บทที่ 1213 หอสุราเหมียวเหมียวหง่าว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,213 หอสุราเหมียวเหมียวหง่าว

เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ยอมพูดอะไรออกมา หญิงสาวที่เดินอยู่ข้างกายก็ต้องถามออกมาด้วยความลังเลใจว่า “เพราะเหตุใดคุณชายจึงต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาด้วยเจ้าคะ?”

หลินเป่ยเฉินตื่นขึ้นจากภวังค์และหันไปมองหน้าหญิงสาวที่เดินอยู่ด้านข้าง หัวใจกระตุกวูบ ความคิดกลั่นแกล้งคนปรากฏขึ้นในสมองอีกครั้ง “เพราะว่าใบหน้าของข้าสามารถฆ่าคนได้น่ะสิ”

“ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ?”

เห็นได้ชัดว่าชิงเล่ยไม่เข้าใจความหมายในคำตอบของหลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มจึงโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูนางอย่างชิดใกล้ “เพราะว่าข้าหล่อเหลามากเกินไป หากบุรุษมองเห็น พวกเขาก็จะตายด้วยความเสียใจที่หล่อเหลาไม่เท่าข้า หากเป็นสตรีมองเห็น พวกนางก็จะต้องตายด้วยความปรารถนาที่จะได้ครอบครองร่างกายของข้า”

ชิงเล่ยถึงกับผงะไปเล็กน้อย นางเว้นระยะห่างจากหลินเป่ยเฉินมากขึ้น ก่อนยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก “โกหก ข้าน้อยไม่เชื่อ”

“ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ”

หลินเป่ยเฉินยืดตัวยืนตรงเช่นเดิมและกล่าวต่อ “ความจริงเป็นเพราะข้าอัปลักษณ์มากเกินไปน่ะ… ข้ากลัวจะทำให้คนอื่นตกใจ ข้าเป็นคนที่มีฝีมือการต่อสู้ดีเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่ต้องเสียโฉมระหว่างการฝึกฝน ใบหน้าไม่คู่ควรให้ผู้คนจ้องมอง ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นพบเห็น ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องสวมใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา”

หลังจากกล่าวจบ เด็กหนุ่มก็เสแสร้งแกล้งถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า

แต่ครั้งนี้ ชิงเล่ยกลับเชื่อคำตอบของเขาอย่างสนิทใจ

ไม่ใช่เพราะการถอนหายใจเฮือกสุดท้ายของหลินเป่ยเฉิน

แต่เป็นเพราะว่าคำอธิบายในครั้งนี้ของเขามันฟังดูสมเหตุสมผลมากกว่าคำอธิบายในตอนแรก

“อย่าเศร้าไปเลยนะเจ้าคะ…”

ชิงเล่ยพยายามปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “สำหรับบุรุษหนุ่มแล้ว ตราบใดที่มีความแข็งแกร่ง ท่านก็จะต้องได้รับความเคารพจากผู้คนเสมอ ยิ่งคุณชายเป็นผู้ร่ำรวย หน้าตาก็หาใช่สิ่งที่สำคัญไม่”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ขอบคุณท่านมากที่ปลอบโยนข้า”

แต่ในใจของเขากำลังสบถคำหยาบ

ให้ตายสิ อุตส่าห์ตอบตามความจริงว่าเขามีใบหน้าที่หล่อเหลามากเกินไปจนไม่อยากให้ผู้คนได้พบเห็น ทำไมนางถึงไม่เชื่อ?

แต่พอบอกว่าเขามีหน้าตาอัปลักษณ์จนไม่อยากให้ผู้คนได้พบเห็น ชิงเล่ยกลับหลงเชื่อเสียอย่างนั้น

นี่สินะ โบราณถึงบอกเอาไว้ว่าคำโกหกมักจะเชื่อได้ง่ายมากกว่าความจริงเสมอ

เมื่อเห็นกิริยาท่าทีที่ซึมเศร้าลงไปของเด็กหนุ่ม ชิงเล่ยก็ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นและกล่าวว่า “สะ…สิ่งที่ข้าน้อยพูดเป็นความจริง ด้วยความสามารถของคุณชาย ในเมืองเยี่ยเฉิงแห่งนี้ เกรงว่าคงมีสาวงามจำนวนนับไม่ถ้วนหมายปองคุณชายเป็นแน่แท้ เพราะฉะนั้น รูปโฉมของคุณชายจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังพูดด้วยสีหน้าจริงจัง หลินเป่ยเฉินก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงดีใจ “จริงหรือ? แล้วในบรรดาโฉมงามเหล่านั้น มีแม่นางชิงรวมอยู่ด้วยหรือไม่?”

“อ๊ะ คือว่า…”

ชิงเล่ยถอยหลังกลับไปด้วยความเขินอายอีกครั้ง “ข้าน้อย… ข้าน้อยเป็นเพียงสตรีธรรมดา มิใช่โฉมงามประจำเมืองอันใด ข้าน้อยหาได้คู่ควรกับคุณชายไม่”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาอีกครั้งและกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “ดูเอาเถอะ คิดอยู่แล้วเชียวว่าท่านเพียงปลอบใจข้าเฉย ๆ มันคงไม่ได้เป็นความจริงอยู่แล้ว”

“แต่ว่า… ข้าน้อย…”

หญิงสาวใบหน้ารูปไข่รู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนผ่าวราวกับมีเปลวไฟแผดเผา นางลดเสียงลงเป็นกระซิบ “หากว่าคุณชาย… ต้องการ… ต้องการ… ถ้าอย่างนั้น… ข้าน้อย… ก็ไม่…”

ชิงเล่ยเขินอายเกินกว่าจะพูดออกมาได้จบประโยค

หัวใจของหลินเป่ยเฉินแทบจะหลอมละลายอยู่ตรงนั้น

หากมีสาวสวยเช่นนี้มาพูดด้วยท่าทางที่เขินอายเช่นนี้ มีบุรุษผู้ใดบ้างจะสามารถต้านทานรับไหว?

เพียงแต่ว่าหลินเป่ยเฉินไม่ใช่บุรุษที่ลุ่มหลงในตัณหาราคะ

มิเช่นนั้น ชิงเล่ยจะรอดพ้นเงื้อมมือของเขาไปได้อย่างไร?

“จริงด้วยสิ ข้าได้ยินมาว่าบุตรสาวของท่านป่วยหรือ?”

หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว

เมื่อเอ่ยถึงบุตรสาว สีหน้าที่เขินอายของชิงเล่ยก็กลับกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง “ใช่แล้วเจ้าค่ะ นางป่วยเป็นโรคบุปผามรณะ ซึ่งเป็นโรคร้ายที่แพร่ระบาดในดินแดนทวยเทพ และยาที่ใช้ในการรักษาก็มีราคาแพงเหลือเกิน…”

บุปผามรณะคือชื่อโรคที่แพร่ระบาดอยู่ในดินแดนทวยเทพ ณ ขณะนี้

ว่ากันว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคบุปผามรณะ จะมีรอยช้ำลักษณะคล้ายกับกลีบดอกไม้ปรากฏขึ้นบนหน้าผากก่อนเป็นลำดับแรก และหากรอยช้ำรูปกลีบดอกไม้นี้กระจายไปทั่วร่างเมื่อใด นั่นก็หมายความว่าพลังวิญญาณของผู้ป่วยได้ถูกดูดซับไปหมดสิ้นและผู้ป่วยก็จะเสียชีวิตในที่สุด

หลินเป่ยเฉินเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคระบาดชนิดนี้มาแล้ว

มีข่าวลือว่ามันเป็นโรคระบาดที่ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน

เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา

สาเหตุของการเกิดโรคไม่มีผู้ใดรู้

ตลอดสิบปีที่ผ่านมา พลเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนต้องตายด้วยโรคระบาดชนิดนี้

เกิดข่าวลือว่าแม้แต่เทพเจ้าระดับสูงก็หนีโรคนี้ไม่พ้นเช่นกัน

จวบจนกระทั่งบัดนี้ มียาวิเศษเพียงตำรับเดียวนามว่า ‘โอสถหลิงหลงเจี๋ย’ จากวิหารเทพพงไพรเท่านั้นที่มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการ แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาผู้ป่วยให้หายขาดได้อยู่ดี

ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าตัวยาที่ใช้บรรเทาอาการโรคบุปผามรณะนั้นจะมีราคาแพงมากเพียงใด

นับว่าการที่ชิงเล่ยต้องหาเงินมารักษาบุตรสาว เป็นภาระที่หนักอึ้งมากทีเดียว

“เฮ้อ…”

หลินเป่ยเฉินได้แต่ถอนหายใจออกมา เพราะไม่รู้จะปลอบโยนชิงเล่ยอย่างไรดี

และกลับเป็นชิงเล่ยเองที่ทำลายความเงียบขึ้นมาว่า “จริงด้วยสิเจ้าคะ หากใบหน้าของคุณชายเสียโฉม ก็อย่าได้เป็นกังวลไป เพราะในดินแดนของเรา มียารักษาใบหน้าที่เสียโฉมด้วยนะเจ้าคะ”

ว่าไงนะ?

หลินเป่ยเฉินมองหน้าเจ้าหน้าที่สาวสวยด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่มียาสำหรับรักษาผู้คนที่เสียโฉมด้วยหรือ?”

ชิงเล่ยพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “เท่าที่ข้าน้อยรับทราบ ในกลุ่มเทพเจ้าเจ็ดค่ายใหญ่ ในวิหารเทพเจ้าไม้เขียวมียาวิเศษตำรับหนึ่งเรียกว่าโอสถหัวใจพฤกษา มันสามารถรักษาผู้คนที่มีใบหน้าเสียโฉมได้ราวกับปาฏิหาริย์ สำหรับผู้คนที่ได้รับประทานโอสถชนิดนี้ ใบหน้าของพวกเขาจะกลับมาสวยงามหล่อเหลาดังเดิม อีกทั้งยังมีความเยาว์วัยตลอดไปด้วยเจ้าค่ะ”

“จริงหรือ?”

หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น

หากเป็นเช่นนี้ เขาก็มีวิธีช่วยเหลือเยว่หงเซียงแล้ว

“จริงเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นอากัปกิริยาตื่นเต้นของหลินเป่ยเฉิน ชิงเล่ยก็ยิ่งปักใจเชื่อมากกว่าเดิมว่าใบหน้าของเขาที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากนั้นจะต้องเสียโฉมแน่ ๆ ดังนั้นหญิงสาวจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านผู้เฒ่าของหอการค้าคนแคระเทวะผู้หนึ่งเคยบอกข้าน้อยเอาไว้”

ท่านผู้เฒ่าคนนั้นได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลเทวะชื่อดัง ก่อนหน้านี้ ยามที่มาประจำการอยู่ในสถานีขนส่งแดน 4 ชายชราดูแลชิงเล่ยเป็นอย่างดีและนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ชิงเล่ยมีงานทำและสามารถหาเงินมาซื้อโอสถหลิงหลงเจี๋ยรักษาบุตรสาวต่อไปได้

แต่น่าเสียดายที่ท่านผู้เฒ่าถูกย้ายไปประจำการอยู่ที่อื่น เกอสือเหนียนจึงเข้ามารับตำแหน่งแทน และเขาก็เจตนากลั่นแกล้งนางทุกครั้งที่มีโอกาส

โอสถหัวใจพฤกษา?

หลินเป่ยเฉินรีบจดจำชื่อนี้เข้าใส่หัวสมอง

เขาถามออกมาอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าโอสถหัวใจพฤกษามีราคาแพงหรือไม่?”

ชิงเล่ยทำท่านึกทบทวนเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ดูเหมือนท่านผู้เฒ่าเคยกล่าวว่าวิหารไม้เขียวจะขายโอสถหัวใจพฤกษาอยู่ที่ราคาศิลาเทวะหนึ่งแสนก้อนนะเจ้าคะ”

หา?

หลินเป่ยเฉินตกตะลึงแทบกัดลิ้นตัวเองโดยไม่รู้ตัว

ศิลาเทวะหนึ่งแสนก้อน?

ถ้าเปลี่ยนเป็นคะแนนศรัทธาจะต้องใช้เท่าไหร่กันนะ?

หนึ่งพันล้านแต้ม?

แพงจริง ๆ ด้วย

เพียงคิดก็ท้อใจแล้ว

ในชีวิตทั้งสองชาติภพ หลินเป่ยเฉินยังไม่เคยมีทรัพย์สินมากมายถึงเพียงนั้นมาก่อน

เมื่อเด็กหนุ่มสำรวจดูคะแนนศรัทธาที่ตนเองมีอยู่ในตอนนี้

เขาก็พบว่าตนเองเป็นยาจกผู้หนึ่งจริง ๆ

วันนี้ หลินเป่ยเฉินล่าอสูรแลกเป็นคะแนนศรัทธามาได้เจ็ดแสนสี่หมื่นแต้ม เขาก็หลงเข้าใจคิดว่าตนเองเป็น ‘คนรวย’ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อจะนำไปซื้อโอสถจากวิหารเทพไม้เขียว กลับยังขาดแคลนจำนวนคะแนนศรัทธาอีกมากนัก

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลินเป่ยเฉินจะต้องซื้อหาโอสถหัวใจพฤกษามาให้ได้

เพราะเขาเคยสัญญากับเยว่หงเซียงเอาไว้

ในอดีต หากไม่ใช่เพราะว่าเยว่หงเซียงยอมเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือเขาในหุบเขาชายแดนเหนือ หลินเป่ยเฉินก็คงต้องตายด้วยน้ำมือของกลุ่มมือสังหารไปเรียบร้อยแล้ว

นี่เรียกว่ามีบุญคุณต้องทดแทน มีหนี้แค้นต้องชดใช้

ต่อให้ต้องใช้คะแนนศรัทธาถึงหนึ่งพันล้านแต้ม หลินเป่ยเฉินก็จะหามาให้ได้

สงสัยคงต้องเข้าไปล่าอสูรในหุบผาอเวจีอีกแล้วสิ

แต่พวกสัตว์อสูรในเขตแดนระดับ 4 มีราคาถูกมากเกินไป

หลินเป่ยเฉินจะต้องเข้าไปล่าอสูรในแดนที่ 5 หรืออาจจะถึงแดนที่ 6 ยิ่งพวกมันมีราคาสูงมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเก็บเงินได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น

ว่าแต่มีสัตว์อสูรชนิดใดบ้างนะที่ควรค่าต่อการล่า?

คัมภีร์คู่มือนักผจญภัยฉบับพื้นฐานก่อนหน้านี้ มีแต่ข้อมูลของสัตว์อสูรในเขตแดน 4 เท่านั้น

หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัย…

จังหวะนั้น เขาก็ได้ยินชิงเล่ยกล่าวออกมาพอดีว่า “คุณชายเจ้าคะ ด้านหน้าเราคือหอสุราเหมียวเหมียวหง่าว ซึ่งเป็นหอสุราชื่อดังที่ตั้งอยู่หน้าสถานีขนส่ง เพื่อเป็นการขอบคุณที่คุณชายช่วยเหลือข้าน้อยในวันนี้ ข้าน้อยอยากจะเลี้ยงอาหารคุณชายสักมื้อหนึ่งได้หรือไม่?”

“หา? หอสุราเหมียวเหมียวหง่าว?”

นี่มันชื่อบ้าอะไรกันเนี่ย

ใครเป็นคนคิดชื่อหอสุราแห่งนี้กันนะ?