เมื่อสบแววตาของหญิงสาวชุดดำแล้ว เฮ่อหมิงจู่ๆ ก็สงบลงหลายส่วน อารมณ์ก็ผ่อนคลายลงไปมาก จนกระทั่งยังหัวเราะออกมาได้เลย
แต่มือขวาของเขายังคงยกขึ้นอยู่ในอากาศ
ราวกับพร้อมจะกำหมัดอย่างแรงได้ทุกเมื่อ
และเมื่อนั้นเหล่าทหารม้าเกราะดำกว่าสองพันนายก็จะเริ่มต้นการโจมตีทันที
หญิงสาวชุดดำถอนสายตาออกไป
นางมองไปยังเหล่าทหารม้าที่ยังอยู่ในความโกลาหล ไม่รู้ว่ากำลังนึกถึงสิ่งใด
คิ้วนางขมวดเข้าด้วยกัน
ลมพัดแรงวูบหนึ่ง
เงาร่างของนางพลันหายไป
แรงของลมม้วนเอาเทือกเขาหมัวซานที่กลายเป็นหมอกควันและฝุ่นละออง
ก่อนพัดพาไปยังทิศทางที่เหล่าทหารอยู่
หมอกควันและฝุ่นละอองเหล่านั้นถูกลมพันจนกระจายไปเสียหมด
แทบจะไร้รูปร่างเลย
ทันใดนั้น
แสงมีขาวน้ำนมมากมายนับไม่ถ้วนก็ทอดทะลุผ่านออกมา
สาดส่องหมอกควันและฝุ่นละอองเหล่านั้นเสียจนกลายเป็นทรายสีขาว
ลำแสงที่มีลมปราณเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นมาจากคันธนูและลูกศรที่อยู่ในมือของเหล่าทหารม้า
เมื่อเปรียบเทียบกับหน้าไม้ยักษ์ที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของกองทหาน
ลูกศรแสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ถึงจะเป็นอาวุธที่เหล่าทหารม้าหวาดกลัวที่สุด
หญิงสาวชุดดำผู้นั้นเนื่องจากรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของลูกศรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จึงได้หนีไปอย่างนั้นหรือ
รองแม่ทัพเดินไปหยุดด้านข้างเฮ่อหมิง
มองไปยังทิศทางที่หญิงสาวชุดดำยืนอยู่ มือกดฝักดาบเอาไว้ ก่อนเอ่ยว่า “สัญชาตญาณนับว่าไวยิ่งนัก”
ในคำพูดนี้มีความไม่ยินยอมแฝงอยู่
หญิงสาวชุดดำผู้นั้นปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันมาก
ถลาลงมาไวเกินไป ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจากกองทหารม้าเกราะดำ
หรือว่าเหล่าอาจารย์ค่ายกลเหล่านั้น ล้วนไม่ทันได้ตอบโต้ด้วยซ้ำ
รองแม่ทัพมองว่าหากหญิงสั่งชุดดำเมื่อครู่นี้จากไปช้าอีกหน่อย
หรือบางทีหากเหตุการณ์คล้ายๆ กันปรากฏขึ้นอีกครั้ง
กองทหารม้าเกราะดำจะต้องมีโอกาสรั้งอีกฝ่ายได้เป็นแน่
ต่อให้หญิงสาวชุดดำผู้นั้นแสดงพลังทำลายล้างที่น่ากลัวเยี่ยงนี้ออกมาก็ตาม
เฮ่อหมิงมองไปยังทิศทางที่หญิงสาวชุดดำหายตัวไป
เขาไม่ได้เอ่ยคำใด
เขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของรองแม่ทัพ
กองทหารม้าเกราะดำไม่เคยพ่ายแพ้สิ่งใดในโลก
แน่นอนว่ามีวิธีจัดการกับผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นแน่
แม้ว่าวันนี้จะเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งในระดับขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์
แต่เขาก็ยังคงมีความมั่นใจว่าจะโรมรันกับอีกฝ่ายได้แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง
แต่ปัญหาก็คือ หากว่าเขาเดาไม่ผิดแล้วละก็
หญิงสาวในชุดดำเมื่อครู่ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งธรรมดา แต่เป็นมังกรตัวหนึ่ง…
“อะไรนะ นั่นคือมังกรหรือ”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของขุนพลเทพเฮ่อหมิง
รองแม่ทัพท่านนั้นรวมถึงโจวเฉาและแม่ทัพคนอื่นล้วนตะลึงจนไม่สามารถเอ่ยคำใดได้
เสียงของเฮ่อหมิงคลุมเครือ
ก่อนเอ่ย “ใช่ และน่าจะเป็นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งตัวหนึ่งเลยทีเดียว”
รองแม่ทัพค่อนข้างตกตะลึง
หลังจากนั้นก็หมดคำพูด ก่อนจะจับผมอย่างไม่รู้ตัว
หากหญิงสาวชุดดำเป็นเช่นนั้นจริงๆ
อย่างนั้นการถอยกลับของนางก็ไม่ได้น่าหวาดกลัวอีกต่อไป แต่เป็นปรานี…
ใช่แล้ว
นับตั้งแต่ที่ถลาลงตรงยอดเขา ไม่ใช่ตรงเข้าโจมตีกองทหารม้าเกราะดำ
ก็สามารถคาดเดาได้แล้วว่า หากนางให้กองทหารม้าเกราะดำบุกเข้าสู่เทือกเขาหมัวซานได้ก่อนค่อยโจมตี
เมื่อรวมเข้ากับความสามารถของนางโดยพรสวรรค์ที่มีต่ออาชาหลงเซียง
กองทหารม้าเกราะดำอาจไม่ถูกทำลายทั้งหมด แต่ก็คงพบกับความสาหัสที่ยากจะรับได้
นับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา
สิ่งที่สามารถควบคุมกองทหารม้าเกราะดำได้เดิมทีก็ไม่ใช่เหล่าคนที่โดยสารเมฆไปมา
หรือเหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่แทบจะแตะต้องไม่ได้เลย แต่เป็นเผ่าพันธุ์มังกร
ว่ากันว่าพันปีก่อนหน้านี้
จักรพรรดิไท่จงสร้างกองทหารม้าเกราะดำ
ก็ได้มีการออกแบบทั้งยังฝึกฝนการต้านรับการโจมตีจากผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มังกรเป็นการเฉพาะ
ต่อมาเนื่องจากสัญญาโลกแห่งดวงดาวฉบับนั้น
เผ่าพันธุ์มังกรก็ไม่ได้ขึ้นมาเหยียบบนแผ่นดินใหญ่อีกเลย ทั่วทั้งโลกก็ค่อยๆ
ลืมเลือนสัตว์ชั้นสูงที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ไปแล้ว
เหล่าทหารม้าเกราะดำก็พัฒนามาจนถึงรุ่นที่สี่
เหล่าทหารที่เคยได้รับการฝึกฝนหรือแม้แต่วิธีการที่ถูกออกแบบมาอย่างดีเหล่านั้น
ไม่รู้ว่าถูกลืมเลือนไปอยู่ในกองกระดาษแผนการรบกองใดตั้งนานแล้ว
จู่ๆ
ทหารคนหนึ่งก็ได้สติขึ้นมาก่อนเอ่ยว่า “ในเมื่อเผ่าพันธุ์มังกรมาถึงแผ่นดินใหญ่แล้ว
นางไม่กลัวว่าจะถูกเหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ร่วมมือกันสังหารหรือ”
“เหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้ต่างก็จิตใจว้าวุ่น
จะมีแก่ใจทำตามสนธิสัญญาฉบับนั้นหรือ”
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงเอ่ยว่า
“และในคราแรกที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงทำพันธสัญญากันนั้น ต่างก็ลืมเลือนการมีอยู่ของนางไปแล้ว
ดังนั้นจึงไม่ได้มีการระบุนามของนางแต่อย่างใด”
รองแม่ทัพผู้นั้นเอ่ยถาม
“หญิงสาวชุดดำผู้นั้นเป็นใครกันแน่”
“พบเจ้าเองน่าจะนึกออกแล้ว นางก็คือมังกรรับใช้ตัวนั้นของท่านใต้เท้าสังฆราช”
เฮ่อหมิงเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยว่า
“นั่นก็คือบุคคลต้องห้ามท่านนั้นของวังหลวงในปีนั้นหรือ”
หลังจากที่จักรพรรดินีเทียนไห่กลับคืนสู่ทะเลดวงดาว
ความลับมากมายในตอนนั้นเริ่มทยอยปรากฏออกมาภายใต้แสงสุริยัน
แน่นอนว่าก็รวมไปถึงตำนานของมังกรดำด้วย
พื้นที่ทุ่งราบปรากฏลักษณะนูนขึ้นต่อเนื่องมองดูแล้วคล้ายกับเกลียวคลื่นของข้าวสาลีที่หยุดนิ่ง
ระหว่างที่เหล่ากองทหารม้าเกราะดำยืนขึ้น ไม่ได้ส่งเสียงร้องใด
ทันใดนั้น
เฮ่อหมิงก็เผยรอยยิ้มเยาะตนเองออกมา สีหน้าแน่วแน่ ก่อนเอ่ยว่า “ค่ายกลคลื่นธุลีแดงไร้คู่”
ทหารม้าเกราะดำที่ขึ้นชื่อเรื่องระเบียบวินัย
มีท่าทีแปลกๆ ในเวลานี้
เหล่าขุนนางทางการทหารที่ร่วมวางแผนล้วนใช้สายตาแปลกๆ
มองเขา แต่ไม่ได้ออกคำสั่งในทันที
เนื่องจากขุนพลเทพเฮ่อหมิงหมายความถึงค่ายกลคลื่นธุลีแดงไร้คู่
ค่ายกลนี้
เป็นที่รู้จักในนามความแข็งแกร่งและความมั่นคง เหมาะสมที่จะพักก่อนจู่โจม
ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเทือกเขาหมัวซานถูกทำลาย
สั่นคลอนกำลังใจทหาร การจัดแจงของขุนพลเทพเฮ่อหมิงผู้นี้ที่จริงแล้วสมเหตุสมผลนัก
ปัญหาก็คือ
ความเร็วของการเคลื่อนไหวของค่ายกลคลื่นธุลีแดงไร้คู่…นั้นช่างเชื่องช้าอย่างมาก
หากดำเนินการตามค่ายกลนี้
เมื่อพลบค่ำอาบย้อมท้องฟ้าให้เป็นสีแดงก่ำแล้ว
พวกเขาคงยังไม่สามารถไปถึงสุสานเทียนซูได้ อย่างนั้นจะมีความหมายอะไรเล่า
รองแม่ทัพผู้นั้นมองไปยังขุนพลเทพเฮ่อหมิง
อยากจะเสนอความคิดเห็นแย้งของตนเอง แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงอะไรขึ้นมาได้
สีหน้าซีดเผือด ไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
……
……
ยามที่เทือกเขาหมัวซานถูกระเบิดออกเป็นสองซีกทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนสัมผัสได้
บ้านพักทั้งสองฟากฝั่งของแม่น้ำลั่วสั่นคลอนต่อเนื่อง
ไม่มีบ้านเรือนพังทลาย ระหว่างคานและพื้นดินเกิดฝุ่นควันนับไม่ถ้วน
ทำให้ทั่วทั้งดินแดนนั้นดูขมุกขมัวทันที
ลวดลายซับซ้อนที่ถูกแกะสลักอยู่บนเสาศิลานั้นดูเลือนรางนัก
ห้องที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยดอกเหมยก็ถูกปกคลุมด้วยดอกเหมยตั้งแต่แรก
กิ่งก้านของต้นเฟิงแดงด้านนอกของสำนักการศึกษากลางหักโค่นไปมาก
ถนนหนทางที่ดูวุ่นวาย ที่จริงแล้วหากพิศมองดีๆ จะพบว่าในนั้นมีร่องรอยของค่ายกลอยู่
กิ่งก้านของต้นเฟิงนั้นและค่ายกลที่แอบซ่อนอยู่ระหว่างนั้น
ทำให้ทหารม้ากลุ่มนั้นที่ขึ้นตรงต่อสำนักการศึกษากลางถูกกั้นไว้ภายนอกเสีย
เนื่องจากสาเหตุการสอบใหญ่
อาจารย์อาภรณ์แดงสามท่านของสำนักการศึกษากลางและนักบวชล้วนเข้าสู่โลกใบไม้คราม
ตอนนี้กลับถูกหญิงสาวชุดดำโอบไว้ในอ้อมกอด
สำนักการศึกษากลางในตอนนี้
แทบจะไม่มีความสามารถในการจะต่อกรกับปณิธานของพระราชวังหลีเลย
ภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
เหล่าทหารม้าของพระราชวังหลี เสร็จสิ้นภารกิจการยึดครองสิ่งปลูกสร้างลือชื่อหลังนี้
เหล่าทหารม้าของสำนักการศึกษากลางเหล่านั้นที่อยู่ด้านนอกป่าเฟิง
วางอาวุธในมือลงอย่างจนใจและโล่งใจ
……
……
สำนักการศึกษากลางคือฐานที่มั่นซึ่งมีอำนาจของขั้วอำนาจเดิมของสำนักฝึกหลวง
หกสำนักไม้เลื้อยที่อยู่ภายใต้การกำกับ แต่ตอนนี้ที่ต้องการแก้ไข้จริงๆ
ก็คือสำนักเทียนเต้า
ในขณะเดียวกัน
สำนักเทียนเต้า ก็ถือเป็นสถานที่หนึ่งที่มีความยุ่งยากที่สุด
เนื่องจากความสัมพันธ์ของเหมาชิวอวี่
และก็เนื่องจากชื่อเสียงของสำนักเทียนเต้า พระราชวังหลีไม่อาจเลือกที่จะโจมตีรุนแรงได้
ราชันแห่งหลิงไห่โน้มร่างกายไปด้านหน้า
จ้องไปที่เหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ที่มีใบหน้าแน่วแน่ซึ่งอยู่ด้านในของสำนักเทียนเต้าด้วยสีหน้ารังเกียจ
ในคราแรกเขาได้รับความสำคัญจากท่านใต้เท้าสังฆราชและจักรพรรดินีพร้อมกัน
ก็เนื่องด้วยเขานั้นเดิมทีก็ไม่ไร้เดียงสา
ต่อให้ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงวัยรุ่นก็ตาม
สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดในชาตินี้ก็คือความไร้เดียงสาทั้งหลาย
โลหิตร้อนระอุ ความตื่นเต้น แต่เขาทราบดีว่าคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ยุ่งยากมาก
เนื่องจากมันบ่งชี้ไปที่คำว่า พลีชีพ สองคำนี้โดยตรง
แน่นอนว่าเขาต้องไม่สนใจเหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ของสำนักเทียนเต้าว่าจะกลายเป็นร่างไร้วิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนเพียงใด
ปัญหาก็คือสิ่งนี้จะมีผลกระทบโดยตรงต่อชื่อเสียงของท่านใต้เท้าสังฆราช
และยิ่งจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่าง เหมาชิวอวี่และพระราชวังหลี
เห็นได้ชัดว่าจวงจือห้วนแจ้งใจในสิ่งนี้
ดังนั้นหลังจากทราบความเคลื่อนไหวทางด้านนั้นของสำนักการศึกษากลาง ยังคงไม่ยอมแพ้
เขาหวังว่าเหล่าผู้เรียนวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์และยินดีจะพลีชีพของสำนักเทียนเต้าเหล่านั้น
สามารถช่วยให้เขายืนหยัดที่จะได้รับข่าวดีจากสุสานเทียนซู
ราชันแห่งหลิงไห่เหลือบมองไปยังนักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างกาย
ก่อนเอ่ยว่า “ท่านเองก็เป็นรองเจ้าสำนัก เหตุใดไม่มีลูกศิษย์คนใดยินดีที่จะฟังท่าน”
นักพรตเท่าผู้ก็คือ
นักพรตซู่ซิน เขาถอนหายใจยาวไม่ได้เอ่ยคำใด
ในตอนแรกที่เหมาชิวอวี่เก็บตัวบำเพ็ญพรตอยู่ในพระราชวังหลี
มีศิษย์น้องจวงจือห้วนทำหน้าที่ปกป้องด้วยตนเอง แต่สำนักเทียนเต้ากลับถูกดูแลโดยนักพรตซู่ซิน
คนที่แนะนำคำแนะนำนี้คือราชันแห่งหลิงไห่
เดิมทีหวังว่านักพรตซู่ซินจะสามารถใช้โอกาสนี้ควบคุมสำนักเทียนเต้าให้เข้มงวดมากขึ้น
เพื่อเตรียมการสำหรับวันนี้
ผู้ใดจะคิดเล่าว่า
ชื่อเสียงของจวงจือห้วนในสำนักเทียนเต้าจะสูงส่งถึงเพียงนี้
เสียงกรีดร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดของเหล่าลูกศิษย์วัยรุ่นดังขึ้นเรื่อยๆ
สีหน้าของราชันแห่งหลิงไห่เคร่งขรึมลงทุกทีก่อนเอ่ยว่า
“นับถอยหลังถึงห้า เตรียมสังหารคนได้”
นักพรตซู่ซินได้ยินก็ตกตะลึง
ก่อนเอ่ยปรามเสียงจริงจัง “ไม่ได้เด็ดขาด”
ราชันแห่งหลิงไห่ไม่ได้สนใจเขา
ติดตามมาด้วยเสียงโลหะเสียดสีดังชัด
ทหารม้าแห่งสำนักฝึกหลวงค่อยๆ หยิบเอากระบี่ฝึกสอนที่ศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายออกมา
เหล่ามัคนายกชุดดำในตำหนักเทียนไฉ่ราวกับวิญญาณกว่าสิบตน
ลอบเข้าไปในสำนักเทียนเต้าอย่างไรร่องรอย