ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 34 พ่อค้า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในสุสานเทียนซูมีถนนหลายสาย แต่มีเพียงสายเดียวที่สามารถดำเนินไปจนถึงยอดของสุสานได้ นั่นก็คือถนนเสินที่ถูกปูด้วยศิลาหยกสีขาวเส้นนั้นทางด้านทิศใต้

ขึ้นจุดสูงสุดโดยถนนเสิน เป็นเรื่องที่มีความหมายเชิงประจักษ์ยิ่งนัก

มีเพียงฮ่องเต้และใต้เท้าสังฆราชรวมไปถึงเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้เท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติดำเนินบนถนนเส้นศักดิ์สิทธิ์เส้นนี้ได้ นี่เป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุดยังหาใดเทียบได้

ก่อนหน้าสวินเหมยก็มีผู้คนมากมายทดลองบุกถนนเสิน แต่นอกจากโจวตู๋ฟู ก็ราวกับไม่มีผู้ใดที่ประสบผลสำเร็จเลย

หวังผ้อจะบุกถนนเสินคือประสงค์จะบรรลุคำสัญญาที่มีต่อสหายเก่า คือการท้าทายต่อราชสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นคือการแก้แค้นต่อใต้เท้าสังฆราชและฮ่องเต้

สวีโหย่วหรงยืนอยู่ยังจุดที่ลึกเข้าไปในหมู่พฤกษาของสวนร้อยหญ้า มองไปยังพื้นหญ้าที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงต่ำว่า “ท่านเคยกล่าวว่า นักพรตจี้คือขุนนางที่จงรักภักดีต่อจักรพรรดิไท่จงที่สุด หรือแม้แต่กระทั่งเป็นผู้ติดตามที่แสนจะวิปริตบ้าคลั่ง อย่างนั้นเขาจะยอมให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”

ลมอ่อนพัดใบไม้และต้นอ่อนที่เพิ่งโผล่พ้นพื้นดินมาไม่นาน จักรพรรดินีเทียนไห่นอนหลับยาวนานอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีผู้ใดตอบคำถามนางได้

“คิดว่าจะต้องเป็นศัตรูกับบุคคลที่วิปริตเยี่ยงนี้ ก็ยังถือว่าตื่นเต้นเล็กน้อยจริงๆ”

สีหน้าของสวีโหย่วหรงสงบนิ่ง มองไม่ออกถึงในคำพูดคำจาของนางที่ดูตื่นเต้น มีเพียงขนตาของนางที่กะพริบแผ่วเบา ที่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ที่แท้จริงของนางในยามนี้

เรื่องที่นางต้องทำหรือต้องตัดสินใจช่างน่ากลัวมากนัก หากไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะทำให้ไพร่ฟ้าพสกนิกรเรือนหมื่นต้องตายไปอย่างน่าสงสาร

ต้องตัดสินใจอย่างนี้ หรือให้ทั้งดินแดนเชื่อว่านางกล้าที่จะตัดสินใจเยี่ยงนี้ จักต้องให้นางมีปณิธานที่แก่กล้าเป็นอย่างยิ่ง

ปณิธานแรงกล้าอย่างที่สุด แน่นอนว่าต้องไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ และนี่ก็คือหนทางแห่งไท่ซั่งนั่นเอง

หางคิ้วของสวีโหย่วหรงขมวดแน่น มองดูแล้วอ่อนแอยิ่งนัก พาลให้คนพบเห็นรู้สึกเอ็นดู

ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นนางในแบบนี้มาก่อน

ต่อให้เป็นยามที่อยู่ในสวนโจวที่นางได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียจนใกล้จะเสียชีวิต ต่อให้เป็นคนใกล้ชิดอย่างเฉินฉางเซิงก็ไม่เคยพบเห็น

มีเพียงถนนศิลาเส้นนั้นที่เกลี้ยงเป็นมันบนหุบเขาอัสดงและต้นไม้บนขอบเหวต้นนั้นที่เคยพบเห็น

นิ้วชี้ของมือทั้งสองข้างแตะกันเบา ๆ ในสายลม

นางมองไปยังจุดที่ปลายนิ้วบรรจบกันก่อนจะเอ่ยกับตนเองว่า “เจ้าทำได้ ทำมันได้แน่นอน”

นางเงยหน้าขึ้นมามองเพียงผืนหญ้าที่นูนขึ้นเล็กน้อยผืนนั้น สีหน้าแววตากลับเป็นสงบนิ่ง

ความสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด นั่นก็คือความเฉยชา

อย่าว่าแต่ผืนหญ้า ต่อให้เป็นน้ำหลากที่ใหญ่หลวง ก็ไม่อาจทำให้นางสนใจได้

“ขอให้แสงศักดิ์สิทธิ์จงอยู่กับท่านตลอดกาล”

สวีโหย่วหรง หันหลังเดินกลับไปยังสวนร้อยหญ้า

ในขณะที่ชายกระโปรงของนางสะบัดพลิ้วไหว ดอกไม้ป่าก็งอกขึ้นมาบนพื้นหญ้าสีเขียว ทันใดนั้นก็เกิดเปลวไฟสีทอง และกลายเป็นความว่างเปล่า

……

……

จากบ้านหลังเล็กของสวินเหมยไปจนถึงด้านใต้ของถนนเสินมิได้ไกลนัก ในคราแรกเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือรวมถึงคนอื่นๆเมื่อเร่งรุดไปถึงนั้น ก็ไม่ได้ใช้เวลามาเท่าใดนัก

แต่หวังผ้อกลับจากไปนานแล้ว

กระบี่โลหะไม่รู้ว่าถูกชักออกจากฝักเมื่อใด มันถูกเขากำไว้อยู่ในมือแล้ว

หากให้ผู้คนเห็นภาพนี้เข้า ต้องเกิดความวิตกและไม่เข้าใจเป็นอย่างมากแน่

ในปีนั้นขณะที่กำลังรบกับกิ่งต้นโลหะท่ามกลางพายุหิมะ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ชักกระบี่ จุ๊บจนสุดท้ายจึงได้ตัดขาดฟ้าดินด้วยกระบี่เดียว

เหตุใดวันนี้เขาจึงชักกระบี่ออกมาเสียแต่เนิ่นๆ เขาเตรียมที่จะฟาดฟันผู้ใดกัน

คนที่หวังผ้อจะฟาดฟันมิใช่มนุษย์

สุสานเทียนซูในวันนี้เงียบสงัดเสียจนเกินจริง มองไม่เห็นแม้นักพรตที่ทำหน้าที่ดูแลแผ่นป้ายอนุสรณ์ แม้แต่ผู้ดูแลแผ่นป้ายอนุสรณ์ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่เสียที่แห่งใด

ต่อให้คนเหล่านั้นอยู่ที่นี่ก็ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติมากพอที่จะให้เขาชักกระบี่ออกมาได้

ที่เขาต้องการจะฟาดฟันก็คือบรรดากิ่งก้านใบของต้นไม้ที่ยื่นกิ่งก้านสาขาออกมาขวางทาง รั้วเหล่านั้นที่ผุพัง ศิลาสีเขียวที่ขาดการทำนุบำรุงมานานหลายปีอีกทั้งยังไม่เป็นระเบียบเหล่านั้น

ตามทิศทางของกระบี่ที่ฟาดฟัน กิ่งก้านใบกลายเป็นเศษผง รั้วไม้ไผ่กลายเป็นผงธุลี ศิลาเขียวกลายเป็นอนู หลังจากนั้นจึงถูกลมพัดพาเอาไปเสีย ทั้งหมดกลับมาเป็นระเบียบเหมือนใหม่อีก

หลังจากที่เขาจากไป พื้นโคลนและร่องรอยกระบี่ที่ชัดเจนบนศิลาเขียวก็ค่อยๆ เลือนหาย เจตนากระบี่กับทุกซ่อนเอาไว้ลึกเข้าไปในที่ว่างราวกับปิดบังสิ่งใดเอาไว้อยู่

หวังผ้อดำเนินไปยังทานตอนใต้ของถนนนเสิน มองไปยังที่ที่เคยมีศาลาปรากฏอยู่

ตอนนี้ผู้คนต่างก็ทราบดีว่า ขุนพลเทพฮั่นชิงในตอนนั้นได้บรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว

มิน่าเล่าในคืนนั้นที่สวินเหมยตื่นขึ้นมาจากความฝัน ขณะที่อยู่จุดสูงสุดของยอดเขา ยังคงไม่สามารถผ่านด่านนี้ของเขาไปได้

วันนี้จะเป็นผู้ใดที่มาหยุดยั้งมิให้เขาบุกถนนเสินกัน

หวังผ้อไม่ได้ดำเนินไปทางถนนเสิน เขารอคอยคนผู้นั้นมาถึงอย่างเงียบๆ

กระบี่โลหะของเขากลับคืนสู่ฝักอีกครั้ง แต่อำนาจของกระบี่กลับยังคงเชื่อมอยู่ระหว่างฟ้าและดิน และเอาแต่เพิ่มกำลังขึ้นอย่างช้าๆ ไม่หยุด

เข้าไม่รีบร้อน เนื่องจากเวลายิ่งมาก อำนาจของกระบี่ที่ซ่อนสะสมอยู่ก็ยิ่งสมบูรณ์แบบ ตราบจนกระทั่งมันสามารถผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็จะไม่มีช่องโหว่ใดๆ อีก

อาจจะเป็นด้วยสาเหตุนี้ ไม่ต้องใช้เวลามาก บุคคลผู้นั้นที่เขารอคอยก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว

สายลมทำให้น้ำใสในคลองตื้น ๆ เกิดระลอกคลื่นละเอียดนับไม่ถ้วนขึ้น ก่อตัวเป็นลวดลายที่สลับและซับซ้อนนับไม่ถ้วน

ลายน้ำดูเหมือนจะซ่อนความหมายอันมหัศจรรย์ของสวรรค์และโลก ซึ่งทำให้พลังกระบี่ของหวังผ้อเจือจางลงไปมาก

ซางสิงโจวปรากฏตัวขึ้นบนถนนเสิน แขนเสื้อของเขาโบกปลิว และผมสีดำของเขาถูกหวีเรียบเปร้ ดูแล้วเก่งกาจเหลือแสน

หวังผ้อเอ่ย “ช่างไม่มีอะไรแปลกใหม่เอาเสียเลย”

สำหรับการปรากฏตัวของซางสิงโจว เขาแทบจะไม่รู้สึกประหลาดใจเลย คิดว่าก็คงไม่มีผู้ใดที่จะรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน

เมื่อบนโลกปรากฏบุคคลที่สามารถหยุดยั้งเขาบุกทะลวงถนนเสินขึ้นมาได้ นั่นก็คือซางสิงโจวนั่นเอง

ซางสิงโจวไม่ได้ตอบคำใด

เมื่อเทียบกับการพูดจาแล้ว เขาค่อนข้างให้ความสนใจกับผลลัพธ์ที่แท้จริงมากกว่า

เขามองไปยังหวังผ้อ แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม ราวกับกำลังเพ่งมองคนรุ่นหลังตนที่มีความสามารถโดดเด่นอย่างที่สุด

แต่ความชื่นชมนั้น สุดท้ายแล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นความเสียดาย

ในแผนของเขานั้น หวังผ้อต่อมาภายในสงครามการต่อสู้ปราบปรามทางเหนือจะต้องเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดคนหนึ่ง หรือแม้แต่กระทั่งภารกิจการโจมตีเมืองเสวี่ยเหล่าให้พังทลาย เขาก็เตรียมที่จะมอบหมายภารกิจนี้ให้กับอีกฝ่าย

ช่างน่าเสียดายที่ผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่โดดเด่นเยี่ยงนี้ วันนี้ก็จะต้องเสียชีวิตลงแล้ว

ฝนห่าหนึ่งตกลงมาเหนือสุสานเทียนซูตามการมาเยือนของซางสิงโจว

นั่นมิใช่ฝนในฤดูใบไม้ผลิ แต่เป็นฝนธนู

ตามติดเสียงหึ่งๆ ที่ดังขึ้น ลูกธนูและหน้าไม้นับไม่ถ้วนตกลงมาราวกับพายุฝน

ลูกธนูเหล่านั้นที่เกิดการเสียดสีกับอากาศอย่างรุนแรง ทำให้เกิดแสงไฟออกมา ราวกับมีแสงศักดิ์สิทธิ์กำลังเปล่งประกายออกมาอยู่ข้างในนั้น

หวังผ้อไม่ได้หันกลับมา เก้ากับรับทราบได้ถึงการมาถึงของพายุธนูแล้ว

เขาค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อยอีกครั้ง ทั้งยังรู้สึกหดหู่เล็กน้อย

เขาคิดไม่ถึงเลยว่ากองทัพอวี่หลินของสุสานเทียนซูนั้นจะมีธนูศักดิ์สิทธิ์มากมายถึงเพียงนี้

เห็นได้ชัดเจนเลยว่าราชสำนักนั้นมีการคาดเดาถึงการปรากฏตัวของเขานะสุสานเทียนซูมาตั้งแต่นั้นเนินธนูศักดิ์สิทธิ์ที่มีจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ ถือเป็นกลวิธีน่ากลัวที่มีเป้าหมายการโจมตีสูงสุด

เดิมทีสามปีก่อนเมื่อเขาบรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ริมแม่น้ำลั่ว ราชสำนักเองก็ได้เริ่มเตรียมตัวแล้วว่าจะสังหารเขาอย่างไร

ซางสิงโจวเดินอยู่บนถนนเสิน และอยู่ท่ามกลางการปกคลุมที่เต็มไปด้วยฝนธนูศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาไม่ได้มีความคิดที่จะหลบหนีเลย เพียงแต่มองไปที่หวังผ้ออย่างเงียบๆ

ราวกับเขากำลังมองไปที่คนตายคนหนึ่ง

เขาบำเพ็ญพรตเต๋ามากว่าพันปี แน่นอนว่าต้องมีความสามารถในการต่อกรกับธนูศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยๆก็แข็งแกร่งกว่าหวังผ้อเป็นอย่างมาก

แต่หากเขาไม่หนีไป หวังผ้อก็จะไม่สามารถหนีไปได้

วิชากระบี่โลหะของหวังผ้อแข็งแกร่งมาก ในขณะที่ไม่สามารถฟาดฟันกับฝนธนูที่อยู่เต็มท้องฟ้า ก็คงไม่สามารถรับมือกับการโจมตีของเขาได้เช่นกัน

ในตอนนี้เอง ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของสุสานเทียนซูในป่าลึก จู่ๆ ก็บังเกิดแสงกระบี่ขึ้นมา

แสงกระบี่นั้นไม่ฉูดฉาด

มีวิหคถลาลมบางตัว ตกใจจนบินจากไปแต่ยังไม่ทันจะบินผลขอบอาณาบริเวณป่า ก็ถูกแสงกระบี่อีกสายหนึ่งฟาดฟันลงมาเสียแล้ว

แสงศักดิ์สิทธิ์นั้นงดงามอย่างถึงที่สุด

ตามติดมาด้วย แสงศักดิ์สิทธิ์ที่มากมายขึ้นทุกทีที่แฉลบขึ้นในป่า