เกี่ยวกับเรื่องราวหลายปีมานี้ ผู้บันทึกประวัติศาสตร์มีหลายวิธีในการแบ่งรัชสมัย ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือในสมัยที่ราชวงศ์ต้าโจวสร้างเมือง ก็มีหลายคนเลือกเอาความโกลาหลในสวนร้อยหญ้าและการขึ้นครองบัลลังก์ของจักรพรรดิไท่จงเป็นจุดเริ่มต้น มีคนจำนวนมากที่เลือกการปรากฏตัวต่อโลกของหวังจือเช่อให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ โดยแบ่งหนึ่งพันกว่าปีออกเป็นก่อนประวัติศาสตร์และหลังประวัติศาสตร์ของเขา
เนื่องจากในสงครามของเผ่ามารบุกขึ้นเหนือ บทบาทของเขาสำคัญมากเกินไป ทั้งยังมีความเป็นตำนานเป็นอย่างยิ่ง
วันนี้เป็นวันแรกในหน้าประวัติศาสตร์ ในขณะเดียวกันก็ถือเอาการปรากฏตัวของเขานี้แบ่งเป็นสองช่วงก่อนและหลัง
ก่อนหน้าที่หวังจือเช่อจะปรากฏตัวนั้น ด้านในและด้านนอกของสุสานเทียนซูเต็มไปด้วยบรรยากาศที่คุมเชิงกันอย่างประหวั่นพรั่นพรึง ทุกคนล้วนรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยและความกังวลอย่างถึงที่สุด หลังจากการปรากฏตัวขึ้นของเขาอารมณ์ความรู้สึกด้านลบทั้งหมดก็พลันหายไป สีหน้าของหลายคนปรากฏความเบิกบานออกมา หรือแม้กระทั่งจะเรียกได้ว่าบ้าบิ่นเลยก็ว่าได้
ในที่สุดทุกคนก็แน่ชัดแล้วว่าข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริง เขายังมีชีวิตอยู่ อย่างนั้นแน่นอนว่าเขาต้องสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดที่เผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ได้
กระทั่งแม้แต่แสงอาทิตย์ของต้นฤดูใบไม้ผลิก็ล้วนใกล้จะเจิดจ้าสว่างไสวออกมาล่วงหน้าเสียอย่างนั้น
ในเวลานี้เอง พวกเขาได้ยินคำพูดหนึ่ง
“ใต้เท้าหวัง ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร”
……
……
การสนทนาของหวังจือเช่อและสวีโหย่วหรงมิได้จงใจปิดบังต่อผู้คนที่อยู่ทั้งด้านในและด้านนอกของสุสานเทียนซู
เหตุผลแรกก็เนื่องด้วยอุปนิสัยและความเชื่อมั่นที่ว่าไม่มีเรื่องใดที่เปิดเผยไม่ได้ อีกประการหนึ่งก็คือผิดหวังเล็กน้อยถึงเจตนารบที่ติดตามมา
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ของสวีโหย่วหรง ด้านในและด้านนอกของสุสานเทียนซูพลันเกิดเสียงดังเกรียวกราวอื้ออึ้ง
คำว่าใต้เท้าหวังที่นางเรียกขานนี้คือคำเรียกขานของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั่วทั้งดินแดนเพื่อให้ความเคารพแก่หวังจือเช่อ นางกลับเปลี่ยนคำเรียกเป็น ‘ท่าน’ แล้ว
แต่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่คิดว่าประโยคนี้เป็นการเอาใจใส่อย่างแท้จริง
ต่อให้นางเป็นถึงเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ เป็นความภาคภูมิใจและเป็นลูกคนโปรดในหลายปีมานี้ของเมืองหลวง แต่ผู้คนก็ยังคงไม่มีทางรับได้เมื่อเห็นนางไร้มารยาทต่อ หวังจือเช่อเยี่ยงนี้
ด้านนอกสุสานเทียนซูเกิดเสียงวิจารณ์กึกก้อง ทั้งยังมีเสียงตำหนิด้วยความโกรธเกรี้ยวสอดแทรกอยู่ในนั้นด้วย
ต่อให้เป็นผู้อาวุโสแห่งหอกระบี่เขาหลีซานที่อยู่ในป่าหนานลู่ก็ตาม หรือแม้แต่ ผู้แข็งแกร่งแห่งพรรคต่างๆ เหล่านั้นก็ล้วนขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
หญิงชราจากตระกูลมู่เจ้อ และผู้นำตระกูลอู๋ลองสบตากัน ก่อนส่ายหน้าอย่างไร้คำพูด ยิ่งไปกว่านั้นคือท่าทีที่เตรียมจะยอมแพ้ละทิ้งเมืองหลวงแล้ว
สวีโหย่วหรงไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวเหล่านั้นที่อยู่ด้านนอกสุสานเทียนซู แล้วก็ไม่ได้สนใจในปฏิกิริยาตอบสนองของเหล่าผู้แข็งแกร่งจากแดนใต้
นางมองไปยังหวังจือเช่อด้วยสีหน้าสงบ
ซางสิงโจวอยู่ด้านในของค่ายกลกระบี่ เขามองไปยังภาพที่เกิดขึ้นอย่างเฉยเมย ไม่ได้เอ่ยคำใด
หวังจือเช่ออยู่ด้านนอกของค่ายกลกระบี่ เขายกยิ้มเล็กน้อย ราวกับไม่ได้สนใจท่าทีดูแคลนของนางที่มีต่อตนเลย
เขาเชี่ยวชาญคัมภีร์เต๋า อ่านขาดเรื่องราวทางโลก แน่นอนว่าต้องเข้าใจอารมณ์ของสวีโหย่วหรงในตอนนี้ รวมถึงอารมณ์ตอนนี้ว่าเกิดขึ้นมาจากสิ่งใด
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า ยามให้เขาปรากฏตัว เขากลับไม่ปรากฏตัว แน่นอนว่านี่ต้องหมายถึงยามที่ดินแดนนี้ต้องการเขานั่นเอง
อาทิเช่นเรื่องราวเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนในการต่อสู้ที่ราวกับทะเลโลหิตในสำนักฝึกหลวงนั้น หรืออาทิเช่นการเปลี่ยนแปลงที่สะเทือนสวรรค์ครานี้ซึ่งเกิดในสุสานเทียนซูเมื่อสามปีก่อน
ห้วงเวลาการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญเหล่านี้หวังจือเช่อก็ไม่ปรากฏตัว แต่เขาเคยปรากฏตัวในเวลาอื่น
เมื่อเขาจากเมืองหลวงไปอย่างหมดอาลัยตายอยากในปีนั้น ก็ไม่ได้อยากสนใจในการเปลี่ยนแปลงของอำนาจในราชสำนักอีก
เขาท่องเที่ยวไปทั่วแคว้น เร้นตัวในป่าลึก
แต่เขายังคงให้ความสนใจในอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ดังนั้นในตอนแรกที่ราชามารประสงค์จะสังหารเฉินฉางเซิงนั้น เขาได้ปรากฏตัวขึ้นที่ภูเขาหิมะ
คืนที่ราชามารเสียชีวิตนั้น เขาได้ปรากฏตัวขึ้นที่สันเขาหิมะ
หลายวันก่อนที่เมืองไป๋ตี้เกิดเหตุวุ่นวายภายใน เขาก็ปรากฏตัวในทุ่งหิมะทางตอนเหนือ
หวังจือเช่อเอ่ยว่า “ข้าเคยพบเฉินฉางเซิงแล้ว”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ข้าทราบ”
หวังจือเช่อเอ่ยว่า “ในตอนนั้นข้ายังเตรียมตัวจะไปพบชิวซานและเจ้าเลย”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “วันนี้ได้พบแล้ว ผิดหวังใช่หรือไม่”
หวังจือเช่อยกยิ้มก่อนส่ายหน้า
เขาไม่ได้สนใจในกริยาไร้มารยาทของสวีโหย่วหรงเมื่อครู่
เขามองว่า นี่เป็นเพียงแค่อารมณ์ความโกรธของเด็กสาวที่เหนื่อยยากลำบากมาหลายวันแต่กลับพบว่าหาวัสดุเพื่อมาประกอบเป็นเครื่องประทินโฉมได้ไม่ครบเท่านั้น
การแสดงออกในวันนี้ของสวีโหย่วหรงยอดเยี่ยมมากเพียงพอแล้ว หากเอ่ยว่าผิดหวังก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก
เพียงแต่ในวันนี้เขาค่อนข้างมั่นใจว่าหนทางที่นางเลือกนั้นคือ ผู้ปกครองสูงสุดไม่หวั่นไหวตามอารมณ์
ทว่าแต่ไหนแต่ไรเขานั้นเป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวง่ายผู้หนึ่ง
ปณิธานที่แตกต่าง ไม่อาจหารือด้วยกันได้
คนแปลกหน้าสองคน แน่นอนว่าเป็นได้เพียงคนแปลกหน้า
นี่ทำให้ เขารู้สึกเสียดาย
“เจ้าเอ่ยว่าเจ้าอยากลอง ข้าก็อยากลองดูเช่นกัน”
หวังจือเช่อมองไปยังสวีโหย่วหรง ก่อนเอ่ยว่า “ข้าอยากลองโน้มน้าวให้เจ้าละทิ้งความคิดอันบ้าคลั่งเช่นนี้”
“โน้มน้าวรึ”
สวีโหย่วหรงยกมุมปากขึ้น ก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
แต่ในครั้งนี้น้ำเสียงยิ้มเยาะในรอยยิ้มของนางเด่นชัดขึ้นเป็นอย่างมาก
สำหรับนางแล้ว หวังจือเช่ออยากจับโน้มน้าวให้นางยอมแพ้ นั่นก็หมายถึงว่าเขาเองก็ได้ตัดสินใจเลือกแล้วเช่นกัน
อีกทั้ง เขาเองก็ได้ทำการตัดสินใจเลือกแทนทุกคนในเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดแล้ว
นอกจากยอมรับแล้วนางยังมีทางเลือกใดอีกเล่า
การโน้มน้าวอย่างนี้ไม่ใช่การโน้มน้าวอย่างแท้จริง เนื่องจากนี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหลักการเลย
ในวันนี้สวีโหย่วหรงสามารถบีบบังคับซางสิงโจวมาจนถึงจุดนี้ได้ ก็เนื่องด้วยสุดท้ายแล้วนางมิได้คาดหวังชัยชนะ แต่หวังให้ทั่วทั้งโลกล้วนถูกแผดเผา
นี่เป็นวิถีกระบี่ของโจวตู๋ฟู
ที่หนังสามารถทำทุกอย่างได้ เนื่องจากมีขุมพลังมากมายยินยอมที่จะติดตามนาง
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวขุนนางพรรคสำนักเหล่านั้นทางตอนใต้หรือแม้แต่ทหารม้าแห่งสำนักฝึกหลวงและผู้เลื่อมใส
เมื่อหวังจือเช่อปรากฏตัวขึ้น สถานการณ์ตอนนี้ของนางก็ถูกทำลายทันที
ไม่ต้องเอ่ยว่าเขาเดิมทีก็เป็นบุคคลที่ระดับขั้นลึกล้ำยากคาดเดา เป็นผู้แข็งแกร่งสูงสุดที่มีชื่อเสียงทัดเทียมจักรพรรดิไท่จงและโจวตู๋ฟู
เพียงแค่ชื่อของเขาก็เพียงพอจะแก้ไขสถานการณ์ทั้งหมดนี้
ชื่อเสียงของเขาสูงส่ง ไม่มีผู้ใดบนโลกใบนี้ที่สามารถทัดเทียมได้
เมื่อเขายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสวีโหย่วหรง ผู้ใดยังจะติดตามนางเล่า
เหล่าเด็กสาวจากสถานศึกษาหนานซีมิได้ลดกระบี่ในมือลง แต่เมื่อทราบถึงฐานะของหวังจือเช่อแล้ว สีหน้าพวกนางก็ดูผิดปกติ
ทางใต้ของสุสานเทียนซูและเหล่าผู้แข็งแกร่งของสำนักฝึกหลวงที่อยู่ในเมืองหลวง จะมีผู้ใดกล้าลงมือกับหวังจือเช่อเล่า
ต่อให้ยังคงมีคนจงรักภักดีต่อนาง แต่นางคงไม่สามารถทำให้ทั่วทั้งโลกล้วนถูกแผดเผาอย่างเป้าหมายได้แล้ว
หรือจะกล่าวอีกอย่างก็คือ นางคงไม่มีทางจะข่มขู่ซางสิงโจวได้อีกแล้ว
เมื่อมองจากมุมนี้ บุคคลที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาดาบสองท่อน เห็นได้ชัดว่ายังคงเป็นหวังจือเช่อ
จวบจนกระทั่งโจวตู๋ฟูได้กลับคืนสู่ทะเลดวงดาวในวันนั้น เขาเองก็ไม่สามารถเอาชนะพี่ใหญ่ของตนได้
แต่เขาทราบดี หากประสงค์จะทำลายกระบี่ผลาญโลกา ต้องลงมือก่อนเพลิงพิสุทธิ์ถือกำเนิด
สายลมในฤดูใบไม้ผลิยังคงเย็นยะเยือก จากด้านล่างของเมฆาไปยังทั้งสองด้านของถนนเสิน พัดเศษหญ้าปลิวว่อน
ควันและฝุ่นทั้งสองสายกำลังใกล้เข้ามา นั่นหมายความว่าทหารม้าเกราะดำที่น่ากลัวกำลังจะกลับเมืองหลวงแล้ว
ทั้งสวรรค์และพื้นดินต่างเงียบสงัด ทุกคนล้วนกำลังรอคอยให้สวีโหย่วหรงยอมรับการพ่ายแพ้ของตน
ทันใดนั้น พื้นดินที่สุสานเทียนซูก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
น้ำในลำคลองใสตื้นด้านหน้าถนนเซิน ลอยตัวขึ้นราวกับเศษกระดาษใส
ในแม่น้ำเส้นนั้นที่อยู่ล้อมรอบสุสานเทียนซู เกิดคลื่นขุ่นเล็กน้อยขึ้นมานับไม่ถ้วน พืชน้ำสีเขียวที่เพิ่งถือกำเนิดเกิดขึ้นถูกบดเสียจนเป็นผุยผง
เสียงสั่นสะเทือนนั้นมาจากทุ่งกว้างผืนนั้นที่อยู่ทางตอนใต้
เมืองหลวงมีสุสานเทียนซูกั้นอยู่ ที่โชคดีก็คือไม่มีบ้านหลังใดได้รับความเสียหาย ผู้คนนับไม่ถ้วนยังคงเดินออกมาบนถนนอย่างตื่นตระหนก มองดูแล้วราวกับมดมากมายนับไม่ถ้วน
ผู้คนต่างตกตะลึงผิดปกติ พลางมองไปทางทุ่งราบนั้น พวกเขามองเห็นภาพฉากที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด
เหล่าทหารม้าเกราะดำเหล่านั้นที่มาพร้อมกับฝุ่นหนาซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปเพียงสิบกว่าลี้เท่านั้น จู่ๆ ก็หายตัวไป
สิ่งที่มาแทนที่ก็คือหมอกควันและฝุ่นละอองที่มืดฟ้ามัวดิน ถาโถมขึ้นสู่ฟ้า มองดูแล้วคล้ายกับมังกรฟ้าตัวหนึ่ง
เมื่อมองไปทางหมอกควันและฝุ่นละอองที่น่าสะพรึงกลัวจากทุ่งราบผืนนั้น หวังจือเช่อและซางสิงโจว รวมไปถึงหวังผ้อและเซี่ยงอ๋องที่อยู่ด้านนอกสุสานเทียนซูก็สีหน้าเปลี่ยนไปพร้อมกัน
ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต้องสามารถเห็นได้ชัดเจนแน่ว่า มังกรฟ้านั้นเกิดขึ้นจากหมอกควันและฝุ่นละออง
ปัญหาก็คือ จุดกำเนิดของหมอกควันและฝุ่นละอองน่าจะเป็นฉากกำบังสุดท้ายที่หันไปทางใต้ของเมืองหลวง…เทือกเขาหมัวซาน
คิดไม่ถึงว่าเทือกเขาหมัวซานจะถล่มลงมาแล้ว!
……
……