ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 37 เป้าหมายของการสังหารครั้งแรก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

รอบด้านของสุสานเทียนซูมีแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลเชี่ยว ราวกับคูเมืองที่อยู่ด้านนอกเมืองลั่วหยางก็มิปาน

พื้นที่ราบผืนนั้นระหว่างทั้งสองฝ่าย ที่จริงแล้วคือสะพานที่อยู่บนแม่น้ำ เพียงแต่เนื่องจากพื้นที่สะพานกว้างมาก อีกทั้งยังหนามาก จึงยากที่จะมองออกได้

ตั้งแต่อดีตก็มีข้อต้องห้ามข้อนี้แล้ว ทำให้รอบด้านของสุสานเทียนซูไม่สามารถบินข้ามผ่านได้

หวังผ้อยืนอยู่ที่นี่ ดูแล้วให้ความรู้สึกราวกับแม้นมีเขาผู้เดียวอยู่ที่นี่ คนนับหมื่นก็ผ่านไปไม่ได้

คำถามก็คือ ตอนนี้มีผู้แข็งแกร่งทางทหารมากมาย นักฆ่าจากหอความลับสวรรค์ และนักพรตอารามฉางชุนเข้าไปด้านในสุสานเทียนซูแล้ว

เขายังต้องยืนอยู่ที่นี่ทำไมกัน

หวังผ้อเอ่ย “หากพวกเขาตกลงกันไม่ได้ ข้าก็จะลงมือ”

และใช่ นี่ก็คือคำตอบ

เขายืนอยู่ที่นี่ มิใช่เพื่อปกป้องสุสานเทียนซู แต่เป็นการเตรียมพร้อมที่จะโจมตีอีกฝ่ายตลอดเวลา

เมื่อได้ฟังคำนี้ บรรดาท่านอ๋องเหล่านั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แววตาของจงซานอ๋องกลับดูมืดครึ้มลงยิ่งกว่าเดิม

เซี่ยงอ๋องทำหน้าขมขื่นก่อนเอ่ย “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์หากประสงค์จะแก้แค้นแทนเสด็จแม่ ท่านก็จะคลั่งไปกับนางด้วยหรือ”

หวังผ้อสีหน้าประหลาด คาดไม่ถึงว่าเขายังเรียกขานจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ว่าเสด็จแม่ด้วย

เซี่ยงอ๋องรู้ว่าเขาคิดอันใด เอ่ยขึ้น “ข้ามิใช่บุตรที่เสด็จแม่ให้กำเนิด แต่อย่างไรเสียก็เป็นบุตรชายของนาง ในปีนั้นได้ติดตามอาจารย์เข้ามายังเมืองหลวง ก็รู้สึกว่าตัวนางเองได้ทำผิด แต่ไม่ใช่ตัวข้าเองที่มีใจคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อนาง ก็เหมือนกับในปีนั้นที่ข้าได้รับปากจูลั่วไว้ว่าจะไม่สามารถให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่เจ้ามองข้าในหลายปีนี้ว่าเคยทำอะไรเจ้าหรือไม่ ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเพียง ‘ภาพรวม’ สองคำนี้เท่านั้น”

คำกล่าวเหล่านี้ที่เขากล่าวช่างจริงใจเหลือเกิน แม้แต่เราบรรดาพี่น้องที่ล้วนรู้ตื้นลึกหนาบางของเขาดีก็เกือบจะเชื่อแล้ว

หวังผ้อหัวเราะออกมา ไม่ได้เอ่ยคำใด

เมื่อเห็น ปฏิกิริยาเยี่ยงนี้ของเขา ท่านอ๋องผู้หนึ่งก็อดไม่ไหว ผรุสวาทออกมาว่า “ลำพองใจอันใดกัน ในวันนี้ก็จะต้องเป็นเจ้าที่ต้องตายอยู่ที่นี่นั่นแหละ”

ได้มีการรวมตัวกองทหารราชสำนักมากมายเอาไว้ที่นี่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีผู้แข็งแกร่งมือดีมากมายอย่างนี้ ยิ่งรวมเซี่ยงอ๋องที่มีขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์เท่าเทียมกัน หากว่ากันตามหลักการแล้วเพียงพอจะสามารถสังหารหวังผ้อได้

คำถามก็คือสงครามนั้นแต่ไหนแต่ไรก็คือการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนที่สุด ต่อให้เป็นการทำสงครามกับคนเพียงคนเดียวก็ไม่ง่ายเลย

ไม่ต้องพูดถึงว่ารูปแบบโดยละเอียดของสงครามสามารถเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างมากได้ ตอนนี้แม้แต่ว่าจะเริ่มต้นเปิดฉากสงครามรบเมื่อไหร่ก็ล้วนไม่แน่ใจ

เซี่ยงอ๋องเอ่ย “เจ้าน่าจะทราบดีว่าในวันนี้คงไม่มีทางสู้กันได้แล้วแหละ เหตุใดจึงต้องวางท่าอย่างนี้ด้วย”

คำพูดนี้ค่อนข้างแปลกประหลาดยิ่งนัก แต่หวังผ้อฟังเข้าใจแล้ว เอ่ยอย่างกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “อย่างนั้นท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใด”

เซี่ยงอ๋องถอนหายใจเสียที ก่อนเอ่ย “อย่างไรเสียก็ต้องแสดงน้ำใจ”

หวังผ้อเอ่ย “อะไรใจนะ”

“แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะความทะเยอทะยานที่อยู่ในจิตใจ”

เซี่ยงอ๋องหัวเราะพลางเอ่ย “ท่านนักพรต หากว่าไม่สงสัยฝ่าบาท เรื่องอันใดย่อมไม่เกิด แน่นอนว่าไม่มีเรื่องอันใดของพวกเรา หากเกิดความสงสัย ข้าก็ต้องทำเตรียมการอะไรเสียหน่อย”

หวังผ้อเอ่ย “ท่านอ๋องช่างตรงไปตรงมาและจริงใจ”

ในขณะที่เซี่ยงอ๋องเตรียมที่จะพูดเรื่องอะไรต่อสักหน่อย ด้านในสุสานเทียนซูทันใดนั้นก็เกิดเสียงกระบี่ที่คมชัดดังขึ้นถึงสิบเสียง

ทุกคนล้วนมองไป สีหน้าเคร่งขรึม

เหมือนที่เซี่ยงอ๋องกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ สถานการณ์ตอนนี้ดูเหมือนน่าประหวั่น ทว่าแตกต่างจากเมื่อสามปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งสองฝ่ายไม่แน่ว่าจะเปิดฉากรบ

หากเป็นเช่นนี้จริงๆ แล้วเสียงกระบี่เหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะผู้ใด

……

……

ซางสิงโจวยืนอยู่บนถนนเสิน

สวีโหย่วหรงยืนอยู่บนจุดที่สูงกว่า

ซางสิงโจวดำเนินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

แน่นอนว่าค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีเกิดปฏิกิริยาทันที พวกมันขับเคลื่อนอย่างไร้เสียงทันที

ระหว่างฟ้าดินเกิดเส้นแสงนับไม่ถ้วน วาดเกิดวงโคจรอันลึกลับและมหัศจรรย์อย่างยากจะบรรยายได้นับไม่ถ้วนขึ้นมา

เสียงกระบี่มากกว่าสิบเล่มดังขึ้น

เสียงกระบี่เหล่านี้ไม่ได้มาจากการเสียดสีระหว่างตัวกระบี่และอากาศ แต่มาจากการบีบอัดและปลดปล่อยระหว่างเจตนากระบี่กับอากาศ

นุ่มนวล และทั้งยังลึกซึ้ง

ก็ราวกับแม่น้ำสายเล็กที่ใสบริสุทธิ์ไหลลงมาจากหน้าผา เข้าสู่ลำน้ำแสนลึกระหว่างซอกเขา

กระบี่หลายสิบเล่มลอยเป็นเกลียวรอบกายซางสิงโจวไม่ไปไหน

ซางสิงโจวยื่นนิ้วออกไป ปลายนิ้วเขาส่งประกายแสงนุ่มนวลกลุ่มหนึ่งออกไป

เหล็กกล้าหลอมนานร้อยปี พลันอ่อนละมุนวนรอบดรรชนี

กระบี่กว่าร้อยเล่มจากรูปร่างตรงแน่วก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเส้นโค้งที่โก่งงอ แต่ยังคงไม่กระจายตัวไป เพียงแต่ปรากฏช่องว่างเล็กๆ ออกมา

เท้าซ้ายของซางสิงโจวเหยียบลง

เสียงกระบี่หายไป แสงกระบี่หยุดลง

ลมฤดูใบไม้ผลิพัดเอาฝุ่นละอองที่อยู่บนถนนเสินลอยตลบ

ราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องอันใดขึ้นเลย

แต่ซางสิงโจวได้ก้าวขึ้นบันไดศิลาไปหนึ่งขั้นแล้ว

เขาก้มศีรษะลงมองชุดนัดพรตของตน

ด้านล่างชุดนักพรตเกิดร่องรอยฉีกขาดขึ้นมาหนึ่งจุด

พลังอำนาจของค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี ค่อนข้างจะเกินกว่าการคาดคะเนของเขาไปมาก

สวีโหย่วหรงเองก็แปลกใจ หากทุกอย่างเป็นไปตามการคาดคะเนของนาง ร่องรอยนั้นน่าจะลึกยิ่งกว่านั้นสักหน่อย

แรกเริ่มที่ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีนั้นเริ่มลงมือ แม้แต่มุมชุดนักพรตด้านเดียวของเขาก็ไม่สามารถตัดขาดได้หรือ

สงครามไม่ได้เริ่มต้นจากเหตุนี้ นี่เป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น

ผลการประลองสุดท้ายยังทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างล้วนไม่พอใจ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงละทิ้งความคิดที่จะลงมือออกไปตรงๆ

ซางสิงโจวเอ่ย “ข้าสงสัยยิ่งนัก เจ้าโน้มน้าวหวังผ้อได้อย่างไร”

สวีโหย่วหรงเอ่ย “ข้ารับประกันกับเขาว่า วิธีการของข้าจะมีคนตายน้อยที่สุด เขารับประกันกับข้าว่า ไม่ว่าวันนี้ข้าทำอะไรลงไป เขาล้วนจะสนับสนุนข้า”

ซางสิงโจวเอ่ย “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจในวิถีกระบี่ของเขามาก”

สวีโหย่วหรงเอ่ย “ข้าเข้าใจคนผู้นั้นมากกว่า”

คนผู้นั้นแน่นอนว่าต้องหมายถึงเฉินฉางเซิง

เขามองหวังผ้อเป็นแบบอย่าง ต่อให้เรียนเคล็ดวิชาดาบสองท่อน ก็ยังคงทำการณ์ใด หรือ ดำเนินชีวิตวิธีการตามรูปแบบของหวังผ้อ

สวีโหย่วหรงเข้าใจในตัวเฉินฉางเซิง แน่นอนว่าก็ต้องเข้าใจว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้รับความเชื่อมั่นจากคนอย่างหวังผ้อผู้นี้

ซางสิงโจวเอ่ยเสียงสงบนิ่งว่า “เจ้ารู้สึกว่าตัวเองนั้นเข้าใจข้ามากหรือ”

สวีโหย่วหรงเอ่ย “สามปีมานี้ข้าเอาแต่ทดลองที่จะเข้าใจในตัวท่านมาโดยตลอด”

ซางสิงโจว ชยอมรับว่าสิ่งที่นางเตรียมการมานั้นทำได้เป็นอย่างดี

สถานการณ์เยี่ยงในวันนี้ บางทีวิธีการข่มขู่ของนาง หากเอาไปใช้กับบุคคลอื่นอาจจะไม่สำเร็จ แต่กับเขามันได้ผลแล้ว

นางรู้ดีว่าสิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุดคืออะไร ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ นางมีความสามารถในการทำลายสิ่งเหล่านั้น

ซางสิงโจวเอ่ยว่า “อย่างมากที่สุดเจ้าก็ทำได้เพียงกักขังข้าไว้ ณ ที่แห่งนี้ครึ่งชั่วยาม”

เขาเดินขึ้นไปบนบันไดศิลาอีกหนึ่งขั้น จึงได้บทสรุปอย่างนี้

สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ครึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้ว”

ซางสิงโจวส่ายหน้าก่อนเอ่ย “ที่นี่คือเมืองหลวงมิใช่เมืองเวิ่นสุ่ย”

ที่กำลังกล่าวถึงนี้หมายถึงเรื่องราวเหล่านั้นที่เคยเกิดขึ้นในบ้านตระกูลถังเมื่อหลายเดือนก่อน…ถังซานสือลิ่วใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็สามารถแก้ไขหลักฐานโทษของท่านปู่รองตระกูลถังได้ แก้ไขปัญหาอำนาจที่เป็นบ้านรองตระกูลถังทั้งหมด เนื่องจากภายใต้การตอบรับอย่างเงียบๆ ของท่านปู่ตระกูลถัง อำนาจระหว่างทั้งสองฝั่งแตกต่างกันมากเกินไป แทบจะไม่สามารถต่อกรกันได้เลย

แต่ที่นี่คือเมืองหลวง พลังอำนาจด้านราชสำนักยังคงได้เปรียบ ทั้งสองฝั่งหากผิดใจขึ้นมาแล้ว ต้องนำมาซึ่งสงครามที่แท้จริงแน่นอน

สวีโหย่วหรงเอ่ย “ข้าได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว”

ซางสิงโจวยกยิ้มก่อนถาม “สงครามนี้ท่านเตรียมตัวจะสู้อย่างไร”

สวีโหย่วหรงเอ่ย “ก่อนอื่น ข้าจะสังหาร เฉินหลิวอ๋องเสีย”

นี่เป็นคำตอบที่เกินความคาดหมายของเขานัก

นางไม่ได้เลือกที่จะควบคุมพระราชวังหลวง แล้วก็ไม่ได้เลือกที่จะโจมตีราชสำนัก แต่กลับเลือกวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด…สังหารคน

และที่นางต้องการสังหารก็มิใช่เซี่ยงอ๋องที่อยู่ด้านนอกสุสานเทียนซูในเวลานี้ ไม่ใช่จงซานอ๋องที่มีบารมีสูงสุดในกองทหาร ไม่ใช่ขุนพลเทพที่มีอำนาจที่แท้จริงเอาไว้ในมือเหล่านั้น แต่เป็น เฉินหลิวอ๋อง

เฉินหลิวอ๋อง ถึงแม้ว่าจะมีชื่อเสียงไม่อ่อนแอ แต่ความสามารถขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้โดดเด่น และอำนาจและอิทธิพลก็ไม่ได้หนักแน่นที่สุด

สวีโหย่วหรงเหตุใดจึงได้เลือกเขากัน

แล้วเหตุใดหลังจากที่ซางสิงโจว ได้ยินถึงการตัดสินใจของนานแล้วสีหน้าแววตาถึงได้ดูมืดครึ้มลงหลายส่วน