“โจมตีแล้วยังไง ไม่โจมตีแล้วยังไง?” เหมียวอี้ยอมรับอย่างไม่ใส่ใจ
“โจมตีไปก็ไม่มีผลดีอะไรกับเจ้า” ซูอวิ้นกล่าว
“ก็ดีกว่ารอให้พวกเขามาโจมตีข้าที่นี่” เหมียวอี้พูด
ซูอวิ้นจึงบอกว่า “สิ่งที่ผู้สำเร็จราชการหนิวได้ยินมาต่างหากที่เป็นข่าวลือ”
“เรื่องบางเรื่องทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ ถ้าพ่อบ้านซูมาที่นี่เพื่อเสแสร้งแกล้งทำ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเจรจาแล้ว” เหมียวอี้บอกนาง
ซูอวิ้นหัวเราะเบาๆ “ที่จริงผู้สำเร็จราชการหนิวก็ไม่อยากโจมตีหรอก เพียงแต่ถือโอกาสใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟเท่านั้นเอง?”
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
“ถ้าอยากโจมตีจริงๆ เจ้าคงไม่มาเจรจากับข้าแบบต่อหน้าหรอก” ซูอวิ้นกล่าว
เหมียวอี้บอกว่า “ไม่ใช่ว่าอยากเจรจากับเจ้า แต่อยากพบกับเจ้า ถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นมา ข้าก็คงไม่มาเจอหรอก”
“อยากพบค่า?” ซูอวิ้นสงสัย
เหมียวอี้บอกว่า “ได้ยินว่าพ่อบ้านซูหน้าตางดงามไร้ที่เปรียบ ทำให้อ๋องสวรรค์ฮ่าวคลั่งไคล้ได้ มีโอกาสได้สัมผัสกับคนสวยในระยะขนาดนี้ ข้าจะพลาดได้อย่างไร”
ซูอวิ้นสีหน้าเย็นเยียบลงเล็กน้อย แสยะยิ้มบอกว่า “ล้อเล่นแบบนี้กับผู้หญิงแก่อย่างข้า ผู้สำเร็จราชการหนิวรู้สึกสนุกเหรอ?”
เหมียวอี้มองประเมินนางศีรษะจดเท้า “ไม่แก่เลยสักนิด ดูแลตัวเองดีมาก”
ซูอวิ้นมองไปตรงที่ไกลๆ ด้วยสายตาราบเรียบ “ผู้สำเร็จราชการหนิว พวกเราเลิกอ้อมค้อมได้แล้ว ต้องการผลประโยชน์อะไรก็บอกมาตรงๆ”
“หมายความว่าต้องการให้ข้าเลิกเคลื่อนทัพก่อกวนเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
ซูอวิ้นไม่พูดอะไร นับว่ายอมรับแล้ว
“ก็ได้! ขอเพียงอ๋องสวรรค์ฮ่าวตอบรับเงื่อนไขข้าข้อหนึ่ง ข้าก็จะไม่เคลื่อนทัพ” เหมียวอี้กล่าว
ซูอวิ้นยิ้มบางๆ คิดในใจว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย “ว่ามา!”
“เงื่อนไขข้อเดียวก็คือ ให้เจ้าอยู่ที่นี่ต่อ!” เหมียวอี้กล่าว
ซูอวิ้นพูดหยอกว่า “เกรงว่าหลังจากจบเรื่อง อ๋องสวรรค์ฮ่าวจะมาคิดบัญชีกับเจ้าน่ะสิ อยากจะเก็บข้าไว้เป็นตัวประกันเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ผิดแล้ว! เป็นอนุภรรยา ขอเพียงอ๋องสวรรค์ฮ่าวให้เจ้ามาเป็นอนุภรรยาข้า ข้าก็จะไม่เคลื่อนทัพไปก่อกวน!”
ซูอวิ้นหยุดฝีเท้า กล่าวด้วยใบหน้าเย็นเยียบดุร้าย “ผู้สำเร็จราชการหนิว…” แต่พอนึกได้ถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ สุดท้ายก็ข่มไฟโกรธเอาไว้ “เงื่อนไขนี้ไม่ได้ เปลี่ยนใหม่”
“ตลาดสวรรค์ในอาณาเขตทัพใต้ ห้ามแตะต้องคนของข้า ข้าต้องการอำนาจควบคุมตลาดสวรรค์ในอาณาเขตทัพใต้ แน่นอนว่าข้าจะไม่แตะต้องผลประโยชน์ของท่านอ๋องที่ตลาดสวรรค์ ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งนอกทางเข้าออกแดนรัตติกาลก็ไม่เลว ให้ข้าด้วยสิ อ๋องสวรรค์ฮ่าวต้องรับประกันว่าในภายหลังจะไม่ใช้กำลังทหารกับแดนรัตติกาล พร้อมทั้งรับประกันด้วยว่าจะไม่ให้กำลังพลสายอื่นใช้กำลังทหารกับแดนรัตติกาล”
“นี่ไม่ใช่เงื่อนไขข้อเดียวแล้ว เป็นเงื่อนไขหลายข้อ”
“งั้นเจ้าก็อยู่เป็นอนุภรรยาของข้าที่นี่ สำหรับข้า เงื่อนไขข้อนี้เทียบเท่ากับอีกหลายเงื่อนไขพวกนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าพ่อบ้านซูจะมีค่าพอในใจท่านอ๋องหรือเปล่า”
ซูอวิ้นนับว่าเข้าใจแล้ว ที่ไอ้สารเลวนี้พูดว่าอยากครอบครองนางนั้นเป็นข้ออ้าง เขาชอบนางได้ก็แปลกแล้ว เงื่อนไขหลายข้อหลังต่างหากที่อีกฝ่ายต้องการ
ในเมื่อเสนอเงื่อนไขมาแล้ว ซูอวิ้นก็โล่งอกเหมือนยกก้อนหินออกจากใจ แค่ไม่โจมตีจริงๆ ก็พอแล้ว
เพียงแต่เรื่องบางเรื่องซูอวิ้นไม่มีอำนาจตัดสินใจ นางติดต่อขอคำชี้แนะฮ่าวเต๋อฟางตรงนั้นเลย
เหมียวอี้ไม่อยากก่อเรื่อง ฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่อยากก่อเรื่องในเวลานี้เช่นกัน ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีอะไรต้องต่อรอง เจรจาเรียบร้อยเร็วมาก
ส่วนตัวซูอวิ้นเอง เหมียวอี้ยังไม่อาจปล่อยกลับไปได้ ต้องเก็บไว้เป็นตัวประกัน ต้องรอให้ฮ่าวเต๋อฟางประกาศต่อใต้หล้าก่อน เขาถึงจะปล่อยคน ไม่อย่างนั้นสัญญาปากเปล่าก็เชื่อถือไม่ได้ ถึงอย่างไรหลังจากจบเรื่องแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่มีความสามารถที่จะคานอำนาจกับอีกฝ่ายอยู่ดี
เมื่อมีซูอวิ้นเป็นตัวประกันแล้ว เหมียวอี้ก็ประกาศต่อตลาดสวรรค์ในใต้หล้าอย่างเป็นทางการ บอกว่าที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะบุกโจมตีทัพใต้ล้วนเป็นข่าวลือ
พอเหมียวอี้ประกาศออกมา ฮ่าวเต๋อฟางก็ประกาศผ่านตลาดสวรรค์เช่นกัน บอกว่าเรื่องที่ทัพใต้ต้องการจะโจมตีทัพใหญ่แดนรัตติกาลเป็นข่าวลือ ทุกคนล้วนอยู่ใต้สังกัดตำหนักสวรรค์ เป็นกำลังพลของตำหนักสวรรค์ด้วยกันทั้งนั้น ทั้งยังเป็นเพื่อนบ้าน รักใคร่ปรองดองกันกันเสมอมา จะไม่บุกโจมตีกัน และจะไม่อนุญาตให้อำนาจฝ่ายอื่นอาศัยอาณาเขตทัพใต้มาโจมตีแดนรัตติกาลด้วย เพื่อทำลายข่าวลือนี้ ทัพใต้สนับสนุนให้จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลควบคุมตลาดสวรรค์ พร้อมทั้งยกดาวเคราะห์ในอำนาจปกครองให้หนึ่งดวงด้วย
ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่อยากถ่วงเวลา เรื่องนี้ดำเนินการอย่างรวดเร็วมาก
เรื่องราวเป็นไปตามนี้ ฮ่าวเต๋อฟางทำให้เหตุการณ์ในภายหลังสงบได้ โล่งใจแล้ว
ส่วนเหมียวอี้ก็ไม่จำเป็นต้องกลับตัวซูอวิ้นไว้อีก ปล่อยซูอวิ้นอย่างตรงไปตรงมา
จนกระทั่งตอนนี้ วิกฤตที่แดนรัตติกาลเผชิญยังไม่นับว่าถูกแก้ไขอย่างเป็นทางการ ส่วนการประกาศระหว่างทั้งสองฝ่ายจะรักษาผลไว้ได้นานเท่าไหร่ นั่นก็เป็นเรื่องในภายหลัง อย่างน้อยก็มีผลในช่วงนี้แน่นอน
ในตอนนี้ บรรดาแม่ทัพจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเพิ่งเข้าใจเจตนา ว่าทำไมก่อนหน้านี้ท่านผู้สำเร็จราชการจึงระดมกำลังพลและแสดงท่าทีว่าจะโจมตีทัพใต้ ที่แท้ก็โจมตีเพื่อป้องกัน กำลังปกป้องแดนรัตติกาล และรักษาผลประโยชน์ของแดนรัตติกาล การผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้ทำให้กำลังพลที่แอบไม่พอใจสงบลงแล้ว ย่อมมีความเชื่อมั่นต่อคำสั่งของเหมียวอี้มากขึ้น โดยเฉพาะเหวินเจ๋อ เขารู้สึกโล่งอกเหมือนยกก้อนหินออกจากใจ
พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงแสยะยิ้ม “ผู้สำเร็จราชการหนิวของพวกเราช่างฉวยโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เก่งจริงๆ”
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องเดี่ยวมีสีหน้าล้ำลึกสงบนิ่งดุจน้ำ พบว่าตัวเองวุ่นวายอยู่ตั้งนาน แต่ก็ยังทำให้หนิวโหย่วเต๋อรอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ เรื่องนี้ทำให้เขาเดือดดาลมาก เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อย ไม่มีสมาธิมายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย เขาใช้สมาธิทั้งหมดไปกับเรื่องไม้ไม่ผุ
โค่วหลิงซวียืนเอามือไขว้หลังเงียบๆ อยู่ในศาลา พอได้ยินข่าวก็ส่ายหน้าเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ แล้วพึมพำว่า “เจ้าเด็กนี่เดินมาได้ถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!”
ในดาราจักร การชิงตัวฉางหงเหมยและศิษย์น้องเตรียมคงดำเนินต่อไป กองหนุนของกองทัพองครักษ์ทยอยกันมาถึง กองทัพองครักษ์นับล้านสังหารมาตลอดทาง
อำนาจแต่ละฝ่ายมารวมตัวกันที่นี่ บางคนก็สวมเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ บางคนก็สวมเกราะรบแอบอื่น ชุดลำลองก็มี
กำลังพลที่ตามมาถึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ การแย่งชิงไม่เพียงแค่ไม่เบาลง การเข่นฆ่ายังดุเดือดขึ้นด้วย
กำลังพลนับหมื่นที่สวมชุดลำลอง ไม่รู้ว่าเป็นของอำนาจฝ่ายไหน บุกสังหารเข้ากระบวนทัพของกองทัพองครักษ์อย่างห้าวหาญไม่กลัวตาย กำลังไม่อ่อนแอ
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน แม่ทัพคนหนึ่งของกองทัพองครักษ์ก็ฉวยโอกาสตอนวุ่นวายดีดแหวนเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง นักพรตชุดลำลองที่กำลังต่อสู้ถือโอกาสโบกมือรับไว้
ผ่านไปไม่นาน กำลังพลที่สวมชุดลำลองก็ต้านการโจมตีโหดของกองทัพองครักษ์ไม่ไหว ถูกกองทัพองครักษ์กดดันให้ถอยออกมา
กองทัพองครักษ์บุกไปข้างหน้าต่อเพื่อสังหารกำลังพลแต่ละฝ่ายที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง กำลังพลชุดลำลองส่วนใหญ่ไล่ตามโจมตี ส่วนน้อยที่ได้รับบาดเจ็บหยุดไล่ตามแล้ว หลังจากมองคล้อยหลังกำลังพลแต่ละฝ่ายไล่ตามกองทัพองครักษ์ไป ชายหนุ่มชุดลำลองที่เหมือนจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยและรับแหวนเก็บสมบัติไว้ก็ยืดตัวตรง มองศพที่ลอยอยู่รอบๆ แล้วหันกลับมาบอกว่า “ไป!”
พวกเขาสังเกตการณ์รอบๆ แล้วรีบหนีไปยังจุดลึกในดาราจักร
หลังจากนั้นหนึ่งวัน ใต้ชายคาพระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงยืนเอามือไขว้หลัง,หลับตาเงียบๆ อู๋ฉวี่ที่อยู่ข้างๆ เก็บระฆังดารา แล้วกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท คนคนถูกพามาถึงนอกตำหนักแล้วขอรับ”
ประมุขชิงพลันลืมตา แล้วกล่าวพร้อมอมยิ้ม “พาเข้ามา”
ผ่านไปครู่เดียว ฉางหงเหมยและศิษย์น้องก็ปรากฎตัวท่ามกลางสายตาพวกเขาโพ่จวินถอนหายใจเบาๆ จนไม่ได้ยิน เพื่อที่จะพาตัวคนพวกนี้มาอย่างราบรื่น เพื่อที่กองทัพองครักษ์จะปิดบังความจริงว่าหลุดเงื้อมมือมาได้แล้ว พวกเขาก็ยังคงเข่นฆ่ากันอย่างเอาเป็นเอาตายตลาดทาง จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังดำเนินต่อไป เสียสละชีวิตคนไปไม่รู้ตั้งเท่าไร
เพื่อความเป็นอมตะของคนคนเดียว ต้องทิ้งชีวิตคนไปแล้วนับไม่ถ้วน
สภาพแวดล้อมโดยรอบงดงามตระการตา ดุจแดนเซียนสวรรค์ สามารถมองเห็นมังกรหมอบและหงส์บิน ทั้งยังเห็นทหารสวรรค์อยู่ทั่วทุกที่ ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ยิ่งพบเห็นได้ง่าย ศิษย์หญิงสามคนมองไปรอบๆ แล้วตกใจ ไม่รู้ว่าถูกพาตัวมาอยู่ที่ไหนแล้ว
พอเห็นคนที่ยืนอยู่บนบันได ก็พบว่าแต่ละคนมีสง่าราศีไม่ธรรมดา หลังจากเดินมาตรงตีนบันไดก็ถูกตะคอกให้หยุด แล้วทหารคนหนึ่งก็กุมหมัดคารวะไปบนบันได “ฝ่าบาท คนมาถึงแล้วขอรับ”
ฝ่าบาท? ศิษย์หญิงสามคนตกใจมาก ขณะมองผู้ชายหนึ่งในนั้นที่สวมเครื่องแต่งกายหรูหรา ก็ไม่รู้ว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า ในใต้หล้านี้คนที่ถูกเรียกว่า ‘ฝ่าบาท’ ได้ เกรงว่าคงจะมีเพียงราชันสวรรค์แล้ว อย่าบอกนะว่าคนคนนี้คือราชันสวรรค์?
พอนึกถึงสภาพแวดล้อมของที่นี่อีก เห็นมังกรร่อนหงส์บิน ศิษย์หญิงสามคนก็ยิ่งรู้สึกกลัว อย่าบอกนะว่าที่นี่คือวังสวรรค์?
ซ่างกวนชิงตะคอกแล้วว่า “บังอาจ! เห็นราชันสวรรค์แล้วยังไม่ทำความเคารพอีก!”
พวกนางแทบจะทยอยกันคุกเข่าโดยจิตใต้สำนึก กล่าวเสียงสั่นว่า “ฝ่าบาท!” ทั้งหมดไม่กล้าเงยหน้า
ประมุขชิงโบกมือให้แม่ทัพที่คุมตัวถอยออกไป เหมือนเขาจะอารมณ์ดีพอสมควร มองออกแล้วว่าศิษย์หญิงสามคนวิตกกังวล ค่อยๆ เดินลงมาจากบันได เดินมาตรงหน้าผู้หญิงทั้งสาม แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องประหม่า ลุกขึ้นเถอะ!”
พวกซ่างกวนชิงที่อยู่บนบันไดเดินตามลงมาแล้ว
ศิษย์หญิงสามคนลุกขึ้นอย่างตัวสั่น ไม่กล้าเงยหน้ามองตรงๆ
“พวกเจ้าชื่ออะไร?” ประมุขชิงถาม
“ฉางหงเหมย…จัวเซียงเหลียน…ต้วนอ้ายเอ๋อร์…”
ผู้หญิงทั้งสามตัวสั่น เสียงก็สั่นเช่นกัน
ประมุขชิงกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้ามีปิ่นปักผมอันหนึ่งที่ทำจากไม้ไม่ผุ ยินดีจะให้ข้าดูสักครั้งไหม?”
จัวเซียงเหลียนหยิบปิ่นปักผมออกมาทันที แล้วยื่นให้ด้วยมือที่สั่นเทิ้ม
สายตาของประมุขชิงและคนอื่นๆ ไปรวมอยู่บนปิ่นปักผมสีขาวโปร่งแสงที่มีสีแดงอยู่ข้างใน
………………