ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 42 ปัญหาของสวีโหย่วหรง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ราชันแห่งหลิงไห่กับนักพรตซือหยวนไม่ทราบว่ามาถึงสองฟากของจัตุรัสเมื่อใด

เหล่าพลทหารม้าที่เพิ่งจะเริ่มบุกเข้ามา ก็หยุดฝีเท้าลง เหล่าผู้คลั่งไคล้ศรัทธาเมื่อครู่ยังคงร้องไห้อยู่ ตอนนี้ก็โดนอันหวาพาล่าถอยไปยังแดนไกล เอาแต่มองย้อนกลับเป็นพักๆ สถานการณ์ยังคงเหมือนว่าอยู่กลางสมรภูมิเลือด สีหน้าท่าทางก็ดูกระวนกระวายหวาดกลัวขึ้น

นอกจากลมปราณของกิ่งหลิวแห่งรัตติกาลกับศิลาดาวตกแล้ว แผนที่บรรพตนทีกับตราประทับเทียนไหว้ก็เคยปรากฏขึ้นในพระราชวังหลี

ภายใต้การกดดันอย่างกะทันหันในค่ายกลใหญ่พระราชวังหลีนั้น อู๋เต้าจื่อก็เสียโอกาสในการตอบโต้ครั้งสุดท้ายนี้ไป

ดาบสั้นแทงเข้ามายังหน้าท้องส่วนล่างของเขา หากว่าสายตาดีสักหน่อย ก็คงจะมองเห็นได้ว่าดาบเล่มนั้นหมุนในท้องเขาไปครึ่งรอบ

อู๋เต้าจื่อกรีดร้องออกมาอย่างทรมาน พู่กันเขียนภาพในมือและถาดสีที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อก็ร่วงลงมา ตกกระทบพื้นศิลาเขียวจนแตกเป็นเสี่ยง

หู้ซานสือเออร์ดึงดาบออกจากอู๋เต้าจื่อ แล้วจึงหันดาบพุ่งไปแทงเข้าที่ฝ่าเท้าอีกข้างที่ยังปกติดีอยู่ของอู๋เต้าจื่อ รวดเร็วและมั่นคง ทั้งยังแม่นยำ

ในขณะที่ทำเรื่องพวกนี้อยู่ สีหน้าของเขาเงียบสงบมาก หรือจะพูดได้ว่าจดจ่อมากก็ได้ ราวกับว่าลืมเลือนทุกสิ่งที่อยู่นอกกายไปเสียสิ้น

อู๋เต้าจื่อก็กรีดร้องออกมาด้วยความทรมานอีกครั้ง ร่างของเขาร่วงลงไปกองกับพื้น ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะตะเกียกตะกายขึ้นมาอีกครั้ง

โลหิตสีสดทะลักไหลออกมาจากกายของเขาไม่หยุด มองดูแล้วคาวเลือดและโหดเหี้ยมป่าเถื่อนอย่างน่าประหลาด

ในฐานะจิตรกรเอก อู๋เต้าจื่อก็ค่อนข้างมีด้านที่ล้ำเลิศกว่าบุคคลธรรมดาอยู่มาก แม้ว่าจะเริ่มฝึกบำเพ็ญในภายหลังก็ตาม มีชีวิตมาแล้วพันปี ระดับขั้นเองก็ได้ไปถึงจุดที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้แล้ว แม้ว่าจะโดนค่ายกลใหญ่พระราชวังหลีกำราบ ก็ไม่อาจจะหนีรอดและต่อต้านได้ไวอย่างนั้น

แต่ว่ากับเรื่องนี้มิอาจพลาดได้ แถมภายหลังหลังจากออกไปแล้ว ไม่อาจทิ้งโอกาสตอบโต้ใดๆ แก่ฝ่ายตรงข้ามได้ ดังนั้นเฉินฉางเซิง ก็ทำได้เพียงใช้วิธีป่าเถื่อนบ้าเลือดเช่นนี้ ใช้ดาบหู้ซานสือเออร์ที่บ้าดีเดือดเล่มนี้

กิ่งหลิวรัตติกาลลอยขึ้นจากพื้น แล้วกลับคืนมือของราชันแห่งหลิงไห่ ศิลาดาวตกเปล่งประกายแสงหลายครา แล้วก็กลับคืนสู่ฝัก

“เจ้าไม่ตายหรอก ดังนั้น ไม่ต้องกังวลไป”

เฉินฉางเซิงปลดเข็มทองออก แล้วปักลงไปบนจุดลมปราณสำคัญหลายจุดของอู๋เต้าจื่อเพื่อช่วยห้ามเลือด

สีหน้าของอู๋เต้าจื่อซีดเผือด ด้วยความรู้สึกที่ทั้งโกรธและไร้สาระอย่างยากที่จะหยุดได้ “พวกเจ้ากล้าทำร้ายข้าเชียวรึ!” อู๋เต้าจื่อเอ็ดด่าขึ้น

เฉินฉางเซิงหยิบยาลูกกลอนออกมาจากแขนเสื้อสามเม็ดก่อนป้อนเข้าไปในปากของเขา ไม่ได้ตอบสิ่งใด

อู๋เต้าจื่อสบถออกมาว่า “นี่คือเจตนาของใต้เท้าหวัง”

เฉินฉางเซิงยังคงไม่สนใจเขา ง่วนอยู่กับการดูว่าบาดแผลที่เท้าของเขาไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

อู๋เต้าจื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ทวีคูณเพิ่มมากขึ้น และอารมณ์โกรธก็พุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุดเช่นกัน มองไปยังเขาและผรุสวาทออกมา คำพูดคำจามากขึ้นเรื่อยๆ

เฉินฉางเซิงมองไปยังเขาด้วยแววตาที่เงียบสงบ แต่แววตาเปล่งประกาย

หู้ซานสือเอ้อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ฝ่าบาท ให้ลงอีกสักดาบดีหรือไม่”

อู๋เต้าจื่อชั่วครู่ก็รู้สึกราวกับท้องถูกบิดเป็นเกลียว เขาหวาดกลัวถึงขีดสุด หลังจากคิดได้ก็หุบปากทันที

อันหวามาถึงยังที่แห่งนั้น

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้ายกเขาให้เจ้า”

อันหวาทราบถึงสถานะที่แท้จริงของชายชราชุดคลุมเทาผู้นี้ พลันยำเกรงขึ้นเล็กน้อย ทว่าก็ยังพยักหน้าเป็นการรับคำ

เฉินฉางเซิงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “หลังจากนี้ในพระราชวังหลีจะว่างเปล่า หากมีคนมา……”

อันหวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “ข้าจะฆ่าสังหารเขาเอง”

เฉินฉางเซิงมองไปยังนางอย่างเงียบสงบแต่จริงจัง พร้อมเอ่ยว่า “ความหมายของข้าคือ ไม่ว่าใครหน้าไหนมาก็ตาม”

ประโยคนี้สื่อถึงปัญญาชนวัยกลางคนผู้นั้น

หากจะพูดถึงสถานะในจิตใจของประชาชน หรือจะพูดถึงชื่อเสียงบารมีนั้น เขาก็นับว่าสั่งสมมาอย่างหลายปี ก็ยังเทียบอีกฝ่ายไม่ติด

ก็มีเพียงแต่คนอย่างอันหวานี้ ถึงจะสามารถไม่มองถึงการมีอยู่ของฝ่ายตรงข้ามเพราะเขา

“ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่มา ข้าก็จะสังหารให้สิ้นซาก”

การตอบรับของอันหวาครั้งนี้เร็วมาก เสียงก็เงียบสงบลงไม่สั่นอีกต่อไปแล้ว รู้สึกได้ถึงความแน่วแน่

ราชันแห่งหลิงไห่กับนักพรตซือหยวนมองอย่างชื่นชม ท่านแรกก็สอนนางเพิ่มอีกอย่างว่า

“จงจำไว้ต้องตัดศีรษะทิ้ง ถึงจะสามารถรับประกันได้ว่าสิ้นชีวิตแล้ว”

เมื่อได้ฟังคำพูดดังกล่าว อันหวาที่กว่าจะสงบลงได้พลันรู้สึกงงงวยอีกครั้ง

สุดท้าย หู้ซานสือเอ้อร์นำดาบสั้นของตนใส่ในมือของนาง ก่อนยกยิ้ม แล้วเอ่ยว่า “ดาบเล่มนี้ของข้าค่อนข้างไว”

เสียงกีบเท้าม้าดังขึ้น ฝุ่นตลบอบอวลฟุ้งขึ้นและกระแทกอย่างแรง พระราชวังหลีแลดูเงียบสงัดอีกครั้งในเวลาอันรวดเร็ว

เหล่าผู้เลื่อมใสธรรมดาเหล่านั้นยังอยู่ภายนอก ในจัตุรัสนั้นเหลือเพียงอู๋เต้าจื่อที่จมอยู่ในกองโลหิตรวมถึงอันหวาที่มือทั้งสองกำดาบสั้นเอาไว้แน่น

เหล่าทหารม้าทั้งสองพันดำเนินออกมาจากพระราชวังหลีตามแนวถนนเสิน ไม่รู้ว่าทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายเท่าใด

เหล่าอาจารย์และผู้ทำหน้าที่รวมถึงราชันแห่งหลิงไห่ นักพรตซือหยวน หู้ซานสือเอ้อร์ล้วนจากไปแล้ว

ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น โก่วหานสือที่อยู่ในวิหารปฏิญญารวมถึงลูกศิษย์พรรคหลีซานก็จากไปแล้ว อาจารย์หอจงซื่อก็จากไปแล้ว

ในพระราชวังหลีนั้นไม่มีผู้ใด เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางด้านสุสานเทียนซูนั้น ด้านนอกพระราชวังหลีไม่มีผู้ใดแล้ว

ทว่าเหล่าผู้เข้าสอบที่เข้าร่วมการสอบใหญ่นั้นกลับไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ เหล่าอาจารย์ที่ควบคุมการสอบใหญ่ในโลกใบไม้ครามเองก็ยังไม่ทราบ

หากมีคนวิเคราะห์เรื่องนี้ อาจจะพบว่าเหล่าอาจารย์ที่อยู่ในโลกใบไม้ครามเหล่านั้นล้วนเป็นขั้วอำนาจเดิมของสำนักฝึกหลวง

แน่นอนว่า สำนักการศึกษากลางเดิมทีก็เป็นแหล่งรวมตัวของขั้วอำนาจเดิมของสำนักฝึกหลวง ฉะนั้นการที่สำนักการศึกษากลางรับผิดชอบการสอบใหญ่ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว

ก่อนอื่น ผู้ใดก็ไม่อาจต่อต้านต่อการตัดสินใจนี้ของท่านใต้เท้าสังฆราช

หญิงสาวชุดดำหอบเอากระถางใบไม้ครามขึ้นมา ก่อนเดินไปทางตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์

สำนักการศึกษากลางกว่าครึ่ง ก็ถูกนางโอบอุ้มเอาไว้อย่างนี้

สีหน้าของนางเฉยเมยนัก เนื่องจากนางคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ปกตินัก

วันนี้ นางต้องทำการใหญ่มากมายนัก

อาทิเช่น แก้แค้นต่อปัญญาชนวัยกลางคนผู้นั้น

……

……

แน่นอนว่าปัญญาชนวัยกลางคนนั้นต้องหมายถึง หวังจือเช่อ

จะนิยามเขาว่าอย่างไรดีเล่า

นิยามอย่างไร ล้วนไม่คู่ควรกับคนผู้นี้

เขาช่างอัศจรรย์อย่างแท้จริง

เขามีฐานะอย่างยากจะจินตนาการได้บนหน้าประวัติศาสตร์เผ่าพันธุ์มนุษย์ นอกเสียจากเป็นฮ่องเต้แล้ว ต่อให้ตราบจนกระทั่งตอนนี้ เขายังคงเป็นผู้นำที่น่าเชื่อถือที่สุดในเผ่ามาร เป็นมิตรที่แน่นแฟ้นที่สุด ในขณะเดียวกันเขายังเป็นผู้แข็งแกร่งที่น่าเคารพที่สุดที่เหล่าขุนนางเผ่ามารในเมืองเสวี่ยเหล่า

มองไปยังหวังจือเช่อ สวีโหย่วหรงจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา

นางแจ้งแก่ใจนัก ถึงแม้ว่าจะล้วนเป็นผู้อาวุโสยุครัชสมัยไท่จง แต่ความสัมพันธ์ของหวังจือเช่อและซางสิงโจวนั้นไม่ค่อยดี

แต่ตอนปลายรัชสมัยไท่จง ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคงคลุมเครือและอันตราย

ก็เหมือนกับในตอนนี้ที่อู๋เต้าจื่อที่ยังคงอยู่ในพระราชวังหลี คนที่เขาเกรงกลัวที่สุดในโลกก็คือราชามารเฒ่าผู้นั้น คนที่สองก็คือซางสิงโจว

หรืออาจจะเป็นนักพรตจี้

รูปวาดเหล่านั้นที่หอหลิงเยียนล้วนเป็นฝีมือการสรรค์สร้างของอู๋เต้าจื่อ

แต่บุคคลเหล่านั้นในรูปภาพ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่ถูกนักพรตจี้สังหารทั้งสิ้น

เวลามิอาจกำจัดเจตนาการเป็นศัตรูและความหวาดกลัวได้ ต่อให้หลายร้อยปี พวกเขาควรจะเป็นศัตรูกันจึงจะถูก เหตุใดวันนี้จึงได้มาร่วมมือกันเล่า

สวีโหย่วหรงมิได้เอ่ยถาม เนื่องจากนางทราบคำตอบดี

ก็เป็นเพียงคำกล่าวที่ว่า สถานการณ์ใหญ่เท่านั้น ใต้หล้า เผ่ามาร ยกพลขึ้นเหนือ

ทันใดนั้นนางก็คิด หากเหนียงเหนียงยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เยี่ยงนี้จะทำเยี่ยงไร

เหนียงเหนียงคงถอนใจด้วยเสียงเยาะเย้ยและดูแคลนว่า บุรุษนี่นะ…

เมื่อคิดถึงภาพนี้ รอยยิ้มของสวีโหย่วหรงก็สว่างไสวขึ้นมา

หวังจือเช่อเอ่ยถาม “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์หัวเราะด้วยเหตุใดหรือ”

สวีโหย่วหรงหรี่รอยยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “เนื่องจากข้านึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมาได้”

หวังจือเช่อเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “เชิญเอ่ย”

“เมื่อต้องการให้ท่านปรากฏตัวท่านมักไม่ปรากฏตัว เมื่อไม่ต้องการให้ท่านปรากฏตัวท่านกลับกระโดดออกมา”

สวีโหย่วหรงมองไปที่เขาก่อนเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ใต้เท้าหวังเองเลอะเลือนไปแล้วใช่หรือไม่”