ซางสิงโจวเอ่ยถาม “เหตุใดจึงเป็นเขา”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “เนื่องจากเขามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้ปกครองคนใหม่”
สงครามครั้งนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่างนางกับอวี๋เหริน หากสุดท้ายแล้วผู้ที่ได้รับชัยชนะคือฝั่งของซางสิงโจว ตำแหน่งฮ่องเต้จักต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน
เฉินหลิวอ๋องก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ทั้งยังเป็นคนที่ซางสิงโจวเลือกเฟ้นไว้แล้วอย่างดี
ซางสิงโจวไม่ได้ปฏิเสธ เขาเอ่ยตอบอย่างสงบนิ่ง “ไม่ผิด ในบรรดาลูกหลานเหล่านี้ของจักรพรรดิไท่จงนั้น เขาโดดเด่นที่สุด ถึงแม้ว่าจะสู้ฝ่าบาทไม่ได้ก็ตาม”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ข้าอยากรู้นัก ท่านลงใจลงแรง สั่งสอนฝ่าบาทมานานกว่ายี่สิบปี ท่านตัดใจได้หรือ”
ซางสิงโจวเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยว่า “หากว่าฝ่าบาทถูกเจ้าโน้มน้าวได้จริงๆ แล้วละก็ อย่างนั้นทิ้งไปก็ไม่เสียดาย”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ท่านไม่คิดหรือว่า ในคืนนั้นที่ข้าเข้าวังอาจจะเป็นเพียงการจัดฉากลวง”
ซางสิงโจวเอ่ยว่า “ฝ่าบาทไม่ได้เขียนจดหมายไปถึงเมืองลั่วหยาง”
วันเวลาที่ผ่านไปหลายวันแล้วเพียงพอที่จะเขียนจดหมายที่มีความจริงใจอย่างสูงสุด
แต่เขาไม่ได้รับมัน
สวีโหย่วหรง เข้าใจในความหมายของเขา
เดิมทีนี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่นางประสงค์จะเห็น
ดังนั้น เฉินหลิวอ๋องต้องตายเท่านั้น
หากว่าเขาตายแล้ว ต่อให้ซางสิงโจวชนะสงครามครั้งนี้ อย่างนั้นผู้ใดจะมาเป็นฮ่องเต้กันเล่า
ท่านอ๋องตระกูลเฉินที่ต่างก็มีความทะเยอทะยานเป็นของตนเองเหล่านั้น แน่นอนว่าจะต้องนำพาเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าสู่ศูนย์กลางแห่งความวุ่นวายเป็นแน่
ซางสิงโจวรบในสงครามครั้งนี้ไปจะมีความหมายอันใดเล่า
เห็นได้ชัดว่าเป็นอากาศในต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ลมกลับมีความหนาวเหน็บยิ่งนัก รับรู้ไม่ได้ถึงความอบอุ่นเลย
ต้นไม้สีเขียวในสุสานเทียนซูนั้นทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด แต่พุ่มไม้ทั้งสองข้างของถนนเสินเต็มไปด้วยฝุ่นละออง มองดูแล้วไร้ชีวิตชีวายิ่งนัก
ซางสิงโจวมองไปข้างนอกสุสานเทียนซู มองดูฝุ่นยักษ์ที่ปลิวขึ้นมา และทราบได้ว่าทหารม้าเกราะดำต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยามกว่าจะมาถึง และสีหน้าของเขาก็ยังคงสงบ
“เขาเป็นเด็กหนุ่มที่วิเศษนัก ไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“ข้ารู้จักเขาตั้งแต่ยังเล็ก ข้าทราบดีว่าเขามีความคิดพิจารณารอบคอบ ลงมือทำเรื่องราวใดๆ ก็ตามล้วนเคยชินที่จะวางแผนทางหนีทีไล่เสมอ”
“ไม่ผิด แต่จุดที่เขายังมิอาจเทียบจักรพรรดิไท่จงได้ ก็คือในเวลาสำคัญ เขาขาดไปซึ่งความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับการเสียเลือดเนื้อ”
ซางสิงโจวหันไปมองสวีโหย่วหรง เอ่ยว่า “แล้วเจ้าหาทางหนีทีไล่ของเขาเจอแล้วหรือ”
สวีโหย่วหรง เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ผิด”
สายลมบางเบาลอดทะลุผ่านถนนเข้ามา สิ่งปลูกสร้างที่สืบทอดประวัติศาสตร์มายาวนานเหล่านั้น ได้เรียนรู้ที่จะไม่แสดงออกถึงอารมณ์บนใบหน้ากับเรื่องใดๆ ก็ตามมานานแล้ว
จวนอ๋องที่อยู่ทั้งสองฝั่งของถนนไท่ผิงเงียบสงัดนัก หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเจ้านายของพวกเขาได้ไปยังสุสานเทียนซูแล้ว
เฉินหลิวอ๋องไม่ได้ไป เขาอยู่ที่นั่น นั่งอยู่ในห้องโถงดอกไม้ในจวนอ๋อง ดื่มชาอยู่เงียบๆ
เงาร่างของผู้มีฝีมือในจวนอ๋องจะปรากฏอยู่นอกหน้าต่างเรื่อยๆ
น้ำชาที่อยู่ในจอกชาค่อยๆ เย็นลงแล้ว ก็เหมือนกับนิ้วมือที่ถือเอาจอกชาอยู่ของเขานั่นเอง
เขาทิ้งจอกชาลงบนโต๊ะเบาๆ พลางมองออกไปนอกหน้าต่างปราดหนึ่งอย่างไม่ง่ายที่จะสังเกตได้
บนพื้นนั้นปูอิฐเอาไว้ ในบรรดาก้อนอิฐเหล่านั้นมีอยู่ก้อนหนึ่งที่ค่อนข้างจะเกลี้ยงมนเป็นพิเศษ
ทางหนีทีไล่นั้นไม่ได้หมายถึงประตูหลัง ตรงกันข้ามภายในเวลาเช่นนี้ ประตูหลังอาจจะเป็นที่ที่อันตรายที่สุดก็ได้
ทางหนีทีไล่ที่เฉินหลิวอ๋องเตรียมไว้ ก็คือด้านล่างของอิฐก้อนนั้นนั่นเอง นั่นเป็นถนนที่สามารถทะลุไปยังคลองลั่วได้
เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน ถนนไท่ผิงเป็นสถานที่ที่คนตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากพักอาศัยอยู่ บรรดาผู้คนที่หลงรักในอำนาจและหวาดกลัวต่อเรื่องไม่คาดฝันเหล่านั้น ไม่รู้ว่าได้ขุดเส้นทางไว้มากมายเท่าไหร่แล้ว
หลังจากที่โจวทงได้เข้าควบคุมกรมอาญา ก็ได้เริ่มต้นขุดเส้นทางมากมายขึ้นอีกครั้ง
เส้นทางเหล่านั้นลึกลับซับซ้อนราวกับใยแมงมุม นอกเสียจากตัวเขาเองแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถทำความเข้าใจได้
……
……
“ยังมีม่ออวี่”
ซางสิงโจวเอ่ยกับสวีโหย่วหรง “ทางหนีทีไล่ที่ว่าง่ายซึ่งจะกลายเป็นทางตัน”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ใช่ ดังนั้น เฉินหลิวอ๋องต้องตาย”
……
……
สามปีก่อน ลมพายุหิมะปกคลุมทั่วทั้งเมืองหลวง เฉินฉางเซิงบุกเข้าสู่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง โจงทงเข้าไปหลบซ่อนในคุกใหญ่ใต้ดิน
ยามที่เขากำลังสนทนากับเซวียเหอนั้น ถูกพิษของเจ๋อซิ่วเข้า
เขาหลบหนีจากเส้นทางนั้นไปยังตำหนักด้านนอกที่อยู่บนถนนไท่ผิง แต่ยังคงไม่สามารถหลุดพ้นจากการตามสังหารของเจ๋อซิ่วได้
แต่สิ่งที่ทำให้เขาหมดหวังจริงๆ ก็คือ หญิงสาวในวังผู้งดงามซึ่งรอเขาอยู่ในบ้านด้านนอก
ม่ออวี่ทราบดีถึงเรื่องราวทั้งหมดของเขา ไม่ว่าจะเป็นตำหนักด้านนอกที่อยู่บนถนนไท่ผิง หรือว่าจะเป็น ทางลับที่สลับซับซ้อนเหล่านั้น
วันนี้ ก็มีคนกำลังรอคอยเฉินหลิวอ๋องอยู่ที่เส้นทางนั้นเช่นกัน
คนที่รอคอยเฉินหลิวอ๋องก็คือนักพรตหญิงสองท่าน
เดินลงไปในภูเขาจำลองจากจวนหลูหลิงอ๋อง จะมีเส้นทางที่หันไปทางตะวันตกได้
เส้นทางจากจวนเซี่ยงอ๋องมุ่งหน้าไปคลองลั่ว บรรจบกันกับเส้นทางสายนี้
นักพรตหญิงทั้งสองนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น
นักพรตหญิงท่านหนึ่งมีสีหน้าสงบ ดูเหมือนบอบบาง
นักพรตหญิงท่านหนึ่งเลิกคิ้วโกรธ ดวงตาราวกับมีสายฟ้าฟาด
อาจารย์ย่าทั้งสองท่านนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดมีระดับขั้นสูงที่สุดในสถานศึกษาหนานซี ไหวเหริน ไหวซู่
……
……
“ข้าอยากทราบมาโดยตลอดว่าเจ้าให้ไหวเหรินและไหวซู่เข้ามายังเมืองหลวง เตรียมตัวจะใช้การพวกนางอย่างไร……”
ซางสิงโจวมองไปยังสวีโหย่วหรง เอ่ยว่า “ที่แท้ก็คือที่นี่”
สวีโหย่วหรงถึงได้ทราบว่า ที่แท้อาจารย์อาทั้งสองท่านเข้ามายังเมืองหลวงนั้นมิได้ปิดบังอีกฝ่าย เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นการสังหารเดียว ภารกิจต้องไม่พลาด”
ซางสิงโจวส่ายหน้า ก่อนเอ่ยว่า “แต่ข้าว่า การสังหารครั้งนี้ไม่สำเร็จแน่”
……
……
“เชิญดื่มชา”
เฉินหลิวอ๋องยกถ้วยชา รินน้ำชาเต็มทั้งสามจอก หลังจากนั้นจึงดันไปเบื้องหน้า มารยาทพร้อมพรัก
น้ำชาในถ้วยชาของเขานั้นเย็นเฉียบ แต่ชาที่อยู่ในถ้วยนั้นต้องร้อน เนื่องจากนั่นหมายถึง ความเคารพ
นักพรตชุดเขียวสามท่านที่นั่งอยู่ตรงข้ามนั้น แววตาล้ำเลิศอยู่ภายใน ดูราวปรกติ นานๆ ชายเสื้อจึงจะขยับ แต่เจตจำนงกระบี่กลับดุดันนัก เห็นได้ชัดว่า ระดับขั้นไม่ธรรมดาเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพรตท่านนั้นที่มีเส้นผมสีดอกเลา ดูราวกับพูดจาเชื่องช้าและเงียบขรึม แต่กลับให้ความรู้สึกลึกล้ำยากแท้หยั่งถึง
น้อยคนที่จะทราบว่าเมื่อยามที่ ซางสิงโจวไปสำนักฝึกหลวงหรือแม้แต่หลีกหนีไปยังเมืองซีหนิง อารามฉางชุนเมืองลั่วหยางจะถูกดูแลโดยนักพรตเฒ่าผู้นี้
เฉินหลิวอ๋องในวันนี้ก็เพิ่งทราบถึงเรื่องนี้ ในขณะเดียวกันก็พบว่าความสามารถในการติดตามของนักพรตผู้นี้แข็งแกร่งกว่าตนมากนัก
มีนักพรตเทพศักดิ์สิทธิ์ครึ่งขั้นอยู่ข้างกาย อีกทั้งยังมีนักพรตจากอารามฉางชุนสองท่าน ในจวนอ๋องยังมีมือดีมากมาย จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนนั้นระวังตัวมากเกินไป
แน่นอนว่า หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในสุสานเทียนชู หากอีกฝ่ายได้เปรียบ สุดท้ายแล้วเขายังคงต้องไป
สายตาของเฉินหลิวอ๋องทอดตกลงบนก้อนอิฐสีเขียวนอกหน้าต่างอีกครั้ง
……
……
“ท่านมอบคนที่แข็งแกร่งที่สุดไว้ข้างกายเฉินหลิวอ๋อง เห็นได้เลยว่าให้ความสำคัญกับเขาจริงๆ”
ซางสิงโจวไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ แต่สวีโหย่วหรงเข้าใจในเจตนาของเขาแล้ว นางเอ่ยด้วยเสียงเฉยเมยว่า “อย่างนั้นเขายิ่งต้องตาย”
ซางสิงโจวเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาแปลกใจ เนื่องจากสีหน้าของสวีโหย่วหรงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงสงบนิ่งอย่างนั้น
ไม่ได้เสแสร้งทำท่าสงบนิ่ง สถานการณ์หมากรุกดำเนินมาจนถึงตอนนี้ การปกปิดสีหน้าใดๆ ล้วนไม่มีความหมาย และไม่มีประโยชน์
สวีโหย่วหรงสงบนิ่งจริงๆ
เนื่องจากนางเชื่อมั่นว่า ในวันนี้ เฉินหลิวอ๋องต้องตายแน่ๆ
……
……
ในจวนเซี่ยงอ๋องเงียบสงบยิ่งนัก เหล่าบรรดามือดีทั้งหลายที่สีหน้าเฉยเมยนั้นต่างก็มองไปรอบด้าน เปลี่ยนทิศทางตลอด ทุกย่างก้าวไร้เสียงใดๆ
ในสวนด้านหลังของห้องโถงดอกไม้ อาจารย์ค่ายกลทั้งสองท่านกำลังพินิจไปที่กระบะทราย เตรียมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ป้องกันตลอดเวลา
นักพรตชุดเขียวท่านหนึ่ง เอียงคอหูแตะไหล่ หลับตาครึ่งหนึ่ง ราวกับหลับไปแล้ว
คนผู้นี้มองดูแล้วธรรมดายิ่งนัก บนเข็มขัดนั้นก็มีดาบธรรมดาๆ เล่มหนึ่งเหน็บอยู่หลวมๆ
แต่ผู้คนที่รู้จักเขาล้วนทราบดีว่ากระบี่เล่มนั้นที่สามารถจะเหน็บอยู่หลวมๆ ได้ ก็เพราะว่าสะดวกในการชักกระบี่ เขาเอียงคอหูตาแตะไหล่ ในขณะเดียวกันก็เพื่อที่จะให้สะดวกในการชักกระบี่นั่นเอง
ข้อแรกเป็นนิสัยความเคยชินที่ยังคงรักษาเอาไว้ หลังจากที่เขาเริ่มเข้าสู่วิถีพรตแล้ว ข้อหลังเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ปฏิบัติขึ้นหลังจากที่เขาได้เห็นหวังผ้อในเมืองลั่วหยาง
นับตั้งแต่ ท่าทางการยืนไปจนถึงลมหายใจ ไปจนถึงการแต่งกายของเขา รายละเอียดทุกอย่างของเขา ล้วนทำไปเพื่อสะดวกในการชักกระบี่
ดังนั้นบนโลกใบนี้ เขาถึงได้นับว่าเป็นคนที่ชักกระบี่ให้รวดเร็วที่สุดผู้นั้น