หมวกเหล็กกับเสื้อเกราะสีดำเต็มไปด้วยฝุ่นหนา มองดูแล้วไม่รู้สึกว่าเก่า แต่กลับให้ความรู้สึกหวาดกลัว
แต่เหล่าขุนนางอาวุโสในราชวงศ์ต้าโจวทั้งหมดกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว ชาวนาที่อยู่ข้างทางเมื่อได้ยินเสียงกีบเท้าที่กึกก้องปานเสียงฟ้าคำราม มองไปยังหมวกเหล็กกับเสื้อเกราะสีดำบนร่างทหารม้าเหล่านั้น ก็ล้วนวางงานในท้องนาทิ้งไป ก้มลงกราบไม่หยุด เด็กน้อยที่เห็นแก่เล่นเหล่านั้นยิ่งตะโกนออกมาอย่างคึกคัก
แต่เนื่องจากพวกเขาทราบว่า ทหารม้าเหล่านี้ล้วนเป็นทหารชั้นยอดของกองทหารต้าโจว พาหนะนี้คืออาชาหลงเซียง เมื่อรวมกับหมวกเหล็กกับเสื้อเกราะสีดำอันมืดครึ้มเหล่านั้น พวกเขาเป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชวงศ์ต้าโจวรวมถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในปีนั้นจักรพรรดิไท่จงได้ก่อตั้งกองทัพอันคงกระพันด้วยตัวท่านเอง…กองทัพทหารม้าเกราะดำ
และที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงในตอนนี้คือกองทหารม้าในกองทหารม้าเกราะดำ
กองทหารม้าเกราะดำเหล่านี้สามารถพูดได้เลยว่าเป็นอาวุธที่น่ากลัวซึ่งมีอำนาจสังหารรุนแรงที่สุด พลานุภาพยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าเลยก็ว่าได้
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงเป็นผู้บังคับบัญชาของกองทหารม้าเกราะดำเหล่านี้
ในปีนั้นเฉินกวนซงเพิ่งจะได้รับตำแหน่งเจ้าสำนักเด็ดดารา เขาก็เป็นรองเจ้าสำนัก
ภายในช่วงเวลานั้น เขาถูกจักรพรรดินีเทียนไห่และรวมไปถึงผู้คนมากมายมองว่าเป็นสหายที่โดดเด่นที่สุดของเฉินกวนซง เป็นรองเจ้าสำนักที่น่าเชื่อถือที่สุด
สิบปีก่อนเขาถูกส่งตัวไปยังกองทหารม้าเกราะดำ แต่ยังคงโดดเด่นอยู่ เพียงเพราะพูดน้อยและเงียบขรึม นิสัยถ่อมตน จึงไม่ถูกเอ่ยถึงมากเท่าใดนัก ความดีงามทั้งหมดจึงถูกเซวียสิ่งชวนบดบังไปเสียหมด
กองทหารม้าเกราะดำสองพันนายเร่งรุดกลับเมืองหลวง ถ้ามองในมุมทางการทหารนี่เป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงอันตรายยิ่งนัก หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ชาญฉลาดเลย จะต้องมีอาชาหลงเซียงจำนวนมากที่ทนไม่ได้ล้มตายไประหว่างทางเพราะหมวกเหล็กกับเสื้อเกราะอันหนักอึ้ง นายทหารม้าเองก็จะเกิดการล้มหายตายจากไปจำนวนมาก แต่หลังจากได้รับการเรียกตัวจากนกห่านแดงที่มาจากเมืองหลวงแล้ว ขุนพลเทพเฮ่อหมิงที่ได้เตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ ก็ไม่มีความลังเลใจใดๆ เขาเร่งออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาถอนกระโจมแล้วออกเดินทางทันทีเนื่องจากเมืองหลวงกำลังต้องการกองทหารสองพันนายนี้ปกป้องเมือง
มีเพียงอย่างนี้ผู้แข็งแกร่งที่บำเพ็ญพรตเหล่านั้นจึงจะประพฤติตัวดีหน่อย แผ่นดินของราชวงศ์ต้าโจวจึงจะมั่นคง จึงจะไม่เสียแรงในการเดินทางขึ้นเหนือ
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงนึกถึงเรื่องเหล่านี้ สายตาทอดทะลุผ่านเทือกเขาหมัวซานไป ทอดตกลงยังที่ห่างไกล
เทือกเขาหมัวซานนั้นคือฉากกำบังสุดท้ายของตีนเขาทางตอนใต้ของเมืองหลวง
ราวกับสามารถมองเห็นเมืองหลวงได้รางๆ
เมืองหลวงไม่มีกำแพงเมือง วังหลวงก็ไม่ได้สูงมาก ดังนั้นเมืองหลวงที่เขามองเห็น ความจริงแล้วคือสุสานเทียนซูทางทิศใต้
อาศัยห่านแดงส่งสาร เขาทราบแล้วว่าสวีโหย่วหรงนำผู้แข็งแกร่งจากแดนใต้กักขังอาจารย์ไว้ พระราชวังหลีเองก็พร้อมจะลงมือตลอดเวลา
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงตอนนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดอย่างชัดเจน แต่เรื่องจริงที่อาจารย์ถูกกักขังไว้นี้ช่างน่าตกตะลึง นั่นเพียงพอที่จะทำให้เขาเกิดความเชื่อมโยงได้
เขาเองก็นับถือสวีโหย่วหรงอยู่ ถึงแม้ว่าสิบกว่าปีมานี้ เขาจะดูแคลนสวีซื่อจีมาตลอดก็ตาม
เขารู้สึกว่าหากนางเป็นบุรุษ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะกลายเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการทหาร
เมื่อคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ อารมณ์ของเขาเองก็ซับซ้อนขึ้นมาก
หลายปีก่อน เขาได้เข้าร่วมงานฉลองอายุขวบเดือนของจวนสวี เคยอุ้มเด็กหญิงที่บอบบางราวหยกสลักผู้นั้นด้วยมือตนเอง
ยามนี้ได้มาถึงเทือกเขาหมัวซานแล้ว ขอเวลาอีกนิด เขาและเหล่าทหารม้าเกราะดำกว่าสองพันนายก็จะไปถึงยังสุสานเทียนซู เพื่อไล่ล่าสังหารโจรทรยศเหล่านั้นเสีย
เด็กผู้หญิงคนนั้นในครานั้นคงจะเสียชีวิตในวันนี้เป็นแน่
เหล่าทหารม้าที่เดิมควรจะบุกทะลวงเมืองเสวี่ยเหล่าซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของเขานี้จะต้องเสียชีวิตไปอีกเท่าใดกัน
ทันใดนั้น พลันเกิดเสียงกรีดร้องหลายครั้งบนท้องฟ้า และห่านสีแดงก็บินถลาสู่พื้นราวกับสายฟ้า พวกมันส่งสัญญาณเตือน บ่งชี้ว่าศัตรูที่แข็งแกร่งกำลังมาเยือนแล้ว
มิเสียแรงที่เป็นกองทหารเกราะดำซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในดินแดน
ติดตามมาด้วยเสียดสีของโลหะของหมวกเหล็กกับเสื้อเกราะ และเสียงกระแทกกระทุ้ง ทหารมากกว่าสองพันคนหยุดฝีเท้าลงภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว มองดูแล้วเหมือนกับน้ำทะเลกระทบฝั่ง
ท่ามกลางกองทหารม้าที่ราวกับกระแสน้ำสีดำนี้ ผู้ส่งสัญญาณโบกธงอย่างต่อเนื่อง และในไม่ช้าพวกเขาก็ตั้งขบวนรบพรักพร้อม
ทวนเหล็กที่ราวกับผืนป่านั้นเล็งไปที่ท้องฟ้า เปลี่ยนเป็นลมปราณคาวโลหิตที่แข็งแกร่งอย่างมาก พวกมันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับว่ามันเป็นสสาร
ในลมปราณคาวโลหิตนี้ ไม่รู้ว่ามีหน้าไม้ยักษ์ที่น่ากลัว และค่ายกลอันตรายมากมายเท่าใดซ่อนอยู่
สิ่งเหล่านี้คือจิตสังหารที่แท้จริง แม้แต่ผู้แข็งแกร่งแห่งอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์เองก็ยากจะหาข้อได้เปรียบพบ
แต่ค่ายกลของกองทหารม้าเกราะดำสองพันนายนี้ และจิตสังหารที่แอบแฝง สุดท้ายแล้วไม่เกิดประโยชน์อันใด
เนื่องจากเป้าประสงค์การโจมตีของฝ่ายตรงข้ามมิใช่กองทหารม้าเกราะดำ แต่เป็นเทือกเขาหมัวซานที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาไม่ไกล
แสงจ้าปรากฏเป็นเส้นบนท้องฟ้า หลังจากนั้นก็หายไปในเวลาอันรวดเร็ว
จุดเริ่มต้นของเส้นแสงคือจุดสีดำ
จุดดำเล็กๆ นั้นอาศัยความเร็วอันน่ากลัวและอธิบายไม่ได้ถลาตกลงบนจุดสูงสุดของเทือกเขาหมัวซาน
ในวินาทีนั้นสรรพสิ่งที่อยู่ระหว่างสวรรค์และพื้นโลกราวกับหยุดนิ่งไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจร้อนๆ ที่พ่นออกมาจากปลายจมูกอาชาหลงเซียง หรือว่าจะเป็น ลมฤดูใบไม้ผลิที่โอบล้อมชุดเกราะสีดำเอาไว้
ทั่วทั้งโลกเงียบสงัดราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
วินาทีถัดมาความเงียบสงัดก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงดังครึกโครม
เสียงดังครึกโครมคำรามต่ำราวกับฟ้าผ่าและอสูรปีศาจนับพันนับหมื่นตัวดังขึ้นจากส่วนลึกของเทือกเขาหมัวซาน
พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวแข็งแกร่งของหน้าผานั้นถือว่าทุ่งหญ้าบอบบางล้วนเกิดระลอกคลื่นที่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่าขึ้น
เสียงดังครึกโครมจากใต้พื้นพิภพส่งขึ้นมาบนพื้นผิว ท่ามกลางเสียงที่น่ากลัวนั้นเทือกเขาหมัวซานปรากฏร่องรอยแตกร้าวนับไม่ถ้วน
ภายในระยะเวลาอันสั้น ศิลาบนหน้าผานับไม่ถ้วนพังทลายจากเทือกเขา ปลิวว่อนสู่ท้องฟ้าและทุ่งราบ หลังจากนั้นก็ตกลงมาราวกับห่าฝน บังเกิดหมอกควันและฝุ่นละอองขึ้นนับไม่ถ้วน ภาพนั้นดูตระการตายิ่งนัก
การสั่นสะเทือนบนพื้นดินรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะก้อนหินขนาดใหญ่ที่ปลิวว่อนไปทั่วเหล่านั้นอีก สถานที่แห่งนั้นโกลาหลขึ้นทุกที
ท่ามกลางหมอกควันและฝุ่นละอองสามารถได้ยินเสียงร้องคำรามของอาชาหลงเซียงไปทั่วทุกทิศทาง แต่พวกมันถูกเลี้ยงดูจากโรงม้าป่านหยาโดยชิวซานจวินเอง ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้กลับไม่ได้บ้าคลั่งขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้รับการปกป้องจากค่ายกล กองทหารม้าเกราะดำนับสองพันนายจึงไม่ได้รับการโจมตีที่มีความโกลาหลนี้เลย เพียงแต่พื้นดินที่รกร้างว่างเปล่าและก้อนหินที่น่ากลัวเหล่านั้นยังคงทำให้สถานการณ์โกลาหล
ธงสัญญาณในมือของผู้ส่งสัญญาณโบกสะบัดเร็วขึ้นเรื่อย สีหน้าของเขาดูกังวล แต่ทั้งหมดนั้นกลับถูกหมอกควันและฝุ่นละอองบดบังเอาไว้ ทำให้เหล่าเพื่อนร่วมชะตากรรมมองไม่เห็นสิ่งใด
เหล่าอาจารย์ค่ายกลเอาแต่ตะโกน เอาแต่ช่วยเหลือกัน ผู้แข็งแกร่งจากในกองทัพเพิ่มการโจมตีไปยังศิลายักษ์ที่พลาดจากการโจมตีของค่ายกลไป แม้แต่ขุนพลเทพเฮ่อหมิงยังลงมือด้วยตัวเองแล้ว หน้าไม้ยักษ์ที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของกองทหารยังไม่ขยับ ยังคงเล็งไปยังบางจุดที่อยู่ด้านในของหมอกควันและฝุ่นละอองอย่างแม่นยำ จิตสังหารยังคงแอบซ่อนอยู่เบื้องหลังของวินัยอันเคร่งครัดและตายในหน้าที่สี่คำนี้
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดหมอกควันและฝุ่นละอองก็ค่อยๆ จางหาย ภาพที่อยู่เบื้องหน้าค่อยๆ ปรากฏออกสู่สายตาทหารม้าทุกคน
เหล่าทหารม้าที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์โกลาหลแต่ก็ยังคงสงบนิ่งอยู่ได้ ในที่สุดก็ปรากฏอารมณ์ตกตะลึงขึ้นในแววตา
เทือกเขาหมัวซานที่เมื่อครู่ยังปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาในเวลานี้ได้อันตรธานไปแล้ว
……
……
เทือกเขาหมัวซานไม่ได้สูงมาก มันมีความสูงเพียงหนึ่งร้อยกว่าจั้งเท่านั้น แต่มันยังคงเป็นภูเขาจริงๆ
ใครกันที่สามารถเปลี่ยนภูเขาจริงให้กลายเป็นหินกรวดได้ในเวลาอันสั้น
หมอกควันและฝุ่นละอองค่อยๆ จางหาย หญิงสาวชุดดำปรากฏกายขึ้น
ในคิ้วและดวงตาที่ราวกับภาพวาดนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา
ในจุดสีแดงที่ราวกับชาดนั้น มีความชั่วร้ายอันน่าสะพรึงกลัวอยู่
เท้าทั้งสองข้างนางเปลือยเปล่า
เนื่องจากวินาทีนั้นที่นางถลาลงบนยอดเขา รองเท้าของนางก็พลันแตกละเอียดเป็นผุยผง
เหล่ากองทหารต่างไร้วาจา ในใจคิดว่าเด็กสาวชุดดำที่ดูยังไม่บรรลุนิติภาวะผู้นี้ ถล่มภูเขานี้ทั้งลูกน่ะหรือ
ทันใดนั้นเอง เสียงร้องคำรามที่น่ากลัวอย่างลึกล้ำนับไม่ถ้วนก็ดังขึ้น
ภูเขาถล่มแผ่นดินแตกแยก ศิลาราวกับสายฝนพรั่งพราย เหล่าอาชาหลงเซียงที่ยังคงสงบนิ่งอยู่จู่ๆ ก็แตกตื่นกระสับกระส่าย ดูพวกมันตระหนกยิ่งนัก
หลังจากนั้นไม่นาน พวกมันก็ทยอยคุกเข่าลงในทิศทางที่หญิงสาวชุดดำยืนอยู่ เพื่อแสดงถึงความเคารพของตน
เหล่าทหารม้าต่างถูกโยนกระแทกลงพื้น กลายเป็นภาพที่วุ่นวายน่าดู
เมื่อมองไปยังหญิงสาวชุดดำท่านนั้น สีหน้าอารมณ์ของขุนพลเทพเฮ่อหมิงก็หนักอึ้ง หลังจากนั้นจึงยกมือขวาขึ้นมาช้าๆ
ที่ติดตามมาด้วยแสงสีขาวนั้น คือลมปราณเทพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งออกมาจากส่วนลึกของกองทหาร
หญิงสาวชุดดำมองเขาด้วยสีหน้าเฉยเมยปราดหนึ่ง