“ไปตายซะ!”

หลัวซิวแทงหอกออกไป กฎความตายและกฎปริภูมิปะทุออกมาพร้อมกัน ทำให้ตราจักรวาลที่หลิงเฟิงปล่อยออกมาถูกโจมตีจนแตกกระจายสลายเป็นฝุ่นผง

ถัดจากนั้น ท่าทีที่ทรงพลังและเฉียบคมของแสงหอกยังไม่ลดหายไป เสียงพึบดังขึ้น กะโหลกของหลิงเฟิงก็ถูกทะลวงจนทะลุ หัวระเบิดแตกออกเป็นหมอกเลือด

ขอเพียงผลการฝึกตนยังไม่บรรลุถึงแดนเทพมาร ศีรษะก็ยังคงเป็นจุดสำคัญของนักยุทธ์อยู่เช่นเคย ทันทีที่ศีรษะถูกโจมตีจนแตกสลาย ห้วงจักรหยั่งรู้ก็จะแตกสลายไปเช่นกัน วิญญาณตั้งเดิมดับสูญ ชีวิตก็จะถูกตัดขาด

รังสีของระฆังอลวนที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วหม่นหมองลงไปในพริบตา แต่ทว่าเนื่องจากการสูญสิ้นของเจ้าของ ทำให้ไม่มีผู้ใดควบคุม มันจึงลอยอยู่กลางอากาศ ชี่อลวนลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบระฆัง

“บังอาจมีความคิดที่จะฆ่าข้า ถึงตายก็ยังไม่สาสมแก่บาปกรรม!”

หอกรบที่อยู่ในมือหลัวซิวสั่นทีเดียว ก็ทำให้ซากศพของหลิงเฟิงสะเทือนจนกลายเป็นฝุ่นผง ยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่ง เก็บแหวนเก็บของรวมไปถึงระฆังอลวนของหลิงเฟิงเข้ามาในกระเป๋า

มาตรแม้นว่าหลิงเฟิงจะเป็นฝ่ายที่จู่โจมเขาก่อน แต่ถึงอย่างไรทุกอย่างที่เขากระทำล้วนเป็นการฆ่าศิษย์สำนักเดียวกัน ระฆังอลวนลูกนี้เป็นสมบัติที่มีลับลมคมในอย่างแน่นอน

เขานำระฆังอลวนออกมา ก่อนจะพบว่าระฆังเซียนลูกนี้หลอมมาจากหินตรีภพทั้งหมดเลย

หลัวซิวเคยพบเห็นหินตรีภพตอนที่อยู่ในโลกแสงดาว แดนและผลการฝึกตนในตอนนั้นของเขาค่อนข้างต่ำ เมื่อดูดซับชี่อลวนที่แฝงซ่อนอยู่ในหินตรีภพแล้ว ทำให้ผลการฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย

แม้จะตามหาหินตรีภพในพิภพต่ำได้เช่นกัน แต่มันกลับเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามาก ๆ มีเพียงครอบครองสมบัติที่เป็นจุดกำเนิดชี่อลวน ถึงจะสามารถตามหาหินตรีภพพบ

เห็นเพียงมีอัคคีเทพชิงเทียนลุกโชนออกมาตรงกลางฝ่ามือหลัวซิว ก่อนที่เขาจะทำลายตราทั้งหมดที่อยู่ในระฆังอลวนลูกนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว คืนสภาพสู่วัตถุดิบดั้งเดิมของหินตรีภพ

เขาไม่ได้หยุดอยู่ที่เดิม เสี้ยววินาทีที่เงาร่างกระพริบระยิบระยับ ร่างเขาก็หายวับไปจากที่เดิมแล้ว มุ่งหน้าไล่ตามไปยังทิศทางที่ยักษ์แก้วเทวหายไป

จากการเสียเวลาอยู่กับการปรากฏตัวของหลิงเฟิง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายักษ์แก้วเทวเดินไปถึงที่ใดแล้ว แต่ทว่าทุกที่ที่ยักษ์ตัวนี้เคลื่อนผ่านจะมีคนตายมากมาย จึงตามหาร่องรอยของมันไม่ยากนัก

ผ่านไปไม่นานนัก จู่ ๆ หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงคลื่นกฎที่มากมายมหาศาลแผ่กระจายมาจากข้างหน้า เสียงคำรามของยักษ์แก้วเทวดังขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน คลื่นเสียงสั่นสะเทือนจนทำให้ภูเขาทั้งหลายถล่ม

“ถูกผู้อื่นชิงลงมือก่อนแล้วหรือ?”

ผังสมันตภัทรที่ซ่อนอยู่ในจุดตันเถียนของหลัวซิวสั่นไหว แสงค่ายแต่ละดวงบินลอยออกไป ผสมผสานกันเป็นลายค่าย ประกอบเป็นค่ายซ่อนงำ เก็บซ่อนเงาร่างและออร่าของเขา

เขาเดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะพบว่ามีผู้แข็งแกร่งห้าคนกำลังรุมโจมตียักษ์แก้วเทวอยู่

ทั้งห้าคนนั้นล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารรุ่นผู้อาวุโส แม้ผลการฝึกตนจะถูกกดอัดอยู่ที่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ทั้งหมด แต่ทว่าศักยภาพของพวกเขาก็ยังน่ากลัวอยู่เช่นเคย

ทั้งห้าคนนั้นล้วนมีอัญมณีแห่งเทพมารอยู่ในมือ ภายใต้การร่วมแรงกันรุมโจมตี ยักษ์แก้วเทวตัวนี้ก็ถูกยับยั้งแล้ว ทำให้ยักษ์ตัวนั้นคำรามเสียงดังอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ทว่ามันกลับไม่สามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้

“คนจากสำนักเซียนไร้เจตสิก?”

สายตาของหลัวซิวสังเกตเห็นป้ายบัญชาการที่แขวนอยู่บริเวณเอวของผู้แข็งแกร่งทั้งห้าคนนั้น รูปแบบของป้ายบัญชาการเหมือนของสำนักเซียนไร้เจตสิกทุกประการ

สำหรับสำนักเซียนไร้เจตสิกนั้น หลัวซิวมองพวกเขาเป็นศัตรูจากใจเลย เนื่องจากการล่มสลายของสำนักเทียนช่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักเซียนไร้เจตสิก อีกทั้งครั้นนั้นเทพมารสามคนในสำนักเซียนไร้เจตสิกก็เคยมุ่งหน้าไปยังเขามังกรเพื่อจะสังหารเสี่ยวเจียงหมิงด้วย

หากไม่ใช่เพราะเขาไปได้ทันท่วงที คาดว่าชีวิตของเสี่ยวเจียงหมิงคงได้จบอยู่ในกำมือของเทพมารสำนักเซียนไร้เจตสิกแล้ว

เทพมารก็มีการแบ่งระดับสูงต่ำเช่นกัน หลัวซิวพบว่าในบรรดาผู้แข็งแกร่งทั้งห้าคนนี้ ศักยภาพของชายชราผู้หนึ่งแข็งแกร่งมากที่สุด เขาเริ่มหยิบผังค่ายออกมาหนึ่งม้วน เสกอัคคีเทพที่ไม่มีวันมอดไหม้ขึ้นมากักขังยักษ์แก้วเทวไว้

“ทุกท่านเร่งมือหน่อย ขอเพียงฆ่ายักษ์แก้วเทวตัวนี้ให้ตาย แก้วเทวที่อยู่บนตัวมันก็เพียงพอที่จะทำให้เราร่ำรวยแล้ว!”