ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 33 ความอึกทึกฉากใหญ่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

กองทัพอวี่หลินที่อยู่ด้านนอกตำหนักเทียนซูจู่ๆ ก็ประหวั่นขึ้นมา การกระชับสายธนูที่แน่นหนา หน้าไม้จำนวนนับไม่ถ้วนเล็งไปที่หลังของหวังผ้อ

มีควันลอยขึ้นมาในระยะไกล พื้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย และยังคงไม่ได้ยินเสียงกีบเท้าม้า แต่น่าจะเป็นทหารม้าสีดำกำลังรวบรวมผล

ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องราวเหล่านี้สัญญาณเตือนได้ดังขึ้นและถูกส่งออกไปยังทุกที่ของเมืองหลวง

เหล่าทหารม้าของสำนักฝึกหลวงมีปฏิกิริยารวดเร็ว ต่อให้ไม่ได้รับคำสั่งใดๆ จากพระราชวังหลี ทหารมากกว่าร้อยนายก็จะเร่งรุดไปถึงตรงเบื้องหน้าประตูศิลาของสุสานเทียนซู

เวลาผ่านไปสามปีทั้งสองฝ่ายเริ่มต่อกรกันอย่างตึงเครียดอีกครั้ง

หวังผ้อราวกับไม่ทราบเลยว่าดันนอกศิลานั้นเกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น เขายังคงเดินเข้าไปด้านในความเขียวชอุ่มของสุสานเทียนซู

มองไปยังเงาเบื้องหลังของเขานักพรตแห่งพระราชวังหลีท่านหนึ่งอดไม่ไหวถามขึ้น “อาจารย์หลายวันมานี้ท่านไปอยู่ที่ใดมาเล่า”

นี่คือคำตอบที่ผู้คนในเมืองหลวงทั้งหมดล้วนอยากทราบ

หวังผ้อไม่ได้หันกลับมา เขาเอ่ย “ข้าอยู่ที่นี่ตลอด”

เมื่อได้ยินคำตอบของหวังผ้อ ไม่ว่าจะเป็นนักพรตท่านนั้น หรือว่าเหล่าทหารม้าแห่งสำนักฝึกหลวง หรือว่าจะเป็นกองทหารอวี่หลินต่างก็ล้วนประหลาดใจมาก

ผู้ใดก็ล้วนไม่คาดคิดว่า หลายวันมานี้หวังผ้อจะอยู่ในสุสานเทียนซู คนธรรมดาอยากจะเข้าไปในสุสานได้ แน่นอนว่าไม่มีทางพบเห็นเขาได้แน่

ในวันนี้เขาปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนนั้นก็คืออยากจะให้ผู้คนได้ทราบว่าเขาเตรียมตัวที่จะทำสิ่งใด

เพียงแต่ว่าเขาต้องการจะทำสิ่งใดกันแน่

ระยะเวลาหลังจากที่หวังผ้อได้เข้าสู่สุสานเทียนซูเพื่อเรียนรู้และตระหนักสัจธรรม ได้ผ่านมานานมากแล้ว แต่ดูเหมือนว่าราวกับเขานั้นไม่เคยลืมประสบการณ์เหล่านั้นเลย

เขาตามหาถนนเส้นหนึ่งที่อยู่ด้านในป่าอย่างคุ้นเคยจนพบ ก่อนเดินเข้าไปทางด้านตะวันตกเฉียงใต้

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เขาได้ดำเนินมาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง

ป่าส้มในฤดูใบไม้ผลิแน่นอนว่าไม่มีส้มแล้ว แต่มักรู้สึกว่าในอากาศนั้นมีกลิ่นส้มลอยอยู่จางๆ

หลายวันมานี้ หวังผ้อก็พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้

คานบ้านที่เคยมีเนื้อตากแห้งตากอยู่ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย โต๊ะเก้าอี้ในห้องถูกเช็ดเสียจนสะอาด ไม่มีแม้แต่ฝุ่นจับเกาะ

หวังผ้อไม่ได้เดินเข้าไปในห้อง

เขายืนอยู่ด้านนอกรั้ว เอ่ยกับมหายเก่ากว่าสามสิบเจ็ดปีที่เคยพักที่นี่อย่างสงบนิ่งว่า “วันนี้ข้าไปเหยียบถนนเสินแล้ว”

ในปีนั้นสวินเหมยประสบความล้มเหลวในการบุกทะลวงถนนเสิน ยามที่เขาใกล้จะบอกลาโลกใบนี้ เขาเคยเอ่ยเอาไว้ว่า ต่อไปในอนาคตหากตนนั้นมีโอกาสได้บำเพ็ญพรตจนถึงขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ ไปเยี่ยมชมยอดสุสานแทนสวินเหมย

ที่แท้นี่ก็คือเรื่องที่เขาจะทำในวันนี้

……

……

การสอบใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เฉินฉางเซิงยังไม่ได้ปรากฏตัว

ไม่มีคนขายเนื้อสัตว์ คนยังคงทานเนื้อหมู ใต้เท้าสังฆราช ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป การสอบก็ยังคงต้องดำเนินต่อ

การสอบใหญ่ในปีนี้ไม่มีการจงใจทำอะไรให้แปลกใหม่ ยังคงใช้วิธีการเดียวกันกับเมื่อหลายปีก่อน การสอบข้อเขียน การสอบกำลังภายใน การประลองการต่อสู้ตามลำดับ

ภายในวิหารปฏิญญาที่กำลังดำเนินการสอบอยู่นั้น ยังคงใช้กฎเกณฑ์เดิมใยวันเก่า ควบคุมการสอบโดยสำนักการศึกษากลางและกรมพิธีการ การพิจารณาตัดสินชี้ขาดสุดท้ายกลับอยู่ในมือของโก่วหานสือ

โก่วหานสือยังคงอ่อนวัยนัก แต่ไม่มีผู้ใดกล้าสงสัยในคุณสมบัติของเขา เนื่องจากเขาเชี่ยวชาญคัมภีร์ลัทธิเต๋า ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเขาก็คือผู้ออกข้อสอบข้อเขียนในปีนี้ด้วย

ภายใต้แสงอรุณรุ่งที่สาดส่อง ข้อสอบข้อเขียนสิ้นสุดลงอย่างราบรื่น คลื่นลมสงบ ไม่ได้การเปลี่ยนแปลงใด

บรรดาพสกนิกรที่อยู่ด้านนอกพระราชวังหลีและผู้ดูแลบ่อน ต่างก็รู้สึกเบื่อยิ่งนัก ทั้งยังรู้สึกว่าบรรยากาศแปลกประหลาดนัก

ลำดับต่อมาคือการทดสอบศิลปะการต่อสู้ ยังคงเป็นสองด่านเดิมนั่นก็คือ ป่าจู่สือและคลองฉวี่เจียง ไม่รู้ว่าเพราะได้รับอิทธิพลจากการที่ขี่กระเรียนข้ามแม่น้ำหรือไม่ จึงทำให้กฎระเบียบในปีนี้ยิ่งซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น แทบจะทำลายโอกาสทุกประการที่จะสามารถฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบได้ทั้งหมด ทั้งยังไม่ห้ามให้มีการขัดขวางคู่ต่อสู้ ดังนั้นในป่าหลินเหมยจึงมักจะเห็นแสงกระบี่สว่างวาบขึ้นเสมอ อันตรายล่อแหลมยิ่งกว่าในปีนั้นเสียอีก

กว่าสามปีมาแล้วที่การสอบใหญ่ไม่ได้ถูกจัดขึ้น ในปีนี้ผู้ที่มาเข้าร่วมการสอบมีจำนวนมากยิ่งนัก ถึงแม้จะกล่าวว่าการแข่งขันนั้นค่อนข้างดุเดือดแต่สุดท้ายแล้วผู้เข้าแข่งขันที่สามารถไปถึงคลองฉวี่เจียง ได้อย่างประสบความสำเร็จยังคงมีเพียงสองร้อยกว่าคนเท่านั้น ในบรรดาคนเหล่านั้นคะแนนของผู้เข้าแข่งขันจากสำนักต้นไหวเทียนหนานและสำนักเด็ดดาราโดดเด่นสะดุดตาที่สุด

ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสำนักเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพของเทือกเขาหลีซานจะไม่เข้าร่วม ผู้เข้าร่วมทดสอบหนุ่มแห่งสำนักต้นไหวหลายคนนั้นเดิมทีก็คือตัวเลือกที่น่าสนใจของการสอบใหญ่ในปีนี้ และอย่างที่ผู้คนทราบกันดีว่า เจ้าสำนักของพวกเขาหวังผ้อเองก็อยู่ในเมืองหลวงด้วย เด็กหนุ่มเหล่านั้นยิ่งเพิ่มพูนความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเข้าไปอีก แน่นอนว่าผลคะแนนก็ต้องโดดเด่นเช่นกัน และที่ผู้เข้าร่วมการทดสอบของสำนักเด็ดดาราแสดงออกได้อย่างโดดเด่นเยี่ยงนี้ กลับเป็นเพราะความกดดันที่ได้รับในเมืองหลวงในช่วงนี้ ทำให้อนาคตของกองทหารแห่งต้าโจวเหล่านี้ไปด้วยความโกรธแค้นในทรวงอก และความโกรธแค้นเหล่านี้ในวันนี้สุดท้ายได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นแรงผลักดันทั้งสิ้น

การต่อสู้ครั้งสุดท้ายยังคงดำเนินขึ้นที่หอชำระธุลีของโลกใบไม้คราม

ผู้เข้าร่วมการทดสอบทยอยเข้าสู่ตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ตามลำดับ ดำเนินไปตามรูปสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนพื้น หลังจากนั้นจึงได้สังเกตเห็นหญิงสาวชุดดำที่สีหน้าเฉยเมยท่านหนึ่ง

สาวชุดดำท่านนั้นสีหน้าเฉยเมย ในอ้อมกอดของนางมีกระถางต้นไม้สีเขียวอยู่หนึ่งใบ

เมื่อมองไปที่นาง ทุกคนที่เข้าร่วมการทดสอบต่างก็ทยอยนึกถึงก่อนเดินทางที่เหล่าบรรดาศิษย์พี่ต่างๆ ได้กำชับอย่างละเอียดถึงเรื่องราวที่สำคัญต่างๆ เหล่านั้น สีหน้าอดที่จะเปลี่ยนไปไม่ได้ จึงรีบถอนสายตาไปจากนางเสีย

จวบจนกระทั่งเข้าสู่โลกใบไม้คราม มาถึงยังหอชำระธุลี ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจึงได้รอบถอนหายใจสีหน้าปรากฏความเลื่อมใสและความเบิกบานออกมา ต่างก็เริ่มอภิปรายขึ้นมาอย่างกว้างขวาง

เพราะต่อให้เป็นปัญญาชนแห่งสำนักต้นไหวที่ยังหนุ่มหรือทหารหนุ่มของ สมัครเด็ดดาราที่เคารพกฎอย่างเข้มงวดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาสองสามคำด้วยเสียงเบากับคนในสำนักเดียวกัน

“หญิงสาวชุดดำผู้นั้นก็คือมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งในตำนานหรือ”

“ท่านใต้เท้าสังฆราชช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก พวกเจ้าต้องรู้ในพระราชวงศ์หลีแห่งนี้ไม่มีมังกรปรากฏตัวออกมากว่าพันปีแล้ว”

“มิน่าเล่าท่านชิวซานจวินอย่างไรก็สู้ท่านใต้เท้าสังฆราชไม่ได้…..”

“เงียบปาก ระวังถูกคนผู้นั้นแห่งเทือกเขาหลีซานได้ยินเข้า”

……

……

ไม่ต้องพูดถึงทิศทางการอภิปรายของเหล่าผู้เข้าร่วมการทดสอบที่อยู่ด้านในโลกใบไม้สีครามว่ายิ่งออกทะเลไปทุกที เพียงเอ่ยถึง บรรยากาศด้านนอกของพระราชวังหรือก็เปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาดยิ่งนัก

ไม่ว่าจะเป็นเหล่าพสกนิกรที่มารอคอยดูเรื่องรื่นเริงเหล่านั้นหรือว่าจะเป็นคนขายของแบกะดินหรือว่าบรรดาเด็กหนุ่มที่ตั้งโต๊ะพนัน ล้วนพร้อมใจกันเงียบ

ไม่มีเรื่องรื่นเริง อย่างนั้นพสกนิกรเหล่านั้นกำลังดูอะไรกันเล่า ไม่มีผู้ใดกำกับอธิบาย อย่างนั้นการพนันฉากนี้จะมีความหมายใดเล่า

ทุกคนล้วนกำลังเฝ้ามองการสอบใหญ่ แต่พวกเขาไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยในการสอบใหญ่ แต่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่

เนื่องจากไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าการสอบใหญ่ในปีนี้จะราบรื่นเงียบสงบเยี่ยงนี้

วันนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่กันแน่

จู่ๆ สัญญาณเตือนก็ดังขึ้น

เส้นตรงและบางมากกว่าสิบเส้นปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าสีฟ้า มีเพียงผู้ที่มีสายตาดีเยี่ยมเท่านั้น สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าเส้นแสงที่จากเงารางๆ นั้นเป็นสีแดง

นกห่านแดงสิบกว่าตัวถลาแล่นลมอย่างเร็ว นอกจากจะถลาลงยังวังหลวงและพระราชวังหลีแล้ว ที่เหลือพุ่งตรงไปยังทิศทางอื่นๆ

หากคุ้นเคยการแปรทัพของกองทหารต้นโจวละก็ ก็จะสามารถมองออกได้ถึงสถานที่ที่ห่านแดงเหล่านั้นพุ่งไป ล้วนเป็นที่พำนักของกองทหารของวังหลวงทั้งสิ้น

ราชันแห่งหลิงไห่ติดต่อกับราชสำนักอยู่ตลอดทั้งปี แน่นอนว่าต้องมองออก แต่เขาไม่สนใจในตัวห่านแดงเหล่านี้ว่าจะบินไปทิศทางใด ที่สนใจไปกว่านั้นก็คือพวกมันบินมาจากที่แห่งใด

ร่องรอยที่ปรากฏบนอากาศของห่านแดงนั้นหายไปแล้ว แต่ยังหลงเหลืออยู่ในดวงจิตเขา

สายตาของเขามองตามร่องรอยนั้นไป สุดท้ายทอดตกลงบนทางตอนใต้ของเมืองหลวง สีหน้าเขาเคร่งขรึมอย่างที่สุด

ที่นั่นคือสุสานเทียนซู

หู้ซานสือเอ้อร์เอ่ยเสียงต่ำ “หัวหน้าวัดฉือเจี้ยนเพิ่งจากออกมาจากวิหารปฏิญญา ผู้อาวุโสทั้งสี่ของหอกระบี่เขาหลีซานวันนั้นไม่ได้มาด้วยซ้ำ

“หญิงชราจากตระกูลมู่เจ้อออกนอกเมืองแล้ว”

นักพรตซือหยวนหรี่ตาก่อนเอ่ย “หากทุกคนล้วนไปที่สุสานเทียนซู อย่างนั้นจะคึกคักเพียงใดเล่า”

เขาไม่ได้ปกปิดความทะเยอทะยานของตนและเจตนาสงครามที่มีอยู่เลย เนื่องจากต่อให้ผู้ใดมอง นี่ก็ล้วนเป็นโอกาสที่พระราชวังหลีต้องคว้าเอาไว้

ราชันแห่งหลิงไห่หัวศีรษะกลับไปมองตำหนักข้างหลังนั้นที่อยู่ลึกเข้าไปในพระราชวังหลี เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย

นี่ท่านยังฝึกกระบี่อยู่หรือ