ราชันเร้นลับ 1393 : ที่ที่ความฝันเริ่มขึ้น

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

หลังจากกลับมายังโลกความจริง อัลเจอร์รอฟังเนื้อหาภารกิจจากมิสเตอร์ฟูลในทุกลมหายใจ

 

ณ วันนี้ แต่งกายด้วยชุดสันตะปาปาและหน้ากากสีเงินดำ ขณะอัลเจอร์กำลังหารือเกี่ยวกับกิจการภายในของโบสถ์เทพสมุทรกับผู้ส่งสารเดนิส มันเห็นบิชอปคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้

 

“องค์สันตะปาปา… ในนามแห่งมหาสังฆราช ทางโบสถ์วายุสลาตันได้ส่งของขวัญสองชิ้นเพื่อร่วมแสดงความยินดีในฐานะที่ท่านกลายตัวแทนแห่งเทพ” บิชอปถือกล่องดีบุกขาวพลางทำความเคารพอย่างนอบน้อม

 

เดนิสซึ่งกำลังแอบขอบคุณสวรรค์ที่การส่งโทรเลขล้มเหลวและเตรียมกล่าวบางสิ่ง โพล่งขึ้นด้วยความประหลาดใจ

 

“ผู้ส่งสารไปไหนแล้ว?”

 

“เขากลับไปทันทีหลังจากมอบของขวัญ” บิชอปหน้าประตูกล่าวอย่างจนปัญญา

 

แม้คนของโบสถ์วายุสลาตันจะโด่งดังด้านความหุนหัน แต่พฤติกรรมเช่นนี้ถือว่าพบได้ยาก

 

อัลเจอร์พยักหน้าแผ่วเบาและกล่าว

 

“ลำพังการไม่เป็นศัตรูและมอบของขวัญร่วมยินดีก็เพียงพอแล้ว”

 

กล่าวจบ มันยกมือขวาขึ้นมาบีบ ดลบันดาลให้กล่องดีบุกขาวในมือบิชอปถูกสายลมพัดเข้าหาตน

 

หลังจากรับกล่องใบเล็ก การเคลื่อนไหวของอัลเจอร์ช้าลงเล็กน้อย ราวกับกล่องมีน้ำหนักมหาศาล

 

มันบรรจงเปิดฝาจนกระทั่งพบหนังสือสีน้ำตาลที่ถูกหุ้มด้วยกระดาษ

 

บนปกหนังสือมีภาษาเอลฟ์เขียนไว้ว่า:

 

“หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ”

 

หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ… อ่านจบ อัลเจอร์ตกอยู่ในภวังค์ทันที ราวกับกำลังฝันไป

 

แต่เพียงไม่นานมันก็พบว่าเป็นความจริง และเข้าใจทันทีว่าภารกิจของมิสเตอร์ฟูลคือสิ่งใด

 

อัลเจอร์ถอนหายใจเงียบ มองไปทางประตูและกล่าวกับบิชอป

 

“ของขวัญชิ้นที่สอง?”

 

“เรือผีสิงนามว่าโทสะสีคราม มันจอดอยู่ที่ท่าเรือ” บิชอปตอบด้วยสีหน้าปรกติ

 

โทสะสีคราม… เมื่อเดนิสได้ยินชื่อดังกล่าว มันหันไปมองสันตะปาปาอัลเจอร์ด้านข้างทันที

 

มันยังไม่ลืมว่า นี่คือเรือที่อีกฝ่ายใช้งานสมัยยังเป็นโจรสลัด

 

กล่าวคือ โบสถ์วายุสลาตันทราบว่า สันตะปาปาแห่งวิหารเทพสมุทรคืออดีตพระคาร์ดินัล!

 

มาแสดงความยินดีหรือข่มขู่กันแน่? หัวใจเดนิสคล้ายกับถูกบีบแน่น ขณะเดียวกันก็พบว่าตนเคยเห็นของขวัญชิ้นแรก

 

หนังสือแห่งภัยธรรมชาติสุดชั่วร้าย มันเคยเห็นด้วยตาตัวเองขณะยังติดตามเกอร์มัน·สแปร์โรว์

 

“เขียนจดหมายขอบคุณโบสถ์วายุสลาตันในนามของผม” อัลเจอร์ออกคำสั่งอย่างใจเย็น

 

เมื่อบิชอปออกจากห้อง มันหันมากล่าวกับเดนิส

 

“ท่านผู้ส่งสาร ผมได้รับวิวรณ์จากมิสเตอร์ฟูลให้ออกไปทำภารกิจ อาจไม่ได้กลับมาที่นี่เป็นเวลาหลายปี”

 

“วิวรณ์?” เดนิสโพล่งด้วยความประหลาดใจ

 

ถึงตรงนี้ ในใจมันมีเพียงความคิดเดียว:

 

แล้วทำไมเราถึงไม่ได้รับ?

 

อัลเจอร์พยักหน้า

 

“มิสเตอร์ฟูลกำลังจะหลับใหล… แต่พระองค์ยังสามารถตอบสนองคำวิงวอนได้”

 

“…” เดนิสตกใจจนพูดไม่ออก

 

อัลเจอร์กล่าวต่อ

 

“เกอร์มัน·สแปร์โรว์หลับใหลไปพร้อมกับพระองค์… เมื่อผมจากไป หน้าที่บริหารกิจการของศาสนจักรจะตกเป็นของเดอร์ริค·เบเกอร์ หนึ่งในอาวุโสของเมืองเงินพิสุทธิ์ใหม่ คุณต้องร่วมมือกับเขาเพื่อเขียนความจริงลงไปในพระคัมภีร์ว่า แท้จริงแล้วเทพสมุทรคือมิสเตอร์ฟูล เหล่าสาวกจะได้ยอมรับและหันเหความเชื่ออย่างเต็มใจ… ความศรัทธาของเราคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยปลุกมิสเตอร์ฟูลให้ตื่น ในฐานะผู้ส่งสารของพระองค์ คุณต้องทำตัวให้เป็นเยี่ยงอย่าง… แต่แน่นอน บางทีพระองค์อาจส่งวิวรณ์ใหม่มาถึงคุณและสั่งให้ไปทำงานอื่น”

 

เดนิสวิงเวียนศีรษะกึ่งสับสนเล็กน้อย แต่ก็พอจะเข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์

 

ลังเลสักพัก มันพยักหน้าหนักแน่น

 

“ตกลง”

 

อธิบายจบ อัลเจอร์ยืนขึ้น นำหนังสือแห่งภัยธรรมชาติกลับไปที่ห้องตัวเอง

 

มันจ้องเข้าไปในกระจกเงา ยิ้มพลางถอดมงกุฎสันตะปาปา ถอดหน้ากากสีเงินดำ

 

ไม่กี่วันถัดมา ณ ท่าเรือบายัมที่พลุกพล่าน

 

อัลเจอร์เงยหน้ามองเดอะซันเดอร์ริคที่สูงกว่าตนพอสมควร กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“คุณทำได้ดีมากในช่วงที่ผ่านมา โบสถ์เทพสมุทรกำลังไปได้สวย”

 

เดอร์ริคอยากจะยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยตามความเคยชิน แต่มันก็ต้องข่มใจเอาไว้ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้าและใจหาย:

 

“มิสเตอร์แฮง… องค์สันตะปาปาวิลสัน คุณจะกลับมาเมื่อไร?”

 

อัลเจอร์ส่ายหน้า

 

“ทุกสิ่งตรงหน้ายังเป็นปริศนา ไม่มีใครตอบได้แน่ชัด”

 

ก่อนที่เดอร์ริคจะตอบ มันเสริม

 

“คุณเป็นผู้ใหญ่และมั่นคงเพียงพอแล้ว ผมไม่มีอะไรจะแนะนำอีก”

 

กล่าวจบ อัลเจอร์เว้นวรรคเล็กน้อยและพูดต่อ

 

“หากหมู่เกาะรอสต์เผชิญมหันตภัยที่มิอาจต้านทาน อย่าได้เสียสละตัวเองเพื่อปกป้องเด็ดขาด”

 

“หือ?” เดอร์ริคชะงัก

 

แหล่งความเชื่อที่เข้มแข็งที่สุดของมิสเตอร์ฟูลคือบายัมไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงห้ามมิให้สละชีวิตปกป้อง?

 

อัลเจอร์คาดเดาท่าทีตอบสนองของเดอร์ริคไว้แล้ว จึงอธิบายเรียบง่ายด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“สำหรับมิสเตอร์ฟูล สิ่งสำคัญที่สุดของพระองค์คือเหล่าสาวก มิใช่หมู่เกาะ เฉกเช่นบายัม สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้คน มิใช่เมือง… ตราบใดที่พวกเราสามารถปกต้องสาวกของมิสเตอร์ฟูล ปกป้องชาวบายัมและเคลื่อนย้ายพวกเขาได้ทันเวลา ถึงจะสูญเสียบายัม เงินพิสุทธิ์ใหม่ และหมู่เกาะรอสต์ไป พวกเราก็ยังสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ที่ใดก็ได้… จงจำเอาไว้ รูปลักษณ์เสียหายได้ แต่ต้องไม่ใช่แก่น”

 

เดอร์ริคเกิดความซาบซึ้งและเข้าใจกุญแจสำคัญทันที

 

มันขานรับอย่างจริงใจ

 

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณครับ… องค์สันตะปาปาวิลตัน ผมจะคอยปกป้องสาวกของมิสเตอร์ฟูลและผู้คนที่นี่”

 

อัลเจอร์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงหันหลังและเดินไปทางโทสะสีครามที่จอดอยู่ในท่าเรือ

 

เรือผีสิงลำนี้ยังคงมีสามเสากระโดงและล้าสมัยเช่นเคย ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง

 

อัลเจอร์มองตรงไป มองลูกเรือจำนวนหนึ่งบนดาดฟ้า เมื่อสัมผัสถึงบางสิ่ง มันก้มมองตัวเอง

 

มันกำลังสวมเสื้อลินิน แจ็กเกตหนังสีน้ำตาลและกางเกงขาพองของชนพื้นเมือง รอบเอวพาดด้วยเข็มขัดพิเศษที่เหน็บมีดสั้นและคทากระดูก

 

มุมปากอัลเจอร์ยกขึ้น ย่างไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เสกลมขึ้นมาส่งตัวเองลอยไปยังโทสะสีคราม

 

ถัดมา มันหันหน้าไปยังท้องทะเลสีครามที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ยกมือขวาขึ้นพลางกล่าวเสียงหนักแน่น:

 

“ออกเรือ!”

 

 

กรุงเบ็คลันด์ เขตราชินี ภายในคฤหาสน์สุดหรูของตระกูลฮอลล์

 

ออเดรย์นั่งอยู่บนโซฟานุ่มสบาย จ้องมองบิดา เอิร์ลฮอลล์ และเหล่าพี่ชาย ฮิบเบิร์ตกับอัลเฟรด ถกเถียงเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันและทิศทางของอาณาจักร จากนั้นก็หันไปมองมารดา คุณหญิงเคทลิน ยุ่งอยู่กับการเรียกพ่อบ้านและคนงานมาจัดเตรียมงานเลี้ยงที่กำลังจะมาถึง

 

หญิงสาวไม่พูด รอยยิ้มจางลงกว่าปรกติชัดเจน จ้องมองฉากเหตุการณ์แสนปรกติอย่างเงียบงัน

 

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เอิร์ลฮอลล์มองมาทางเธอด้วยรอยยิ้ม

 

“เจ้าหญิงน้อยของพวกเรากำลังครุ่นคิดสิ่งใด?”

 

ออเดรย์เม้มริมฝีปากตอบ

 

“ลองเดาดูสิคะ”

 

“คงกำลังคิดว่าจะแต่งตัวเช่นไรในงานเลี้ยงคืนนี้ จะทำผมทรงไหน สวมเครื่องสำอางใดบ้าง” ฮิบเบิร์ตตอบแทนบิดาอย่างเป็นกันเอง

 

ออเดรย์ยกมุมปาก

 

“เดาถูก แต่ไม่มีรางวัลให้นะ”

 

หญิงสาวบรรจงลุกขึ้นยืน กล่าวกับพ่อแม่และสองพี่ชาย:

 

“ขอตัวขึ้นไปเปลี่ยนชุดข้างบน”

 

เอิร์ลฮอลล์พยักหน้า

 

“ไม่ต้องกังวล ทุกคนเห็นตรงกันว่า สำหรับลูก มันคุ้มค่าที่จะตั้งตารอ”

 

ออเดรย์เม้มริมฝีปาก ยังคงรักษารอยยิ้ม เดินไปทางประตูทีละก้าว

 

หลังออกจากห้อง หญิงชะงักและมองกลับไป

 

พ่อแม่ของเธอ และพี่ชายทั้งสอง ต่างกลับไปทำในสิ่งที่ทำค้างไว้ บ้างจัดแจง บ้างถกเถียง

 

ดวงตาสีเขียวของออเดรย์คล้ายกับหยุดนิ่ง ก่อนจะค่อยๆ ถอนกลับ

 

หญิงสาวเดินออกจากห้อง เดินขึ้นชั้นบนและกลับมายังห้องตัวเอง

 

ซูซี่ โกลเดนรีทรีเวอร์สีทองตัวใหญ่ กำลังรออยู่ที่นี่

 

ออเดรย์แอบถอนหายใจ ยกมือขวา วาดเส้นจำนวนมากกลางอากาศด้วยนิ้วชี้

 

พวกมันดูราวกับเป็นความฝันจากส่วนลึกสุดของจิตใจ

 

ไม่กี่วินาทีถัดมา ประกายแสงระยิบระยับได้บิดเป็นเกลียวและกลายเป็นสตรีผมทองผู้งดงามเหนือพรรณนา – ออเดรย์·ฮอลล์

 

แตกต่างจากออเดรย์ หญิงสาวผู้นี้ดูค่อนข้างขี้เล่นและมีความโรแมนติก

 

“สายัณห์สวัสดิ์ มิสจัสติส~” หญิงสาวกล่าวอย่างร่าเริง

 

มุมปากออเดรย์กระตุกเล็กน้อย ขานตอบอีกฝ่าย

 

“สายัณห์สวัสดิ์ มิสออเดรย์”

 

หลังจากจบการชุมนุมกะทันหัน หญิงสาวตั้งใจแน่วแน่ที่จะเลื่อนลำดับเป็นนักสานฝัน พร้อมแล้วที่จะแบ่งตัวตนออกมาช่วยดูแลครอบครัว โดยที่ตัวเองต้องอยู่ห่างจากทุกคน เพื่อไม่ให้ใครต้องพัวพันกับอันตรายที่หญิงสาวจะนำพา

 

มองหน้ากันสักพัก เธอหันไปพูดกับโกลเดนรีทรีเวอร์ขนทอง

 

“ซูซี่ อยากตามฉันไปด้วยไหม”

 

“แน่นอน พวกเราคือเพื่อนกันตลอดไป” ซูซี่ โกลเดนรีทรีเวอร์ตอบหนักแน่น

 

จัสติสออเดรย์ไม่กล่าวคำใด เพียงแบ่งบุคลิกเสมือนเข้าไปในกายปัญญาของซูซี่อย่างง่ายดายเพราะเจ้าของร่างอนุญาตให้ผ่านเข้าออก

 

ถัดมา หญิงสาวยกมือขึ้นและวาดอีกหนึ่งซูซี่ขึ้นจากอากาศ

 

ทันทีที่ก่อตัวเป็นรูปร่าง เธออ้าปากส่งเสียง ‘โฮ่ง’

 

ออเดรย์หันไปมองตัวเธออีกคน

 

ท่ามกลางความเงียบงัน แม้จะทราบดีว่าความคิดทั้งสองคล้ายคลึงกันมาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวกับสตรีผมทองตรงหน้าว่า:

 

“ห…หลังจากนี้ ฉันขอฝากฝังทุกสิ่งให้เธอดูแล… อย่าลืมไปอ้อนพ่อบ่อยๆ เตือนท่านว่าอย่าทำงานหนักเกินไป เขาอายุมากจนถึงจุดที่ต้องเป็นห่วงสุขภาพของตัวเองแล้ว หลายสิ่งสามารถส่งต่อให้ฮิบเบิร์ตและอัลเฟรดทำแทนได้ หรือแม้กระทั่งพ่อบ้าน… นอกจากนั้น ค่อยๆ เตือนสติแม่โดยการบอกกับท่านว่า อย่าไปใส่ใจความเห็นของคนอื่นมากนัก และไม่จำเป็นต้องทำตัวสมบูรณ์แบบในแวดวงชนชั้นสูงตลอดเวลา นั่นเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองพลังงานเกินไป… แล้วก็ อย่าลืมฮิบเบิร์ต ช่วยให้เขาหัวเราะบ่อยๆ อย่าปล่อยให้หดหู่นาน เตือนเขาว่าไม่ต้องคิดมาก พี่อัลเฟรดไม่ได้คิดจะแย่งตำแหน่ง… ส่วนอัลเฟรด… อัลเฟรดต้องรีบหาภรรยาที่ดีและเลิกเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงอันตราย… หืม… เธอร้องไห้ทำไม? พวกเราโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ อีกแล้ว”

 

ออเดรย์ก้มหน้าเล็กน้อย ยิ้มพลางกล่าวกับตัวเองที่กำลังหลั่งน้ำตาตรงหน้า

 

“ฉันรู้… ฉันรู้…” กล่าวจบ หญิงสาวผมทองเม้มริมฝีปาก ผงกศีรษะด้วยความเศร้า

 

จัสติสออเดรย์ถอนสายตากลับ หยิบผ้าคลุมด้านข้างมาสวม

 

จากนั้น เธอนำซูซี่ โกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ ออกจากห้องนอนและตรงไปยังทางเดิน

 

หลังจากห้องโถงใหญ่ถูกจุดไฟจนสว่างไสวได้สักพัก แขกเหรื่อเริ่มทยอยเข้าร่วมงานเลี้ยงทีละครอบครัว เอิร์ลฮอลล์ คุณหญิงเคทลิน ฮิบเบิร์ต และอัลเฟรดต่างออกจากห้องเมื่อครู่และเดินไปทางประตู

 

ออเดรย์ยืนอยู่หลังราวกั้น จ้องมองอยู่สักพัก

 

จากนั้น หญิงสาวยกชายกระโปรงขึ้น บรรจงทำความเคารพพ่อแม่และพี่ชายอย่างนอบน้อมจากระยะไกล

 

ผ่านไปสองวินาที เธอเหยียดตัวตรง ยกมือดึงผ้าคลุมหัวสีน้ำเงินเข้มลงมาปกปิดใบหน้า

 

ขณะด้านข้างและด้านหลังหญิงสาวเปี่ยมไปด้วยเสียงอึกทึกและแสงระยิบระยับ ด้านหน้าของเธอปรากฏทะเลจิตใต้สำนึกรวมที่ก่อตัวจากแสงสีหม่น

 

“ไปกันเถอะ” ออเดรย์พูดกับซูซี่ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

 

กล่าวจบ เธอก้าวเข้าไปในทะเลมายาที่มืดมิด

 

‘ออเดรย์’ รีบออกจากห้องนอน กล่าวเสียงสะอื้น:

 

“เธอต้องกลับมานะ!”

 

ออเดรย์ไม่มองหลัง เพียงยกมือขวาและโบกบ่ายเป็นนัยว่าได้ยิน

 

ร่างของเธอที่สวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม ท่องไปในความเงียบอันมืดมิด ก่อนจะเลือนหายไปโดยสมบูรณ์

 

……………………………………………………