เสียงของสวีโหย่วหรง ดังขึ้นบนถนนเสินอย่างต่อเนื่อง ไพเราะน่าฟัง แต่ไม่ทำให้ผู้คนเกิดความคิดเชื่อมโยงถึงเสียงน้ำหยดจากตาน้ำ เนื่องจากเสียงของนางนั้นเย็นชายิ่งนัก ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ แล้วก็ไม่มีความหมายที่บ่งบอกถึงความเห็นอกเห็นใจใดๆ ทั้งสิ้น ราวกับไข่มุกเม็ดเล็กๆ ที่กลั่นตัวจากลมหนาวและหิมะ ตกลงบนจานกระเบื้องที่ถูกแช่แข็งจนเปราะกลายเป็นผงในทันที ไม่สามารถเก็บหลักฐานใดๆ ได้ มีเพียงความเย็นเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในโลก
หรือไม่ก็เป็นเพราะนางเอาแต่พูดเรื่องการสังหารผู้คน
เริ่มต้นตั้งแต่เซี่ยงอ๋องจะสังหารเฉินหลิวอ๋อง ณ ถนนไท่ผิงได้อย่างไร นางเอ่ยถึงหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการสังหารคนมากมาย ท่านอ๋องเหล่านั้นที่อยู่ด้านนอกสุสานเทียนซู ขุนนางของราชสำนักและเขตแคว้นต่างๆ ทั้งยังขุนพลเทพที่มีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือเหล่านั้นอีก นางล้วนมีแผนที่เกี่ยวข้องแล้ว
ตามหัวข้อการสนทนานี้ อุณหภูมิบนถนนเสินลดต่ำลงไปเรื่อยๆ ฉันมองไม่เห็นเบื้องหลังของลมพายุหิมะ ที่ปรากฏเส้นสายที่ต่อเนื่องขึ้นมา เพียงแต่ไม่ทราบว่า นั่นคือร่องรอยทางประวัติศาสตร์หรือว่าร่องรอยของชะตาชีวิต หรือบางทีอาจจะเป็นภาพขณะที่ถาดดาวโชคชะตากำลังหมุนวน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดนางก็สิ้นสุดการเล่าเรื่อง มองไปทางซางสิงโจว
หากฮ่องเต้ทรงยืนอยู่ฝั่งเดียวกับนางและเฉินฉางเซิงจริงๆ เช่นนั้น สงครามครั้งนี้แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเป็นฝั่งที่ได้เปรียบแน่
ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ นางมีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะสามารถทำเรื่องราวเหล่านี้ให้สำเร็จได้
ซางสิงโจวกลับไม่คิดอย่างนี้ หรือว่าบางทีอาจจะไม่ถูกนางโน้มน้าว เนื่องจากเขาเชื่อว่าตนนั้นเข้าใจในตัวเฉินฉางเซิง
“เจ้าเด็กคนนั้นหัวโบราณมาก และยังมีนิสัยเด็กๆ”
เขามองไปยังสวีโหย่วหรงก่อนเอ่ยเยาะว่า “เจ้าเชื่อมั่นว่าเขามีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้เลยหรือ”
“ข้าไม่เห็นด้วยกับความคิดของท่าน เขาก็แค่อยากเป็นคนดีเท่านั้น”
สวีโหย่วหรงกะพริบตา เอ่ยว่า “และในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่ข้ากำลังทำอยู่ ท่านทราบดีว่าข้าสามารถทำเรื่องราวเหล่านี้ได้”
ซางสิงโจว ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “หวังผ้อรู้ถึงความคิดเหล่านี้ของเจ้าหรือไม่ พรรคกระบี่หลีซาน ทั้งยังมีคนของพรรคเหล่านั้น ทราบถึงความคิดของเจ้าหรือไม่ หากพวกเขาทราบว่าเจ้านั้นบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ ก็ยังจะสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้าหรือ เจ้าแน่ใจหรือว่าหากถึงช่วงเวลาสุดท้ายแล้วพวกเขาจะยังคงบ้าคลั่งไปกับเจ้าด้วย”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “เรือที่มุ่งหน้าดำเนินไปยังแดนนิพพานแห่งทะเลดวงดาว จะขึ้นลงตามอำเภอใจได้อย่างไร”
ซางสิงโจวเอ่ยว่า “เจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่ว่าเรือทะเลนั้นอาจจะพลิกคว่ำด้วยตัวเองก็เป็นได้”
“ขอเพียงผลประโยชน์เพียงพอ ก่อนหน้าที่จุดจบที่แท้จริงจะปรากฏขึ้น ลูกเรือที่มองโลกในแง่ร้ายที่สุดก็อาจจะคาดหวังถึงแผ่นดิน”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ตรงกันข้ามเลย นี่อาจจะให้ความมั่นใจและศรัทธาในชัยชนะมากขึ้นแก่พวกเขาก็ได้”
ซางสิงโจวเอ่ยว่า “ที่แท้เป็นกับดัก”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ข้าเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ไม่ว่าวีรบุรุษนั้นจะเป็น จักรพรรดิหรือว่าเป็นประชาชน ก็ต้องเป็นเยี่ยงนี้”
“อย่างนั้นพระราชวังหลีเล่า เหล่าบรรดาลูกศิษย์ทางทิศเหนือกว่าหลายร้อยล้านคนอาจจะไม่เชื่อฟังปณิธานของเจ้า เดินตามรอยเท้าเจ้า”
ซางสิงโจวมองนางกึ่งยิ้ม ก่อนเอ่ยว่า “เฉินฉางเซิงทราบความคิดที่แท้จริงของเจ้าหรือไม่”
สวีโหย่วหรงเงียบอยู่นาน ก่อนเอ่ยว่า “ข้าไม่สนใจ”
สีหน้าแววตาของซางสิงโจวดูลึกล้ำขึ้นมา เขาเอ่ยว่า “ต่อให้น้ำหลากท่วมสวรรค์น่ะหรือ”
สวีโหย่วหรงเอ่ยตอบอย่างสงบนิ่ง “หรือบางทีอาจจะเป็นห้วงลึกหมื่นจั้งก็เป็นได้”
ซางสิงโจวเอ่ยว่า “เจ้าก็จะถูกบันทึกว่ามีพฤติกรรมชั่วช้าในหน้าประวัติศาสตร์ตลอดกาล”
สวีโหย่วหรงเอ่ยตอบอย่างสงบนิ่ง “ข้าบอกแล้ว ข้าไม่สนใจ”
ซางสิงโจวเอ่ยว่า “หากใต้หล้าโกลาหล ผู้คนยากแค้นแสนเข็ญ เฉินฉางเซิงจะมองเจ้าอย่างไร”
สวีโหย่วหรงเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น และก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อให้เขาชื่นชอบ”
ซางสิงโจวเอ่ยชมเชย “น่าสรรเสริญ แต่ข้าเป็นคนที่ไม่ยอมรับการถูกคุกคาม”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ข้าอยากลองดู”
ท่ามกลางพายุหิมะในเมืองสวินหยางในปีนั้น ต้องเผชิญหน้ากับจูลั่ว หวังผ้อเคยเอ่ยคำพูดหนึ่งเอาไว้
ต่อมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเสียจนราวกับไม่สามารถเอาชนะได้ เฉินฉางเซิงเองก็เคยเอ่ยคำพูดหนึ่งเอาไว้
ในวันนี้สวีโหย่วหรงก็เอ่ยสี่คำนี้แล้ว
สีหน้าแววตาของนางกระจ่างแจ้ง อารมณ์สงบนิ่งแต่ท่ามกลางความเด็ดเดี่ยวแห่งปณิธานเหล่านั้น กลับแสดงถึงความบ้าคลั่งอย่างถึงที่สุด
ซางสิงโจวเอ่ยถาม “เจ้ามีความมั่นใจมากเพียงใด”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ข้าใช้จานดาวโชคชะตาประเมินสถานการณ์มาแล้วสิบเจ็ดครั้ง มีสี่ครั้งในนั้นที่ท่านรับปากข้อเรียกร้องของข้า และมีสามครั้งที่ข้าล้มเหลว”
ซางสิงโจวเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “สี่ในสิบเจ็ดครั้ง เจ้าก็กล้ามาข่มขู่ข้าหรือ”
“ที่เหลือสิบครั้งนั้น เป็นพวกเราที่ล้วนพ่ายแพ้ ราชวงศ์ต้าโจวล่มสลาย ความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่และการประกาศศักดากลายเป็นเพียงจุดอ่อนที่น่าหัวเราะเยาะ”
สวีโหย่วหรงเอ่ยตอบอย่างสงบนิ่ง “ดังนั้นมิใช่สี่ครั้ง แต่เป็นสิบสี่ครั้ง”
ซางสิงโจวมองไปยังหญิงสาวที่สวมอาภรณ์สีขาว งดงามอย่างถึงที่สุด หรือแม้กระทั่งดูอ่อนแออยู่บ้างผู้นี้ เขาเงียบอยู่นาน
จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็ไม่สนใจ”
สวีโหย่วหรงมองไปที่เขาเงียบๆ ราวกับคาดเดาได้แล้วว่าเขาประสงค์จะเอ่ยสิ่งใด
ซางสิงโจวเอ่ยว่า “ต่อให้ตอนนี้ข้ารับปากคำขอร้องของเจ้า ต่อไปข้าก็อาจจะเปลี่ยนใจเมื่อไรก็ได้”
ในสมัยจักรพรรดิไท่จงมีบุคคลในตำนานมากมาย อาทิเช่นเหอเจียนอ๋อง และขุนพลเทพฉินอวี่ เมื่อเทียบกับคนเหล่านี้ ซางโจวนั้นแทบจะไม่มีชื่อเสียงใดๆ เลย
ในความเป็นจริงเขาได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ความสำคัญไม่ได้อยู่ต่ำกว่าหวังจือเช่อด้วยซ้ำ
เขาสนใจเฉพาะผลลัพธ์ที่แท้จริง ไม่ใช่ชื่อเสียง ด้วยรูปแบบการปฏิบัติของเขา การเผชิญหน้ากับความไม่พอใจราวกับพายุหิมะในวันนี้จากสวีโหย่วหรง เขามีแนวโน้มที่จะเลือกถอยชั่วคราว และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง เขาจะทำการโต้กลับอย่างรุนแรงราวกับฟ้าผ่า
“ใช่”
สวีโหย่วหรงมองไปที่เขาพลางยกยิ้มก่อนเอ่ยว่า “ดังนั้น ข้าปรารถนายิ่งกว่านั้นมาก”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวนี้ ซางสิงโจวชะงักไป หลังจากนั้นจึงหัวเราะออกมา
สุสานเทียนซูจู่ๆ ก็เงียบลงเป็นอย่างมาก ผู้คนที่ได้ยินบทสนทนานี้สีหน้าต่างล้วนเปลี่ยนไปอย่างมหัศจรรย์ ต่างก็ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
แม้แต่เซี่ยงอ๋องหรือแม้แต่หญิงชราจากตระกูลมู่เจ้อ สีหน้าล้วนเต็มไปด้วยความตะลึงงัน
เนื่องจากพวกเขาเพิ่งได้ยินเรื่องที่เหลวไหลที่สุดในโลกเข้า
……
……
ตั้งแต่ต้นจนจบสวีโหย่วหรง ล้วนไม่ได้เอ่ยว่าสุดท้ายแล้วนางประสงค์จะให้ซางสิงโจวทำสิ่งใด ซางสิงโจวเองก็ไม่ได้ถาม แต่ไม่ว่าจะเป็นพวกเขาหรือว่า กลุ่มคนที่คอยฟังบทสนทนานี้อยู่ด้านนอกสุสานเทียนซูก็ล้วนทราบดี สวีโหย่วหรงประสงค์จะให้เขาถอนตัว กลับคืนสู่ชีวิตสันโดษ หรือเกษียณตัวเองนั่นเอง
แต่เมื่อครู่นี้ ซางสิงโจวเอ่ยว่าตนนั้นสามารถเปลี่ยนใจได้ตลอดเวลา สวีโหย่วหรงเอ่ยว่านางปรารถนายิ่งกว่านั้นมาก
มากกว่าการถอนตัว กลับคืนสู่ชีวิตสันโดษ หรือเกษียณตัวเองที่เป็นการยอมแพ้ ยอมจำนนอย่างแท้จริง นั่นคือความประสงค์อันใดกัน
คิดว่าน่าจะไม่ต้องตาย เนื่องจาก ความยึดมั่นถือมั่นของซางสิงโจว ก็คือการปรารถนาที่จะได้เห็นกองทัพหลวงของเผ่าพันธุ์มนุษย์บุกโจมตีเมืองเสวี่ยเหล่าด้วยตาตนเอง และข้อเรียกร้องนี้ก็เหลวไหลเกินไป
หรือว่าหมายถึงทำลายระดับการบำเพ็ญตนเองกัน คำขอนี้ก็ไร้สาระพอๆ กัน…ผู้ใดจะ รับปากกันเล่า
ข้อเรียกร้องที่เหลวไหลไร้สาระน่าหัวเราะอย่างนี้ สวีโหย่วหรงจะสามารถเอ่ยออกมาได้อย่างไร
ความเงียบของสุสานเทียนซู ก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงอุทานและการอภิปราย
ผู้ใดต่างก็คิดว่าสวีโหย่วหรงเสียสติไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป เสียงอุทานและเสียงอภิปรายก็ค่อยๆ หยุดลง
อารมณ์ตกตะลึงที่อยู่ในสายตาผู้คนจู่ๆ ก็รุนแรงขึ้น เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง
เหล่าบรรดาเด็กสาวของสถานศึกษาหนานซีล้วนสามารถมองเห็นแล้ว รอยยิ้มเหนือริมฝีปากของซางสิงโจวค่อยๆ จางหายไป
ผู้คนที่อยู่ด้านนอกสุสานมองไม่เห็นสิ่งใด และก็ไม่ได้ยินสิ่งใด แต่ความเงียบนี้ช่างแปลกประหลาดอย่างนั้น
หรือว่าซางสิงโจวกำลังพิจารณาถึงข้อเรียกร้องของสวีโหย่วหรงอยู่
สีหน้าของเซี่ยงอ๋องจู่ๆ ก็ดูย่ำแย่
เรื่องที่เหลวไหลเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับบุคคลที่ไม่ธรรมดาเท่านั้น
แต่ซางสิงโจวก็มิใช่คนธรรมดา
สวีโหย่วหรงกล้าเอ่ยข้อเรียกร้องข้อนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่านางเล็งเห็นแล้วว่า หากนางเป็นผู้ที่เสียสติไป ซางสิงโจวจะต้องเสียสติยิ่งกว่านางเป็นแน่!
“ล้วนเป็นพวกเสียสติ”
หญิงชราจากตระกูลมู่เจ้อและผู้นำตระกูลอู๋ต่างก็สบตากัน มองออกถึงความหวาดผวาที่อยู่ในแววตากันและกัน
“ล้วนเป็นพวกเสียสติ”
จงซานอ๋องมองไปด้านในของสุสานเทียนซูก่อนบ่นพึมพำ อารมณ์ในแววตาก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นเล็กน้อย