ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 45 ทหารม้าสามทิศทาง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เมื่อสบแววตาของหญิงสาวชุดดำแล้ว เฮ่อหมิงจู่ๆ ก็สงบลงหลายส่วน อารมณ์ก็ผ่อนคลายลงไปมาก จนกระทั่งยังหัวเราะออกมาได้เลย

แต่มือขวาของเขายังคงยกขึ้นอยู่ในอากาศ

ราวกับพร้อมจะกำหมัดอย่างแรงได้ทุกเมื่อ

และเมื่อนั้นเหล่าทหารม้าเกราะดำกว่าสองพันนายก็จะเริ่มต้นการโจมตีทันที

หญิงสาวชุดดำถอนสายตาออกไป

นางมองไปยังเหล่าทหารม้าที่ยังอยู่ในความโกลาหล ไม่รู้ว่ากำลังนึกถึงสิ่งใด

คิ้วนางขมวดเข้าด้วยกัน

ลมพัดแรงวูบหนึ่ง

เงาร่างของนางพลันหายไป

แรงของลมม้วนเอาเทือกเขาหมัวซานที่กลายเป็นหมอกควันและฝุ่นละออง

ก่อนพัดพาไปยังทิศทางที่เหล่าทหารอยู่

หมอกควันและฝุ่นละอองเหล่านั้นถูกลมพันจนกระจายไปเสียหมด

แทบจะไร้รูปร่างเลย

ทันใดนั้น

แสงมีขาวน้ำนมมากมายนับไม่ถ้วนก็ทอดทะลุผ่านออกมา

สาดส่องหมอกควันและฝุ่นละอองเหล่านั้นเสียจนกลายเป็นทรายสีขาว

ลำแสงที่มีลมปราณเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นมาจากคันธนูและลูกศรที่อยู่ในมือของเหล่าทหารม้า

เมื่อเปรียบเทียบกับหน้าไม้ยักษ์ที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของกองทหาน

ลูกศรแสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ถึงจะเป็นอาวุธที่เหล่าทหารม้าหวาดกลัวที่สุด

หญิงสาวชุดดำผู้นั้นเนื่องจากรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของลูกศรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จึงได้หนีไปอย่างนั้นหรือ

รองแม่ทัพเดินไปหยุดด้านข้างเฮ่อหมิง

มองไปยังทิศทางที่หญิงสาวชุดดำยืนอยู่ มือกดฝักดาบเอาไว้ ก่อนเอ่ยว่า “สัญชาตญาณนับว่าไวยิ่งนัก”

ในคำพูดนี้มีความไม่ยินยอมแฝงอยู่

หญิงสาวชุดดำผู้นั้นปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันมาก

ถลาลงมาไวเกินไป ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจากกองทหารม้าเกราะดำ

หรือว่าเหล่าอาจารย์ค่ายกลเหล่านั้น ล้วนไม่ทันได้ตอบโต้ด้วยซ้ำ

รองแม่ทัพมองว่าหากหญิงสั่งชุดดำเมื่อครู่นี้จากไปช้าอีกหน่อย

หรือบางทีหากเหตุการณ์คล้ายๆ กันปรากฏขึ้นอีกครั้ง

กองทหารม้าเกราะดำจะต้องมีโอกาสรั้งอีกฝ่ายได้เป็นแน่

ต่อให้หญิงสาวชุดดำผู้นั้นแสดงพลังทำลายล้างที่น่ากลัวเยี่ยงนี้ออกมาก็ตาม

เฮ่อหมิงมองไปยังทิศทางที่หญิงสาวชุดดำหายตัวไป

เขาไม่ได้เอ่ยคำใด

เขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของรองแม่ทัพ

กองทหารม้าเกราะดำไม่เคยพ่ายแพ้สิ่งใดในโลก

แน่นอนว่ามีวิธีจัดการกับผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นแน่

แม้ว่าวันนี้จะเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งในระดับขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์

แต่เขาก็ยังคงมีความมั่นใจว่าจะโรมรันกับอีกฝ่ายได้แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง

แต่ปัญหาก็คือ หากว่าเขาเดาไม่ผิดแล้วละก็

หญิงสาวในชุดดำเมื่อครู่ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งธรรมดา แต่เป็นมังกรตัวหนึ่ง…

“อะไรนะ นั่นคือมังกรหรือ”

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของขุนพลเทพเฮ่อหมิง

รองแม่ทัพท่านนั้นรวมถึงโจวเฉาและแม่ทัพคนอื่นล้วนตะลึงจนไม่สามารถเอ่ยคำใดได้

เสียงของเฮ่อหมิงคลุมเครือ

ก่อนเอ่ย “ใช่ และน่าจะเป็นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งตัวหนึ่งเลยทีเดียว”

รองแม่ทัพค่อนข้างตกตะลึง

หลังจากนั้นก็หมดคำพูด ก่อนจะจับผมอย่างไม่รู้ตัว

หากหญิงสาวชุดดำเป็นเช่นนั้นจริงๆ

อย่างนั้นการถอยกลับของนางก็ไม่ได้น่าหวาดกลัวอีกต่อไป แต่เป็นปรานี…

ใช่แล้ว

นับตั้งแต่ที่ถลาลงตรงยอดเขา ไม่ใช่ตรงเข้าโจมตีกองทหารม้าเกราะดำ

ก็สามารถคาดเดาได้แล้วว่า หากนางให้กองทหารม้าเกราะดำบุกเข้าสู่เทือกเขาหมัวซานได้ก่อนค่อยโจมตี

เมื่อรวมเข้ากับความสามารถของนางโดยพรสวรรค์ที่มีต่ออาชาหลงเซียง

กองทหารม้าเกราะดำอาจไม่ถูกทำลายทั้งหมด แต่ก็คงพบกับความสาหัสที่ยากจะรับได้

นับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา

สิ่งที่สามารถควบคุมกองทหารม้าเกราะดำได้เดิมทีก็ไม่ใช่เหล่าคนที่โดยสารเมฆไปมา

หรือเหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่แทบจะแตะต้องไม่ได้เลย แต่เป็นเผ่าพันธุ์มังกร

ว่ากันว่าพันปีก่อนหน้านี้

จักรพรรดิไท่จงสร้างกองทหารม้าเกราะดำ

ก็ได้มีการออกแบบทั้งยังฝึกฝนการต้านรับการโจมตีจากผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มังกรเป็นการเฉพาะ

ต่อมาเนื่องจากสัญญาโลกแห่งดวงดาวฉบับนั้น

เผ่าพันธุ์มังกรก็ไม่ได้ขึ้นมาเหยียบบนแผ่นดินใหญ่อีกเลย ทั่วทั้งโลกก็ค่อยๆ

ลืมเลือนสัตว์ชั้นสูงที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ไปแล้ว

เหล่าทหารม้าเกราะดำก็พัฒนามาจนถึงรุ่นที่สี่

เหล่าทหารที่เคยได้รับการฝึกฝนหรือแม้แต่วิธีการที่ถูกออกแบบมาอย่างดีเหล่านั้น

ไม่รู้ว่าถูกลืมเลือนไปอยู่ในกองกระดาษแผนการรบกองใดตั้งนานแล้ว

จู่ๆ

ทหารคนหนึ่งก็ได้สติขึ้นมาก่อนเอ่ยว่า “ในเมื่อเผ่าพันธุ์มังกรมาถึงแผ่นดินใหญ่แล้ว

นางไม่กลัวว่าจะถูกเหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ร่วมมือกันสังหารหรือ”

“เหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้ต่างก็จิตใจว้าวุ่น

จะมีแก่ใจทำตามสนธิสัญญาฉบับนั้นหรือ”

ขุนพลเทพเฮ่อหมิงเอ่ยว่า

“และในคราแรกที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงทำพันธสัญญากันนั้น ต่างก็ลืมเลือนการมีอยู่ของนางไปแล้ว

ดังนั้นจึงไม่ได้มีการระบุนามของนางแต่อย่างใด”

รองแม่ทัพผู้นั้นเอ่ยถาม

“หญิงสาวชุดดำผู้นั้นเป็นใครกันแน่”

“พบเจ้าเองน่าจะนึกออกแล้ว นางก็คือมังกรรับใช้ตัวนั้นของท่านใต้เท้าสังฆราช”

เฮ่อหมิงเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยว่า

“นั่นก็คือบุคคลต้องห้ามท่านนั้นของวังหลวงในปีนั้นหรือ”

หลังจากที่จักรพรรดินีเทียนไห่กลับคืนสู่ทะเลดวงดาว

ความลับมากมายในตอนนั้นเริ่มทยอยปรากฏออกมาภายใต้แสงสุริยัน

แน่นอนว่าก็รวมไปถึงตำนานของมังกรดำด้วย

พื้นที่ทุ่งราบปรากฏลักษณะนูนขึ้นต่อเนื่องมองดูแล้วคล้ายกับเกลียวคลื่นของข้าวสาลีที่หยุดนิ่ง

ระหว่างที่เหล่ากองทหารม้าเกราะดำยืนขึ้น ไม่ได้ส่งเสียงร้องใด

ทันใดนั้น

เฮ่อหมิงก็เผยรอยยิ้มเยาะตนเองออกมา สีหน้าแน่วแน่ ก่อนเอ่ยว่า “ค่ายกลคลื่นธุลีแดงไร้คู่”

ทหารม้าเกราะดำที่ขึ้นชื่อเรื่องระเบียบวินัย

มีท่าทีแปลกๆ ในเวลานี้

เหล่าขุนนางทางการทหารที่ร่วมวางแผนล้วนใช้สายตาแปลกๆ

มองเขา แต่ไม่ได้ออกคำสั่งในทันที

เนื่องจากขุนพลเทพเฮ่อหมิงหมายความถึงค่ายกลคลื่นธุลีแดงไร้คู่

ค่ายกลนี้

เป็นที่รู้จักในนามความแข็งแกร่งและความมั่นคง เหมาะสมที่จะพักก่อนจู่โจม

ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเทือกเขาหมัวซานถูกทำลาย

สั่นคลอนกำลังใจทหาร การจัดแจงของขุนพลเทพเฮ่อหมิงผู้นี้ที่จริงแล้วสมเหตุสมผลนัก

ปัญหาก็คือ

ความเร็วของการเคลื่อนไหวของค่ายกลคลื่นธุลีแดงไร้คู่…นั้นช่างเชื่องช้าอย่างมาก

หากดำเนินการตามค่ายกลนี้

เมื่อพลบค่ำอาบย้อมท้องฟ้าให้เป็นสีแดงก่ำแล้ว

พวกเขาคงยังไม่สามารถไปถึงสุสานเทียนซูได้ อย่างนั้นจะมีความหมายอะไรเล่า

รองแม่ทัพผู้นั้นมองไปยังขุนพลเทพเฮ่อหมิง

อยากจะเสนอความคิดเห็นแย้งของตนเอง แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงอะไรขึ้นมาได้

สีหน้าซีดเผือด ไม่ได้เอ่ยอันใดอีก

……

……

ยามที่เทือกเขาหมัวซานถูกระเบิดออกเป็นสองซีกทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนสัมผัสได้

บ้านพักทั้งสองฟากฝั่งของแม่น้ำลั่วสั่นคลอนต่อเนื่อง

ไม่มีบ้านเรือนพังทลาย ระหว่างคานและพื้นดินเกิดฝุ่นควันนับไม่ถ้วน

ทำให้ทั่วทั้งดินแดนนั้นดูขมุกขมัวทันที

ลวดลายซับซ้อนที่ถูกแกะสลักอยู่บนเสาศิลานั้นดูเลือนรางนัก

ห้องที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยดอกเหมยก็ถูกปกคลุมด้วยดอกเหมยตั้งแต่แรก

กิ่งก้านของต้นเฟิงแดงด้านนอกของสำนักการศึกษากลางหักโค่นไปมาก

ถนนหนทางที่ดูวุ่นวาย ที่จริงแล้วหากพิศมองดีๆ จะพบว่าในนั้นมีร่องรอยของค่ายกลอยู่

กิ่งก้านของต้นเฟิงนั้นและค่ายกลที่แอบซ่อนอยู่ระหว่างนั้น

ทำให้ทหารม้ากลุ่มนั้นที่ขึ้นตรงต่อสำนักการศึกษากลางถูกกั้นไว้ภายนอกเสีย

เนื่องจากสาเหตุการสอบใหญ่

อาจารย์อาภรณ์แดงสามท่านของสำนักการศึกษากลางและนักบวชล้วนเข้าสู่โลกใบไม้คราม

ตอนนี้กลับถูกหญิงสาวชุดดำโอบไว้ในอ้อมกอด

สำนักการศึกษากลางในตอนนี้

แทบจะไม่มีความสามารถในการจะต่อกรกับปณิธานของพระราชวังหลีเลย

ภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด

เหล่าทหารม้าของพระราชวังหลี เสร็จสิ้นภารกิจการยึดครองสิ่งปลูกสร้างลือชื่อหลังนี้

เหล่าทหารม้าของสำนักการศึกษากลางเหล่านั้นที่อยู่ด้านนอกป่าเฟิง

วางอาวุธในมือลงอย่างจนใจและโล่งใจ

……

……

สำนักการศึกษากลางคือฐานที่มั่นซึ่งมีอำนาจของขั้วอำนาจเดิมของสำนักฝึกหลวง

หกสำนักไม้เลื้อยที่อยู่ภายใต้การกำกับ แต่ตอนนี้ที่ต้องการแก้ไข้จริงๆ

ก็คือสำนักเทียนเต้า

ในขณะเดียวกัน

สำนักเทียนเต้า ก็ถือเป็นสถานที่หนึ่งที่มีความยุ่งยากที่สุด

เนื่องจากความสัมพันธ์ของเหมาชิวอวี่

และก็เนื่องจากชื่อเสียงของสำนักเทียนเต้า พระราชวังหลีไม่อาจเลือกที่จะโจมตีรุนแรงได้

ราชันแห่งหลิงไห่โน้มร่างกายไปด้านหน้า

จ้องไปที่เหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ที่มีใบหน้าแน่วแน่ซึ่งอยู่ด้านในของสำนักเทียนเต้าด้วยสีหน้ารังเกียจ

ในคราแรกเขาได้รับความสำคัญจากท่านใต้เท้าสังฆราชและจักรพรรดินีพร้อมกัน

ก็เนื่องด้วยเขานั้นเดิมทีก็ไม่ไร้เดียงสา

ต่อให้ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงวัยรุ่นก็ตาม

สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดในชาตินี้ก็คือความไร้เดียงสาทั้งหลาย

โลหิตร้อนระอุ ความตื่นเต้น แต่เขาทราบดีว่าคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ยุ่งยากมาก

เนื่องจากมันบ่งชี้ไปที่คำว่า พลีชีพ สองคำนี้โดยตรง

แน่นอนว่าเขาต้องไม่สนใจเหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ของสำนักเทียนเต้าว่าจะกลายเป็นร่างไร้วิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนเพียงใด

ปัญหาก็คือสิ่งนี้จะมีผลกระทบโดยตรงต่อชื่อเสียงของท่านใต้เท้าสังฆราช

และยิ่งจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่าง เหมาชิวอวี่และพระราชวังหลี

เห็นได้ชัดว่าจวงจือห้วนแจ้งใจในสิ่งนี้

ดังนั้นหลังจากทราบความเคลื่อนไหวทางด้านนั้นของสำนักการศึกษากลาง ยังคงไม่ยอมแพ้

เขาหวังว่าเหล่าผู้เรียนวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์และยินดีจะพลีชีพของสำนักเทียนเต้าเหล่านั้น

สามารถช่วยให้เขายืนหยัดที่จะได้รับข่าวดีจากสุสานเทียนซู

ราชันแห่งหลิงไห่เหลือบมองไปยังนักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างกาย

ก่อนเอ่ยว่า “ท่านเองก็เป็นรองเจ้าสำนัก เหตุใดไม่มีลูกศิษย์คนใดยินดีที่จะฟังท่าน”

นักพรตเท่าผู้ก็คือ

นักพรตซู่ซิน เขาถอนหายใจยาวไม่ได้เอ่ยคำใด

ในตอนแรกที่เหมาชิวอวี่เก็บตัวบำเพ็ญพรตอยู่ในพระราชวังหลี

มีศิษย์น้องจวงจือห้วนทำหน้าที่ปกป้องด้วยตนเอง แต่สำนักเทียนเต้ากลับถูกดูแลโดยนักพรตซู่ซิน

คนที่แนะนำคำแนะนำนี้คือราชันแห่งหลิงไห่

เดิมทีหวังว่านักพรตซู่ซินจะสามารถใช้โอกาสนี้ควบคุมสำนักเทียนเต้าให้เข้มงวดมากขึ้น

เพื่อเตรียมการสำหรับวันนี้

ผู้ใดจะคิดเล่าว่า

ชื่อเสียงของจวงจือห้วนในสำนักเทียนเต้าจะสูงส่งถึงเพียงนี้

เสียงกรีดร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดของเหล่าลูกศิษย์วัยรุ่นดังขึ้นเรื่อยๆ

สีหน้าของราชันแห่งหลิงไห่เคร่งขรึมลงทุกทีก่อนเอ่ยว่า

“นับถอยหลังถึงห้า เตรียมสังหารคนได้”

นักพรตซู่ซินได้ยินก็ตกตะลึง

ก่อนเอ่ยปรามเสียงจริงจัง “ไม่ได้เด็ดขาด”

ราชันแห่งหลิงไห่ไม่ได้สนใจเขา

ติดตามมาด้วยเสียงโลหะเสียดสีดังชัด

ทหารม้าแห่งสำนักฝึกหลวงค่อยๆ หยิบเอากระบี่ฝึกสอนที่ศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายออกมา

เหล่ามัคนายกชุดดำในตำหนักเทียนไฉ่ราวกับวิญญาณกว่าสิบตน

ลอบเข้าไปในสำนักเทียนเต้าอย่างไรร่องรอย