ลมที่อยู่ด้านนอกและด้านในของสุสานเทียนซูจู่ๆ ก็สงบลง และเสียงก็ราวกับหายไปด้วย
ทั่วทั้งดินแดนราวกับจับตัวกันกลายเป็นของแข็ง ไม่ว่าจะหมายถึงเวลาหรือว่าอากาศ
ทั้งสองฝ่ายที่อยู่ท่ามกลางการคุมเชิงต่างก็เข้าสู่ภาวะที่ทุกอย่างหยุดชะงักไป หรือจะกล่าวได้ว่าเป็นหมากที่เข้าตาจนเลยก็ว่าได้
การรักษาสมดุลชั่วคราวเยี่ยงนี้อ่อนแอยิ่งนัก ขอเพียงมีปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลมหรือว่าเสียง อาจล้วนนำมาซึ่งความไร้หัวจิตหัวใจและการสังหารนับไม่ถ้วน อาจล้วนทำให้เมืองหลวงทั้งเมืองกลายเป็นทะเลโลหิตและทะเลเพลิง จะทำให้ความรุ่งเรืองและความทะเยอทะยานทั้งหมดถูกแผดเผาเสียจนเป็นเถ้าถ่าน
มีคนน้อยมากที่กล้าตัดสินใจสิ่งใดภายใต้สถานการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในประวัติศาสตร์อย่างนี้
สวีโหย่วหรง แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่านางสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหลากท่วมสวรรค์ หรือว่าจะเป็นอเวจีลึกนับหมื่นจั้ง ล้วนไม่อาจทำให้ขนตาของนางกะพริบได้แม้เพียงนิด
และทุกคนล้วนทราบดีว่านางจะไม่ยอมรออย่างเงียบๆ อย่างนี้ต่อไป
ทหารม้าเกราะดำของราชสำนักกำลังเร่งรุดกลับมายังเมืองหลวง
หากซางสิงโจวไม่ยอมตอบรับคำขอร้องของนาง อย่างนั้นนางจะต้องทำการโจมตีล่วงหน้าแน่นอน
ภายในห้วงเวลาที่สำคัญยิ่งนี้ บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่สำคัญอีกคู่หนึ่งกลับราวกับนอนหลับอยู่
จงซานอ๋องมองไปยังทิศทางนั้น เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ไม่มีผู้ใดหวังว่าการเจรจาของสวีโหย่วหรงและซางสิงโจวจะแตกร้าว นอกเสียจากศิษย์พี่ของเขาผู้นี้
เซี่ยงอ๋องถือได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในราชสำนักมีเบื้องหลังลึกซึ้ง และอยู่ในด้านการทหารก็มีความสามารถที่เปี่ยมล้นเป็นอย่างยิ่ง
หากว่าราชสำนักและสำนักฝึกหลวงพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่าย หากว่าผู้แข็งแกร่งจากแดนเหนือใต้สู้รบจนสงครามนองเลือดทุกครา อย่างนั้นผู้ใดยังจะสามารถ หยุดยั้งไม่ให้เขาครองตำแหน่งบัลลังก์มังกรเล่า
สวีโหย่วหรงและซางสิงโจวน่าจะแจ้งแก่ใจในข้อดี แต่พวกเขาจะไม่มีทางเอ่ยถึงข้อนี้
เนื่องจากนี่ก็คือแต้มต่อที่พวกเขาประสงค์จะนำมาเจรจานั่นเอง
ประเด็นสำคัญที่จะนำมาตัดสินในตอนสุดท้ายว่าการเจรจาฉากนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ยังคงอยู่ที่ข้อเรียกร้องข้อนั้น
ปัญหาก็คือข้อเรียกร้องที่แข็งกร้าวและไร้เยื่อใยเยี่ยงนี้ ต่อให้เป็นไป๋อั้นพ่อครัวร้านเหล่าซีจิงที่ไม่มีความคิดใดต่อชีวิต ช่วงชีวิตก่อนหน้าใช้ชีวิตอย่างน่าเบื่อเหลือคณา หรือแม้แต่อาจพูดได้ว่าลำบากเหลือแสน ก็อาจจะไม่รับปากก็ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซางสิงโจว
……
……
ไม่มีลม ชายเสื้อคลุมของอาภรณ์สีขาวกลับสะบัดปลิวเบาๆ ราวกับดอกไม้กระดาษอย่างนั้น
และเมื่อเปรียบเทียบกับดอกไม้ของจริงแล้ว ดอกไม้กระดาษบริสุทธิ์กว่า เรียบง่ายกว่า แล้วยังให้ความรู้สึกโศกเศร้ายิ่งกว่า
สวีโหย่วหรงยืนอยู่บนถนนเสิน นางยืนไขว้แขนมองไปยังเมืองหลวง
สีหน้าของงานสงบนิ่ง รูปร่างหน้าตาที่งดงามกลับให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และสง่างาม
ราวกับทะเลสีคราม ราวกับกำลังเพ่งมองใต้หล้า
จู่ๆ ซางสิงโจวก็รู้สึกราวกับตนนั้นมองเห็นเทียนไห่
หลายปีมาแล้ว เมื่อเทียนไห่ยังเล็ก
ยุคสมัยไท่จง เขาพบแม่นางน้อยผู้นั้นครั้งแรกในวังหลวง
ในตอนนั้นเขาไม่ได้เกลียดนาง ตรงกันข้ามเลยกลับรู้สึกชื่นชมเสียด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นต่อมาก็คงไม่เลือกช่วยเหลือ ให้นางได้ครองบัลลังก์
เทียนไห่ในตอนนั้นงดงามยิ่งนัก แต่ไม่ว่าขณะที่มองม้าตัวนั้นหรือว่ามองไปที่จักรพรรดิไท่จง สีหน้าของนางล้วนเย็นชาเฉยเมย
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ซางสิงโจวชื่นชมนาง
หากสวรรค์มีรัก สวรรค์จักอาดูร หากไร้รัก ก็จะทำการใหญ่สมประสงค์
ซางสิงโจวก็ชื่นชมสวีโหย่วหรงเป็นอย่างมาก
ในวันนี้ทุกคำพูดที่สวีโหย่วหรงเอ่ย หากวิเคราะห์ตามสถานการณ์ใหญ่ ไปจนกระทั่งถึงฉากสังหารที่มีเป้าประสงค์ต่อเฉินหลิวอ๋อง จวบจนกระทั่งการบรรยายถึงความโกลาหลในตอนสุดท้าย หรือเป็นการโจมตีไปยังช่องโหว่ที่เขาให้ความสนใจที่สุดซึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดในจิตวิญญาณของเขาเช่นกัน ในขณะเดียวกันนางก็กำลังลงมือทำเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งไปพร้อมพร้อมกัน
นางกำลังพิสูจน์ตนเองต่อซางสิงโจว
ล้มล้างการปกครองของจักรพรรดินีเทียนไห่ นำการปกครองในราชสำนักทั้งหมดหวนคืนแด่ราชนิกุลตระกูลเฉิน ตนนั้นจะกลายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า
การมีชีวิตอยู่ในชาตินี้ซางสิงโจว สมบูรณ์แบบยิ่งแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ต้องไขว่คว้า นอกเสียจากเรื่องนั้น
สวีโหย่วหรง ประสงค์จะให้เขายอมแพ้ในตอนนี้ แล้วถอนตัวออกไป ก็เพื่อจะต้องการพิสูจน์ว่าตนนั้นสามารถทำเรื่องราวเหล่านั้นได้
เฉินฉางเซิงบางทีอาจจะทำไม่ได้ หรือแม้แต่อวี๋เหรินเองก็คงไม่สามารถดำเนินปณิธานของจักรพรรดิไท่จงให้สำเร็จจนได้ เนื่องจากพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนดี
แต่นางทำได้
เนื่องจากนางไม่ใช่คนดี เรื่องราวทั้งหมดในวันนี้ล้วนเป็นที่ประจักษ์แล้ว
ท่านประสงค์จะทำลายล้างเผ่ามาร ข้าก็ทำได้ ท่านประสงค์จะให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ปกครองทั้งใต้หล้า ข้าก็ทำได้
และหากถึงในตอนนั้น ท่านใต้เท้าสังฆราชยังคงแซ่เฉิน จักรพรรดิยังคงแซ่เฉิน ฮ่องเต้เผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้นั้นในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์อย่างไรก็ต้องแซ่เฉิน
อย่างนั้น ท่านยังมีสิ่งใดที่ต้องไม่พอใจอีกเล่า ยังตัดใจจากสิ่งใดไม่ได้อีกเล่า
หากว่านาง มีผลคุกคามต่ออุดมการณ์ของซางสิงโจว วิธีการที่ไร้ความปรานีเหล่านั้นเป็นดั่งคลื่นที่สูงเทียมเมฆ อย่างนั้นตามการพิสูจน์ข้อนี้กลับเป็นผิวน้ำที่สงบ เมื่อสองสิ่งนี้รวมตัวกันขึ้น ก็จะบังเกิดคลื่นลูกใหญ่นับไม่ถ้วน คลื่นยักษ์ถาโถม จวบจนกระทั่งสูงเสียดฟ้า บดขยี้ปณิธานแรงต่อต้านทั้งหมดให้แหลกละเอียด
“สถานการณ์ทั้งหมดที่เจ้าสร้างขึ้นในวันนี้ล้วนสมบูรณ์แบบ จุดที่ยิ่งใหญ่และสง่างามนั้นราวกับจะแผดเผาทั้งใต้หล้า จุดที่ละเอียดอ่อนนั้นบ่งชี้ถึงจิตใจมนุษย์ ช่างยากที่จะทำลายเสียจริง”
ซางสิงโจวมองไปยังสวีโหย่วหรง เขาทั้งรู้สึกชื่นชมแล้วยังรู้สึกเสียดาย ก่อนเอ่ยว่า “เนื่องจากบุคคลที่สามารถข่มขู่เจ้าได้ ล้วนมิใช่ศัตรูของเจ้า”
ความหมายของประโยคสุดท้ายนี้ค่อนข้างซับซ้อน ทั้งยังกระอักกระอ่วน มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้
“เฉินฉางเซิง เชื่อมั่นในตัวข้า ดังนั้นจึงยังคงสงบนิ่งอยู่ น่าเสียดายก็คือเขาคาดคะเนผิดแล้ว”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “แน่นอน ข้าเชื่อว่าเขาต้องมีการเตรียมการเอาไว้เป็นแน่ ดังนั้นข้าเองก็ต้องมีการเตรียมการ”
ซางสิงโจวถอนใจก่อนเอ่ยว่า “คาดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่เขาเองเจ้าก็ไม่ยอมปล่อย”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ในเมื่อข้าต้องการจะชนะท่าน แน่นอนว่าก็ต้องเอาชนะเด็กนักเรียนทั้งสองของท่านเสียก่อน”
ถึงได้มีการสนทนาในวังหลวงกลางดึกฉากนั้น ไหนจะบทสนทนาข้างร้านหม้อไฟกระดูกวัวบนถนนฝูสุยอีก
ซางสิงโจวมองนางเงียบๆ จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “หากว่าข้าไม่ได้โน้มน้าวเขา บางทีวันนี้เจ้าก็อาจจะชนะก็จริงๆ”
ติดตามมาหลังจากประโยคนี้เอ่ยจบ จู่ๆ ด้านในของสุสานเทียนซูก็บังเกิดลมพัดแรง พัดเอาเศษหินและกิ่งไม้เหล่านั้นบนถนนเสินปลิวว่อน
ลมพัดก็เพราะว่าเมฆคล้อยต่ำ
ขอบฟ้าบังเกิดเมฆก้อนหนึ่งตกลงตรงเขตชานเมืองทางตอนใต้ของเมืองหลวง หลังจากนั้นจึงลอยตัวเข้ามายังด้านในของสุสานเทียนซู
ข้อห้ามของสุสานเทียนซู เมื่อพบกับเมฆก้อนนี้เข้าก็ราวกับใช้ไม่ได้เสียอย่างนั้น ไม่นาน เมฆก้อนนี้ก็ลอยมาถึงทางตอนใต้ของถนนเสิน
เขาที่ซางสิงโจวเอ่ยถึง ก็คือเมฆก้อนนั้น คือปัญญาชนผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์ธรรมดาผู้นั้น
ด้านนอกและด้านในของสุสานเทียนซู คนนับหมื่นนับพันมองเห็นปัญญาชนผู้นี้โดยสารเมฆมาถึงที่นี่ ความตกตะลึง การคาดเดา หลังจากนั้นจึงเริ่มเบิกบาน หรือแม้แต่กระทั่งร่าเริง
สวีโหย่วหรงมองไปยังปัญญาชนผู้นี้ สีหน้ายังคงปกติอยู่ เพียงแต่ปรากฏความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียออกมาเล็กน้อย นั่นเป็นความเหนื่อยล้าทางจิตวิญญาณเท่านั้น
หลังจากนั้น นางก็รู้สึกน่าหัวเราะเยาะ และยังคงเป็นการเยาะหยันทางจิตวิญญาณเท่านั้น
……
……
เมื่อมองไปยังกลุ่มคนมากมายที่อยู่กลางจัตุรัส สีหน้าของหู้ซานสือเอ้อร์ก็แทบจะดูไม่ได้
ตั้งแต่ตอนแรกที่อยู่ในร้านหม้อไฟกระดูกหมูบนถนนฝูสุย เฉินฉางเซิงเอ่ยว่าเชื่อใจสวีโหย่วหรงว่าจะไม่ทำเยี่ยงนั้นแน่นอน เขาก็เริ่มกังวลใจแล้ว
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนเป็นที่ประจักษ์แล้ว ความกังวลของเขาในตอนนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
อันหวานำศิษยานุศิษย์กว่าร้อยคน คุกเข่าอยู่ท่ามกลางจัตุรัส มือทั้งสองข้างถือดาบที่เงาวับและคมกริบเอาไว้
คำขอร้องของพวกเขาง่ายมาก นั่นก็คือ การคุกเข่าขอร้องไม่ให้ท่านใต้เท้าสังฆราชทรงดำเนินออกจากพระราชวังหลี ไม่ให้เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสุสานเทียนซู
หากว่าเฉินฉางเซิง ไม่ยอมตอบรับคำขอร้องของพวกเขา พวกเขาก็จะปลิดชีวิตตัวเองต่อหน้าเฉินฉางเซิงเสีย
พวกเขาล้วนเป็นผู้ติดตามที่บ้าคลั่งของเฉินฉางเซิง เพื่อความเฉินฉางเซิงและสำนักฝึกหลวงที่ยิ่งใหญ่สืบไปชั่วลูกชั่วหลาน แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้พวกเขาต้องสามารถทำมันแน่
หู้ซานสือเอ้อร์หันกลับไปมองตำหนักที่เงียบเชียบแห่งนั้นปราดหนึ่ง สีหน้าเป็นกังวล แต่เห็นได้ชัดว่ากังวลปัญหาคนละเรื่อง
เมื่อได้ยินเสียงเหล่านั้นที่เล็ดลอดมาจากด้านนอกตำหนัก เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยคำพูดใด
ท่านผู้เฒ่าที่สวมอาภรณ์สีเทาในมือกำลังถือพู่กันอยู่แถวนั้น เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าไร้ความอดทนว่า “รีบทำให้หญิงชายผู้โง่เขลาเบาปัญญาเหล่านั้นหุบปากเสีย”
บุคคลที่อาจหาญปฏิบัติต่อท่านใต้เท้าสังฆราชอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจนี้ แทบจะหาได้ยากมากบนโลกใบนี้
แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อคราวที่เคยพบกันครั้งแรก ณ ภูเขาหิมะ ท่านผู้อาวุโสท่านนี้มีท่าทีดูถูกดูแคลนต่อเฉินฉางเซิงเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นราชามารประสงค์จะกลืนกินเฉินฉางเซิงเสีย ท่านผู้อาวุโสและปัญญาชนผู้ขี่เมฆาท่องสี่นทีก็ปรากฏตัวขึ้น
ท่านผู้อาวุโสปรากฏตัวด้านในห้องศิลาของพระราชวังหลี เฝ้ามองดูเฉินฉางเซิงหลายวันแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นตัวแทนเจตนาของปัญญาชนท่านนั้น
เฉินฉางเซิงคือใต้เท้าสังฆราช ก็เท่ากับไม่มีทางปฏิเสธเจตนาของปัญญาชนท่านนั้นได้
และในสายตาของหลายคน ปัญญาชนท่านนั้นมีเจตนาดี
และแน่นอนว่าตอนนี้เฉินฉางเซิง ได้ทราบถึงสถานะของผู้อาวุโสท่านนี้แล้ว
เขาก็คืออู๋เต้าจื่อ จิตกรปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งใต้หล้าในยุคสมัยไท่จง
ภาพวาดเหล่านั้นที่อยู่ด้านในหอหลิงเยียน ล้วนเป็นฝีมือการวาดของเขา
ในวันนั้นเมื่อมองเห็นท่านอู๋เต้าจื่อเดินออกมาจากกำแพงสีเทา เฉินฉางเซิงก็ทราบทันทีว่า สวีโหย่วหรงพ่ายแพ้แล้ว
สุดท้ายแล้วนางก็ยังคงปรามาสอาจารย์เกินไป หรืออาจจะกล่าวได้ว่าประเมินค่าผู้อาวุโสเหล่านี้ต่ำเกินไป
ผู้อาวุโสเหล่านี้ก็คือกลุ่มผู้อาวุโสเหล่านั้นที่อยู่บนถนนไร้ผู้คนในเมืองเวิ่นสุ่ย และเป็นผู้อาวุโสที่เขาเองก็เคยนึกถึง
เป็นผู้อาวุโสเหล่านั้นที่ผ่านสงครามหนองเลือดมาแล้วนับไม่ถ้วน และเป็นคนที่เคยเห็นทะเลกลายเป็นทุ่งนา ทุ่งนากลายเป็นทะเลอย่างแท้จริงมาแล้ว
เฉินฉางเซิงและอู๋เต้าจื่อเดินออกไปนอกตำหนัก
หู้ซานสือเอ้อร์มองไปยังผู้อาวุโสที่สวมอาภรณ์สีเทา สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่กล้าเอ่ยถามอันใด เขาเดินเข้าไปหาเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยเตือนเสียงเบาสองสามคำ
อู๋เต้าจื่อยิ่งเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
เฉินฉางเซิงมองขึ้นไปยังท้องฟ้าสีหม่น จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ลงมือได้”
ทหารม้าห้อตะบึงมาถึงจากทิศทางของตำหนักหญ้าจันทราก่อนเริ่มบุก ไฟสงครามเริ่มจุดขึ้นแล้ว
หู้ซานสือเอ้อร์สีหน้าเปลี่ยนไปทันที อยากจะคุกเข่าลงขอร้อง แต่กลับถูกเฉินฉางเซิงผลักออกเสีย
ร่างกายของเขาล้มคว่ำไปด้านหน้า ถาโถมเข้าหาเบื้องหน้าของอู๋เต้าจื่อทันที
ไม่รู้ว่าเมื่อใด มีดสั้นที่มืดครึ้มเล่มหนึ่งก็ปรากฏในมือของเขา
สีหน้าของเขายังปรากฏความเจ็บปวดและความลังเลใจ แต่แววตากลับสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด
ราวกับแสงสว่างจากกระบี่ที่มืดครึ้มที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเล่มนั้น ไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากคนผู้ใดได้เลย
อู๋เต้าจื่อมีสีหน้าเปลี่ยนไป ริมฝีปากเขาปรากฏเสียงคำรามที่เด็ดขาดออกมา พลังแข็งแกร่งยากจะจินตนาการ ตกลงตามการวาดภาพ
เกิดเสียงดัง ปัง ต้นหลิวที่ดำมืดแหวกอากาศมาถึงยังที่แห่งนี้ พร้อมกุมด้ามพู่กันวาดภาพนั้นเอาไว้แน่น
ศิลาดาวตกก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นบนจัตุรัสราวกับเหวลึก ดึงดูดสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน จนกลายเป็นฉากกำบัง
เสียงดัง ฉึก มีดสั้นแทงเข้าที่ฝ่าเท้าของอู๋เต้าจื่อ โลหิตสาดพุ่ง
หู้ซานสือเอ้อร์ก้มศีรษะลง นั่งยองๆ ตรงหน้า เขาดึงมีดสั้นออกมาด้วยสีหน้าไร้เยื่อใย และแทงเข้าที่ท้องน้อยทันที