“ข้าลืมไปว่ายังมีหลิวชิงอีกคน”
ซางสิงโจว ถอนใจก่อนเอ่ยว่า “หากมิใช่เพราะเจ้าเอ่ยขึ้นมา ข้าเองก็นึกชื่อเขาไม่ออกด้วยซ้ำ”
แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าโดยพฤตินัยก็ตาม แต่จะไม่เพิกเฉยต่อมือสังหารที่น่ากลัวอย่างหลิวชิง
ดังนั้นคำว่าคิดไม่ออกก็คือคิดไม่ออกจริงๆ ไม่ได้หมายความว่าประสงค์จะแสดงความดูถูกหรือไม่ใส่ใจ
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “เขาช่างเป็นคนที่ถูกลืมได้ง่ายจริงๆ”
“นักฆ่าที่ดีที่สุดก็ควรจะเป็นเช่นนี้”
ซางสิงโจวเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชมหลายส่วนว่า “หลังจากที่ซูหลีและท่านผู้นั้นจากไป เขาก็พัฒนาไปมาก”
สวีโหย่วหรง ทราบดีว่าท่านผู้นั้นที่เขาเอ่ยถึงไม่ใช่อาจารย์ของตน แต่เป็นหัวหน้านักฆ่าในตำนานท่านนั้น นางเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ดังนั้นข้าแน่ใจว่าเฉินหลิวอ๋องจะต้องตายแน่นอน”
ซางสิงโจวเงียบอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยว่า “คิดว่าในหลายสถานที่ เจ้าเองก็คงมีการเตรียมการสินะ”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “แผนการ ณ ที่แห่งอื่นจะไม่ละเอียดไปบ้าง มหามุขนายกคนใหม่แห่งตำหนักอิงหัวกวนไป๋ อีกสักครู่จะกลับไปยังสำนักเทียนเต้า แต่ข้าไม่แน่ใจเรื่องที่จะเกิดตามมา”
ซางสิงโจว พยักหน้าก่อนเอ่ยว่า “จวงจือห้วนไม่พอใจในเรื่องนี้มาก หากสถานการณ์ไม่มั่นคง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะลงมือกับกวนไป๋ก็เป็นได้”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ข้าก็คิดเช่นนี้ อย่างนั้นกวนไป๋ต้องตาย”
เห็นได้ชัดว่ากำลังเอ่ยถึงเรื่องความเป็นความตายของบุคคลที่สำคัญผู้หนึ่ง แต่สีหน้าของนางกลับสงบนิ่งอย่างนั้น ราวกับกำลังเอ่ยถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอันใดเลยกับตน
ซางสิงโจวมองนางนิ่งๆ จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา
จวบจนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงได้มองนางเป็นคู่ต่อสู้อย่างแท้จริง
“หลังจากนั้นเล่า”
“ความตายหลายรูปแบบ”
“ตายอย่างไร”
“ก็แค่ท่านสังหารข้า ข้าสังหารท่าน……ก็เหมือนกับในคืนนั้นเช่นกัน”
แววตาของสวีโหย่วหรงเย็นชา ราวกับว่ากำลังมองไปยังสถานที่อันแสนไกลโพ้นหรืออดีตที่ผ่านมา
สามปีที่แล้วในคืนนั้น นางและม่ออวี่ถูกจักรพรรดินีเหนียงเหนียงส่งออกไปจากเมืองหลวง จึงไม่ได้ประสบพบเจอ
……
……
ห่านแดงสิบกว่าตัวโผบินขึ้นอีกครั้ง บางตัวก็ถลาลงมา บางตัวก็บินไปยังที่ที่ไกลออกไป
ข่าวสารทางด้านนั้นของสุสานเทียนซู ถูกส่งเข้ามาในตรอกซอกซอยของเมืองหลวงอย่างต่อเนื่อง หมอกควันที่ใกล้เข้ามาทุกขณะบนทุ่งกว้างในฤดูใบไม้ผลิเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงข่าวลือเหล่านั้นได้อย่างดี
กลุ่มผู้คนที่อยู่ด้านหน้าพระราชวังหลีก็วุ่นวายอยู่ไม่สุขขึ้นมาทันที ต่างก็รีบร้อนสลายตัวกันไป แต่การสอบใหญ่ยังคงดำเนินต่อไป
มุขนายกและมัคนายกต่างก็รีบร้อนวิ่งกลับไปกลับมา บนถนนเสินยิ่งเต็มไปด้วยเงาร่างที่วิ่งผ่านไปมา ทหารมาอารักขาออกเดินทางตั้งนานแล้ว ทุกอย่างเร่งรีบไปหมด
ราชันแห่งหลิงไห่มองไปยังเฉินฉางเซิง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
เฉินฉางเซิงดำเนินไปยังด้านหน้าประตูตำหนัก ก่อนเอ่ยว่า “หากว่า……”
ราชันแห่งหลิงไห่และหู้ซานสือเอ้อร์รวมถึงคนอื่นๆ เองก็มองไป ค่อนข้างตื่นเต้นอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงไม่ถามไถ่เรื่องทางโลกมาหลายวันแล้ว หากเป็นเพราะเรื่องที่รู้กันสองคนระหว่างสวีโหย่วหรง บางทีอาจจะกำลังเตรียมไพ่ใบสุดท้ายอยู่ก็เป็นได้ อย่างนั้นวันนี้ก็คงต้องพลิกมันออกมาแล้ว
“……ข้าหมายถึงหากว่า”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่ใหญ่ หันหน้าไปมองพวกเขาก่อนเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ไม่มีหากว่า พวกท่านก็ทำตามที่บนกระดาษว่าไว้เถิด”
เมื่อเอ่ยคำนี้จบ เขาก็นำกระดาษที่พับเป็นรูปแมลงปอยื่นออกไป
ราชันแห่งหลิงไห่และคนอื่นๆ เปิดกระดาษรูปแมลงปอออก ก่อนกวาดสายตามอง จู่ๆ ก็ตกตะลึงขึ้นมา
ไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงได้ออกคำสั่งที่เหลวไหลอันใด แต่พวกเขาก็ต้องปฏิบัติตาม
……
……
น้ำใสในสระหินล้นออกมาจากขอบ และไหลออกจากห้องโถงไปตามถนนศิลาสีเขียวอย่างเงียบๆ
มีเพียงเมื่อน้ำในสระถูกกวน มันจึงจะทำให้เกิดเสียงที่กึกก้องเหมือนเสียงกระบี่
เฉินฉางเซิงตักน้ำขึ้นมาหนึ่งกระบวย
เมื่อไม่มีใบเขียว แน่นอนว่าน้ำนั้นก็ไม่ได้นำมารดพวกมัน
เขายกมันจรดริมฝีปากและดื่มช้าๆ
ถังซานสือลิ่วจ้องตาเขาก่อน เอ่ยว่า “เจ้าจะทำอะไรกันแน่”
เฉินฉางเซิงใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำที่อยู่บนหน้า ก่อน เอ่ยว่า “ดื่มน้ำสะอาดสามารถชำระล้างจิตใจได้”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังว่า “น้ำที่ไม่ได้ถูกต้มจนเดือด แต่ไหนแต่ไรเจ้าไม่เคยดื่ม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำที่ริมฝีปากเลย”
เฉินฉางเซิงมองเขาก่อนเอ่ยว่า “เจ้าไม่สังเกตหรือว่าข้าเปลี่ยนไปมาก”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยถาม “เจ้าเปลี่ยนไปตรงไหนกัน”
เฉินฉางเซิงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าใช้ชีวิตอย่างอิสระขึ้น และทำอะไรตามอำเภอใจมากขึ้น”
ถังซานสือลิ่วมองสบตาที่เป็นประกายของเขา มองเห็นถึงความจริงจังในแววตา ก็รู้สึกว่าโกรธขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เขาเอ่ยว่า “เจ้าควรจะไปส่องคันฉ่องเสียหน่อย”
เฉินฉางเซิงเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เข้าใจความหมายของประโยคนี้ เขางุนงงเล็กน้อย
ถังซานสือลิ่วได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอก เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “เจ้าไม่กังวลจริงๆ หรือ”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้าก่อนเอ่ยว่า “ในเมื่อไม่มีทางต่อสู้กันขึ้นมาได้ อย่างนั้นจะต้องกังวลไปด้วยเหตุใด”
ถังซานสือลิ่วไม่เข้าใจ เขาเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร”
เฉินฉางเซิงหันกลับไปมองห้องศิลาห้องนั้น ไม่รู้ว่าทำไม สีหน้าเขาซับซ้อน
“ข้าเข้าใจในตัวอาจารย์ของข้ามากกว่าโหย่วหรง เมื่อไรก็ตามที่เขารู้สึกว่ายังเตรียมตัวได้ไม่ดีพอ ก็จะไม่เปิดโอกาสในการต่อสู้ใดๆ ให้กับฝ่ายตรงข้าม”
จะมีทั้งสองฝ่ายได้คุมเชิงกันอยู่ ณ สุสานเทียนซู ถังซานสือลิ่วไม่อยากจะเชื่อในการสันนิษฐานของเฉินฉางเซิง เข้าใจเพียงว่าเขากำลังปลอบใจตนเองอยู่
ยามที่เฉินฉางเซิงนำกระดาษรูปแมลงปอนั้นมอบให้แก่ราชันแห่งหลิงไห่รวมถึงคนอื่นๆ เขาไม่ได้อยู่ ณ ที่แห่งนั้น
“จะไม่ใช้ผังลายจักรพรรดิจริงๆ น่ะหรือ”
เขามองเข้าไปในดวงตาของเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยถาม แววตาปรากฏความจริงจังและความเคร่มขรึมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เฉินฉางเซิงเงียบไม่พูดจา
ถังซานสือลิ่วเอ่ยว่า “หากเจ้าแน่ใจว่าฝ่าบาทจะยืนอยู่ข้างเจ้าในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนี้ อย่างนั้นวันนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุด”
หอหลิงเยียนได้ถูกหอกเทพน้ำค้างแข็งของจักรพรรดินีเทียนไห่ทำลายลงแล้ว แต่ว่าจุดศูนย์กลางค่ายกลของผังลายจักรพรรดิยังคงอยู่ในเมืองหลวง อีกประการหนึ่ง ถึงแม้ว่าท่านผู้เฒ่าตระกูลถังจะยังคงวางตัวเป็นกลาง ก็ยังคงไม่สามารถหยุดยั้งการควบรวมอำนาจของครอบครัวลูกคนโตได้ ท่านผู้เฒ่าอาวุโสส่งผู้แทนหลายคนเข้ามาในเมืองหลวงจวบจนทุกวันนี้ เหล่าบรรดาร้านค้าและสมาคมวิชาชีพต่างๆ ก็ล้วนเชื่อฟังคำสั่งโยกย้ายจากถังซานสือลิ่วอยู่เสมอ
เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลถัง อวี๋เหรินจึงสามารถดำเนินการผังลายจักรพรรดิได้ตลอดเวลา
ในตอนนั้น ต่อให้กองทหารหลายเส้นทางที่อยู่ภายใต้การควบคุมของท่านอ๋องเหล่านั้น เข้ามาในเมืองหลวงจริงก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมของเหล่าพี่น้องอย่างพวกเขาได้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถังซานสือลิ่วเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงยังคงรักษาไว้ซึ่งความเงียบ
ในที่สุดถังซานสือลิ่ว ก็เข้าใจแล้วว่าเขาไม่ได้กำลังสับสนลังเล แต่กำลังใช้ความเงียบแสดงถึงเจตนาของตน
เฉินฉางเซิงเชื่อว่าหากเรื่องราวดำเนินไปจนถึงก่อนหน้าจุดจบ ศิษย์พี่จะต้องออกโรงปกป้องเขาแน่นอน
แต่เนื่องจากสาเหตุบางประการเขาไม่อยากใช้ผังลายจักรพรรดิ
“เพราะเหตุใดกัน” ถังซานสือลิ่วจ้องตาเขาก่อนเอ่ยถาม
“หากใช้ผังลายจักรพรรดิขึ้นมาจริงๆ เหตุการณ์ก็จะเหมือนคืนนั้นเมื่อสามปีก่อน”
เฉินฉางเซิง หยุดนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยต่อว่า “ข้าเองก็จะเหมือนอาจารย์เกินไป”
ถังซานสือลิ่ว เข้าใจในเจตนาของเขา แล้วเขาเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนยื่นมือออกไปตบไหล่เขา เพื่อแสดงออกถึงการสนับสนุนและการปลอบประโลม หลังจากนั้นจึงเดินออกไปนอกตำหนัก
เฉินฉางเซิง เดินกลับเข้าไปในห้องศิลา
หลายวันมานี้เขาเอาแต่ฝึกกระบี่อยู่ภายในห้องศิลาแห่งนี้
ด้านในห้องศิลามีการตกแต่งอย่างเรียบง่าย ธรรมดาเสียจนน่าอดสู นอกจากฟูกผืนนั้นบนพื้นแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
แต่ในเวลานี้ด้านในห้องศิลาจู่ๆ ก็ปรากฏบุคคลขึ้นมาหนึ่งคน
คนผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อใด
เขาหลบลี้สายตาของอาจารย์กว่าพันคนในพระราชวังหลีมาได้อย่างไร
นั่นคือท่านผู้เฒ่าผู้มีผมสีขาวดอกเลา มือขวาถือพู่กันด้ามหนึ่งที่ยังไม่แห้ง มือซ้ายถือเอาจานวาดเอาไว้
สีในจานวาดเป็นสีเทา และเสื้อผ้าของชายชราเป็นสีเทา ผมและคิ้วสีซีดถูกย้อมเป็นสีเทา ซึ่งเป็นสีเดียวกับผนังของห้องศิลา
เป็นไปได้ไหมว่าชายชราวาดภาพตัวเองบนผนังห้องศิลา
ถ้าเป็นจริง นี่เป็นวิธีการวาดภาพที่อัศจรรย์แบบไหนกัน
ชายชราผู้นั้นจดจ้องมาที่เฉินฉางเซิง เอ่ยขึ้นอย่างพออกพอใจว่าว่า “ยังดีที่เจ้าเข้าใจหลักการที่ว่าควรมองสถานการณ์ในใต้หล้าเป็นสำคัญ”
เฉินฉางเซิงเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยว่า “อันที่จริงแล้วข้าไม่ได้เข้าใจมากนัก”