ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 990 แม่น้ำเหลืองเก้าโค้ง อุทกท่วมเจ็ดทัพ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

แม่น้ำเหลืองเก้าโค้งในตำนาน ด้านในสะกดสามไตรภาค กอปรด้วยความน่าอัศจรรย์ของฟ้าดิน

ด้านในยังมีโอสถลวงเซียนและคาถากักขังเซียน ทำให้เซียนเสียสติ พรากวิญญาณของเซียน ทำลายจุดกำเนิดของเทพเซียน รวมถึงสร้างความเสียหายต่อร่างของเทพเซียน

ในเก้าโค้งไร้เส้นตรง บิดงอความน่าอัศจรรย์แห่งธรรมชาติ เปิดเผยความลับของเทพเซียน

พวกชิงซู่จื่อกับจางซู่เหรินต่างมีความรู้ไม่ธรรมดา ในตอนนี้ได้ประสบกับความร้ายกาจของค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งนี้ด้วยตัวเอง ก็ทราบอย่างถ่องแท้ว่าค่ายกลที่อยู่ตรงหน้านี้ ไม่ใช่เยี่ยนจ้าวเกอสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญ

เทียบกับอานุภาพของ ‘เทพเซียนเข้าไปด้านในกลายเป็นคนธรรมดา คนธรรมดาเข้าไปด้านในก็ดับสูญ’ ในตำนานแล้ว ย่อมพูดได้ว่ามีดีแค่ชื่อเท่านั้น

แต่ว่าพวกเขากลับไม่มีใครที่ได้ผลักเปิดประตูเซียน

ยามนี้ติดอยู่ในค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้ง เป็นสถานการณ์ตายเก้ารอดหนึ่งโดยแท้

แค่ถูกลมโรคาและหมอกสีดำนั้นพัดใส่ วิญญาณก็ถูกการกดกร่อน เกิดความรู้สึกวิงเวียนอย่างไม่อาจควบคุม

จุดลมปราณที่เหมือนกับดวงดาวที่แท้จริงทั่วร่างถึงกับเกิดการอุดตัน

จอมยุทธ์จากขั้นเทวะสำแดงปีนขึ้นสะพานเซียน ย่างเก้าแรกคือการทำให้จุดลมปราณซึ่งได้เห็นเทวะสำแดงทำงาน มีเส้นทางการโคจรและมีแบบแผนการเคลื่อนไหวเหมือนกับดวงดาวบนฟากฟ้า

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด ขั้นสะพานเซียนระยะต้นคิดจะเลื่อนเป็นระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด ขั้นสะพานเซียนระยะกลาง จะต้องทำให้จุดลมปราณในร่างดับลงเหมือนกับดวงดาวที่สิ้นสลายตามธรรมชาติให้ได้

เหมือนกับที่คนมีอายุขัย ดวงดาวก็มีอายุขัยเหมือนกัน เพียงแต่ยาวนานถึงขีดสุด ทว่าอย่างไรเสียดวงดาวก็ดับสิ้นได้เหมือนกัน

จอมยุทธ์จะหลอมจักรวาลในร่างให้ประสานเสียงกับจักรวาลที่แท้จริงนอกโลก จำเป็นต้องก้าวเท้าก้าวนี้ก่อน

จุดลมปราณจะดับสลายไปเองในตอนที่ฝึกฝน แต่ไม่ทำให้พลังของจอมยุทธ์ถอยกลับหลัง

ปริมาณบางทีอาจมีน้อย แต่คุณภาพกลับก้าวสู่ขั้นบันไดขั้นใหม่

การกำเนิดกับการดับสิ้น เป็นหัวข้อหลักที่ดำรงอยู่ตลอดกาล

จากเกิดเป็นสิ้นสุด จากนั้นก็เกิดการสร้างใหม่ วนเวียนกันเช่นนี้ ซ้ำไปซ้ำมา สอดคล้องกับมหามรรคา

สัญลักษณ์การเลื่อนจากจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ก็คือจะมีจุดลมปราณใหม่ที่เหมือนกับดวงดาวเกิดใหม่ถูกหลอมเปลี่ยนขึ้นมาเองในร่างของจอมยุทธ์

พอมาถึงตอนนี้ พลังฝึกปรือของจอมยุทธ์จะเพิ่มขึ้นอีกขั้น ก้าวสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ขั้นสะพานเซียนระยะท้าย

การเกิดและการดับสูญสลับกันไม่หยุดยั้ง อีกทั้งแบบแผนการทำงานยังมั่นคงสมบูรณ์แบบ จักรวาลในร่างของจอมยุทธ์จะใกล้เคียงกับจักรวาลที่แท้จริงมากขึ้น

ในกระบวนการนี้ ความเข้าใจที่จอมยุทธ์มีต่อหลักการของฟ้าดินและสภาพร่างกายของตัวเอง จะยิ่งถ่องแท้และล้ำลึกมากขึ้น

จนกระทั่งถึงตอนสุดท้าย พอจุดลมปราณทั่วร่างล้วนถูกหลอมเป็นเทวะราวกับเป็นดวงดาว จักรวาลในร่างประสานเสียงกับจักรวาลที่แท้จริง ก็จะมีโอกาสสำเร็จเป็นร่างของมนุษย์เซียน ก้าวสู่ระดับประมุข

เพียงแต่ว่าคิดจะทำให้ได้ถึงขั้นนี้ ถือเป็นความยากเย็นอย่างยิ่ง

จอมยุทธ์ส่วนใหญ่ขนาดใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไปไม่ถึง

แต่ว่าคนที่อยู่รอบๆ ไม่ใช่ไม่มีความหวังโดยสิ้นเชิง

โดยเฉพาะชิงซู่จื่อและหยวนเสี่ยนเฉิง ยิ่งมีความหวังค่อนข้างมาก

ทว่าในตอนนี้ พวกเขาต่างรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าพอได้รับผลกระทบจากค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้ง ด้านในร่างกายของพวกเขาถึงกับเปลี่ยนเป็นปั่นป่วนขึ้นมา

ภายใต้ลมโรคาที่พัดโชย และหมอกสีดำที่กัดกร่อน ชิงซู่จื่อ เผิงเฮ่อ และจางซู่เหริน ยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ต่างรู้สึกได้รางๆ ว่าตนเหมือนกับไม่อาจทำให้จุดลมปราณคืนชีพได้อีก

จุดลมปราณที่ดับสิ้นเมื่อไม่คืนชีพขึ้นอีก ก็เหมือนกับพลังฝึกปรือของพวกเขาลดลงไปอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด

หยวนเสี่ยนเฉิงกับนักพรตเชียนหลานที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดรู้สึกว่า จุดลมปราณที่ได้เห็นเทวะสำแดงของพวกเขา แม้จะยังคงโคจรอยู่ แต่ก็เปลี่ยนเป็นเชื่องช้าและอืดอาด

จุดลมปราณเมื่อไม่อาจเปลี่ยนจากเกิดเป็นดับสูญได้เหมือนกับดวงดาวที่แท้จริง ย่อมสูญเสียลักษณะเด่นส่วนหนึ่งของดวงดาวไป เหมือนกับพลังฝึกปรือตกลงสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด

สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนกก็คือ เรื่องราวไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้

พร้อมกับที่เวลาผ่านพ้นไป ทุกสิ่งทุกอย่างนี้คล้ายกับกำลังเพิ่มความรุนแรงขึ้น!

“ตอนนี้เพียงแต่ได้รับการกัดกร่อนจากหมอกทมิฬลมโรคา พลังฝึกปรือของพวกเราจึงถูกสะกดไว้ชั่วคราว!” จางซู่เหรินกล่าวเสียงทุ้ม “ถ้าหากสลบไป รากฐานจะได้รับความเสียหาย ระดับตกลง การฝึกปรือทั้งชีวิตสูญสลาย!”

ชิงซู่จื่อแค่นเสียงอย่างเย็นชา “เราอยู่ในนี้มานานแล้ว จุดจบล้วนเหมือนกัน ต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด!”

พร้อมกับที่กล่าว เขาสะบัดแขนเสื้อ เคลื่อนย้ายมิติ ขับไล่ลมโรคาและหมอกดำเบื้องหน้า

แต่ว่าเวลากับมิติด้านในค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งได้รับผลกระทบจากค่ายกล ทุกสิ่งเดิมทีบิดเบี้ยวอยู่แล้ว แม้ว่าชิงซู่จื่อจะมีพลังล้ำเลิศ ก็ยากจะพุ่งออกไป

พวกเผิงเอ่อไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย รีบร้อนใช้ทุกสิ่งที่มี

เรือนภาร่อนวายุลอยต้านลม แหวกกระแสคลื่น หมายทะลวงออกจากการปิดล้อมของแม่น้ำสีเหลืองเข้ม

ทว่าภายใต้คลื่นลูกแล้วลูกเล่าที่เหมือนกับคลื่นยักษ์ ก็ถูกกระแทกจนโงนเงียน ได้แต่ฝืนคงสภาพไม่ให้เรือคว่ำ

ทุกคนกวาดสายตามองไป ทั่วบริเวณยังคงเป็นสีดำ ไม่เห็นฟ้าเห็นอาทิตย์ ไม่อาจแยกแยะทิศทาง

พวกเขารุ่มร้อนเหมือนจิตใจโดนแผดเผา แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอพอได้เปรียบแล้ว ก็ยืมพลังของแม่น้ำยุคสมัย ค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งปกคลุมเขารอบวง

มองจากภายนอก เขารอบวงถูกแม่น้ำสีเหลืองเข้มท่วมจนมิด

หากมองจากที่สูง จะเห็นแม่น้ำสีเหลืองเข้มที่คดเคี้ยวเป็นเก้าโค้ง เต็มไปด้วยความลี้ลับของการสรรสร้าง

ด้านบนผิวแม่น้ำปกคลุมด้วยลมอันน่ากลัวและหมอกอันน่าสะพรึง ทำให้คนเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง

มิติทับซ้อนกันหนาหนัก พื้นที่ด้านในค่ายกลยังกว้างใหญ่กว่าเดิม เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าพวกเผิงเฮ่อจะไปทางไหน สุดท้ายก็ไม่อาจหนีออกไป

“พวกเราไม่เชี่ยวชาญการเปลี่ยนแปลงของค่ายกล หากทะลวงต่อไปเช่นนี้จะเสียแรงเสียเปล่า เวลามีไม่พอแล้ว” ชิงซู่จื่อยังคงเยือกเย็น

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็ถูกหมอกทมิฬลมโราคาพัดใส่จนปวดศีรษะ ได้แต่กล้ำกลืนรวบรวมสมาธิ “ค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งนี้ เป็นความสามารถของเทพเซียนในตำนาน คนธรรมดาไม่มีทางกางขึ้นมาได้เด็ดขาด”

“โจรน้อยแซ่เยี่ยนผู้นั้นแม้จะมีพลังโดดเด่น ระดับความสามารถด้านค่ายกลสูงล้ำ แต่ว่าความแตกต่างระหว่างระดับพลังฝึกปรือก็มีให้เห็นชัดเจน”

“คิดจะผลักดันค่ายกลที่อันตรายสุดประมาณเช่นนี้ เขาเองก็ต้องทุ่มเทจิตใจและกำลังอย่างเต็มที่ถึงจะถูก ในตอนนี้ตัวเขาเองก็ทำอะไรคนอื่นไม่ได้เช่นกัน!”

ฟังชิงซู่จื่อพูดถึงตรงนี้ พวกเผิงเฮ่อก็เข้าใจขึ้นมา

“มัวแต่วนไปวนมาอยู่ในค่ายกลเช่นนี้ก็เข้าแผนของโจรน้อยนั่นพอดี” เผิงเฮ่อกล่าวด้วยเสียงรีบร้อน “จำเป็นต้องทำตรงกันข้ามกับหลักเหตุผล จู่โจมจุดอ่อน จึงค่อยทำลายค่ายกลได้”

จางซู่เหรินตอนนี้กลายร่างเป็นต้นจักรพรรดิหยั่งรากบนเรือ ป้องกันการกัดกร่อนจากลมโรคาและหมอกดำ ครั้งนี้กล่าวต่ออีกว่า “เมื่อเป็นค่ายกลย่อมมีใจกลางค่ายกล โจรน้อยแซ่เยี่ยนนั่นตอนนี้จะต้องอยู่ที่ใจกลางค่ายกลแน่ พวกเรามุ่งหน้าไปที่ส่วนที่อันตรายที่สุดของค่ายกลดีกว่า”

“ไม่เข้าถ้ำเสือแล้วจะเอาลูกเสือมาได้อย่างไร”

เผิงเฮ่อมอบสิทธิ์ควบคุมเรือนภาร่อนวายุให้แก่จางซู่เหริน ฝ่ายจางซู่เหรินอาศัยทักษะด้านค่ายกลของตัวเอง ฝืนศึกษาการเปลี่ยนแปลงของค่ายกล พากลุ่มคนแล่นเข้าไปยังจุดที่อันตรายที่สุดของค่ายกล

‘เร่ง!’ ขณะที่ทุกคนอดทนต่อผลกระทบที่ค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งนำมา ทางหนึ่งมุ่งหน้า ทางหนึ่งเผิงเฮ่อก็ใช้สองมือฟันด้านหน้าพร้อมกันประดุจดาบ

หงส์เพลิงที่มีสีสันต่างจากปกติตัวหนึ่งบินออกมา มันมีสีน้ำเงินเข้ม ดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็ฝ่าทางข้างหน้าไปก่อน

ชิงซู่จื่อใช้วรยุทธ์แขนเสื้อเหินอนัตตาซึ่งเป็นการสืบทอดของยอดเขาอนัตตา เปลี่ยนอ่อนโยนเป็นแข็งแกร่ง สะบัดแขนเสื้อออกดุจศาสตราวุธ เปิดจุดลมปราณทั่วร่าง ฟันทำลายมิติ

นักพรตเชียนหลานกับหยวนเสี่ยนเฉิงโดยสารอยู่บนดาดฟ้าเรือนภาร่อนวายุ ทรุดนั่งขัดสมาธิ สงบสติอารมณ์

เวลาผ่านไปจนมาถึงตอนนี้ ยอดฝีมือที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดที่ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดกำลังจะผืนต่อไปไม่ไหว ได้แต่สงบนิ่งเหมือนกับนกกระทาตัวหนึ่ง

จิตใจของคนทั้งสองในตอนนี้ไม่ได้มีความคับข้อง กลับเต็มไปด้วยความกังวล

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาต้องเดินซ้ำรอยคนอื่นๆ

แม้แต่แรงกดดันของชิงซู่จื่อ เผิงเฮ่อ และจางซู่เหริน ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าสามคนก็ยิ่งมายิ่งมากแล้ว!