ทุกคนนิ่งเงียบไปเนื่องจากตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของนักล่าวิญญาณเป็นอย่างดี หากต้องเผชิญหน้ากับนักล่าวิญญาณจริง พวกเขาไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย
นิกายหมื่นกระบี่ส่งคณะจอมยุทธ์เหล่านี้มาทำภารกิจเสี่ยงตายอย่างแท้จริงและเป็นภารกิจที่โหดหินเกินไป
เฉินหว่านเอ๋อร์จอมเสแสร้งอาจทราบเกี่ยวกับนักล่าวิญญาณมาตั้งแต่ต้น เพราะเหตุนั้น นางจึงหาทางเอาตัวรอดออกไปก่อนโดยที่ไม่รอให้คู่อสูรวายุทมิฬสังหารฉินอวี้โม่สำเร็จด้วยซ้ำ
“นักล่าวิญญาณไม่มีกายเนื้อที่จับต้องได้ หากต้องการจะสู้กับมัน เราทำได้เพียงใช้จิตวิญญาณและพลังมายาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณของนักล่าวิญญาณนั้นแกร่งกล้าเป็นอย่างมากและเราต่อกรด้วยไม่ได้แน่ จากข้อมูลที่เราสืบทราบมา เห็นได้ชัดว่านักล่าวิญญาณจะไม่ปรากฏตัวในช่วงกลางวัน ทว่าพวกนั้นคงจะรับรู้การมาถึงของเราตั้งแต่ที่เข้ามาในหมู่บ้านนี้แล้ว เกรงว่าหากเอาตัวรอดไม่ได้จนถึงรุ่งสาง เราก็อาจต้องตายอยู่ที่นี่ !”
หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์อย่างละเอียด สีหน้าของทุกคนก็แสดงความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาคิดไม่ออกเลยว่าจะรับมือกับนักล่าวิญญาณอย่างไร
“นี่มันเรื่องใหญ่ทีเดียว แต่ข้าก็ไม่มีทางเฝ้ารอความตายอยู่ที่นี่หรอกนะ !”
เถียนซินกำหมัดแน่นและกล่าวออกไป นางมิใช่คนกลัวตายจนขี้ขลาดตาขาว ในเมื่อทราบว่าไม่มีหนทางอื่น ต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิต นางก็จะหาทางทำให้นักล่าวิญญาณตกระกำลำบากเช่นกัน
“ฉินอวี้โม่ พวกเราผิดไปแล้วที่เคยดูแคลนเจ้า ข้าอยากจะขอโทษเจ้าจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเราจะมีโอกาสต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่และเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปด้วยกัน มันคงเป็นสิ่งที่โชคชะตากำหนดไว้”
จู่ ๆ เถียนซินก็หันไปกล่าวกับฉินอวี้โม่ สายตาที่นางมองฉินอวี้โม่ไม่มีร่องรอยของความรังเกียจหรือเย้ยหยันหลงเหลืออีกต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพลังในการต่อสู้ที่แท้จริงของฉินอวี้โม่เหนือชั้นกว่าพวกนางมากนัก ต่อให้จะมาจากดินแดนระดับต่ำ สิ่งนั้นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมคู่ควรแก่ความเคารพอย่างแท้จริง และพวกนางมีเพียงความรู้สึกนั้นมอบให้กับฉินอวี้โม่
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ไม่แสดงออกอย่างชัดเจนนัก อันที่จริงตอนนี้ทัศนคติที่พวกนางมีต่อฉินอวี้โม่และดินแดนระดับต่ำก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
ผู้ที่มาจากดินแดนระดับต่ำมิใช่มดปลวกไร้ความสามารถเสมอไป หากเทียบกับอัจฉริยะจากดินแดนระดับต่ำเหล่านั้น คนในโลกแห่งเทพก็ถือว่าโชคดีกว่าเพียงเล็กน้อย…
“เรายังมีโอกาสได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในอนาคตข้างหน้ากันอีกมาก ศิษย์พี่เถียนซิน อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปเลย แม้นักล่าวิญญาณจะทรงพลังมาก เราก็มิได้หมดหนทางเสียทีเดียว”
ฉินอวี้โม่ขจัดความเป็นปฏิปักษ์ที่เคยมีต่อเถียนซินและสวีเยว่เช่นกัน นางกล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ และคิดหาทางออกสำหรับเรื่องนี้
“ทุกคนคิดว่าเฉินหว่านเอ๋อร์ออกไปได้อย่างไร ?”
เหลิ่งซวงเสวี่ยนึกถึงเฉินหว่านเอ๋อร์ที่ออกจากหมู่บ้านไปแล้วและเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัย
ก่อนหน้านี้พวกนางก็พยายามทำทุกวิถีทางแล้ว ทว่ามีผนึกบางอย่างที่คอยขวางกั้นไว้และไม่มีทางออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้ก่อนรุ่งสาง นอกจากนี้ เฮยเฟิงและซวงซาก็ยืนยันว่าเฉินหว่านเอ๋อร์หนีเอาตัวรอดออกไปแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วนางออกไปได้อย่างไร ?
“ดูเหมือนว่านังเฉินหว่านเอ๋อร์ผู้หน้าไม่อายนั่นจะรู้เรื่องมากกว่าพวกเรา ข้าว่าภารกิจไขปริศนาที่หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาแห่งนี้อาจเป็นสิ่งที่นางจงใจวางแผนเพื่อทำให้พวกเราบรรดาจอมยุทธ์ที่แกร่งกล้าที่สุดของหอชั้นนอกต้องถูกฆ่าตายภายในคราวเดียว”
สวีเยว่กล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจอย่างไม่ปิดบัง เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป
“ก็เป็นไปได้”
ฉินอวี้โม่และทุกคนมองหน้ากันโดยไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ดังกล่าว เพราะถึงอย่างไรหากเป็นจริงดังที่พวกนางคาดการณ์ไว้ มันก็สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดเฉินหว่านเอ๋อร์จึงออกไปจากหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาได้…
“พี่อวี้โม่ ท่านบอกว่าเรามิได้หมดหนทางเสียทีเดียว ไม่ทราบว่าท่านจะบอกพวกเราได้หรือไม่ว่าหนทางที่มีอยู่คืออะไร ?”
เมิ่งฝานไตร่ตรองวาจาของฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้และมองนางด้วยแววตาคาดหวัง
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ สำหรับหนทางนั้น นางเองก็ยังคิดไม่ออกในตอนนี้
การต่อสู้เมื่อครู่พิสูจน์ให้เห็นว่าพลังของกายเทพมายามีอิทธิพลต่อพลังโจมตีทางจิตวิญญาณของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่มากพอที่จะลบล้างพลังนั้นได้โดยสมบูรณ์
เว้นแต่ว่า…
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่และทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้
“นายหญิง ดึงนักล่าวิญญาณนั่นเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงหัวเถอะ นี่คือเขตแดนของท่าน ต่อให้เป็นนักล่าวิญญาณที่ทรงพลังก็มิใช่คู่มือของท่านภายในเขตแดนนี้”
มันคือเสียงของมารยาซึ่งดังขึ้นมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวที่ขาดการติดต่อกับนางไปนานแล้วนั่นเอง ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็สื่อสารกันได้อีกครั้ง
“ข้ามีความคิดบางอย่าง”
ฉินอวี้โม่เผยรอยยิ้มให้กับทุกคนและแสดงใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ นางมีทางออกที่เหมาะสมกับสถานการณ์นี้อยู่ในใจแล้ว
“จะทำอย่างไรหรือ ?”
ทุกคนมองฉินอวี้โม่เป็นตาเดียวและต้องการทราบว่านางมีวิธีการใดอยู่
“ข้ายังบอกวิธีการกับทุกคนไม่ได้ในตอนนี้ ทว่าทุกคนจงรออยู่ที่นี่และอย่าออกไปที่ใด ส่วนที่เหลือ…ข้าจะจัดการเอง”
ฉินอวี้โม่กังวลว่านักล่าวิญญาณจะได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกตนจึงไม่กล้ากล่าวสิ่งใดมากนักและเพียงยืนยันให้ทุกคนคลายกังวล
“ฉินอวี้โม่ เจ้าไม่ได้คิดที่จะต่อสู้กับเรื่องนี้เพียงคนเดียวใช่รึไม่ ?”
เถียนซินและสวีเยว่เดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่และกล่าวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าเองก็รู้ว่านักล่าวิญญาณน่ากลัวเพียงใด ต่อให้เจ้าเอาชีวิตเข้าเสี่ยงก็อาจช่วยเราออกไปไม่ได้ อีกอย่าง…อย่าประเมินพวกเราต่ำจนเกินไป เรามิใช่คนรักตัวกลัวตายหรือคนขี้ขลาด หากเกิดเรื่องร้ายใดขึ้นมา เราก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันด้วยกัน !”
ทั้งสองคิดว่าฉินอวี้โม่เพียงโกหกเพื่อให้ทุกคนสบายใจในขณะที่วางแผนจะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงและต่อสู้กับนักล่าวิญญาณเพียงลำพังเพื่อถ่วงเวลาให้กับพวกนาง
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ? พวกเราไม่ได้สนิทสนมกันถึงเพียงนั้น ข้าจะยอมตายเพื่อพวกท่านได้อย่างไรเล่า ?”
ฉินอวี้โม่กลอกตาไปมาและปฏิเสธโดยตรง
“ข้ามีทางออกสำหรับเรื่องนี้จริง ๆ เพียงแต่กังวลว่าจะมีใครมาได้ยินเข้า ข้าจึงอธิบายกับพวกท่านไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องห่วงหรอก สถานการณ์ในตอนนี้มิใช่สิ่งที่ยากเกินจะรับมือได้”
ในเมื่อมีคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่ด้วย ต่อให้จัดการกับนักล่าวิญญาณไม่สำเร็จ นางก็สามารถส่งทุกคนเข้าไปซ่อนตัวได้และจะไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงที่ผ่านมานี้ คฤหาสน์เฟิงหัวของนางก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ตอนนี้ฉินอวี้โม่จึงมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
“ถ้าเช่นนั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ เราจะรอฟังข่าวดีจากเจ้า !”
อย่างไรก็ตาม เสิ่นเสี่ยวไห่ สามพี่น้องตระกูลเมิ่ง เถาเซี่ยวเซี่ยวและเหลิ่งซวงเสวี่ยไม่ได้นึกสงสัยในวาจาของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย พวกเขาเพียงกล่าวกำชับนางด้วยความเป็นห่วงและบอกให้นางระวังตัว
“ข้าทราบดี”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะให้กับทุกคน จากนั้นร่างของนางก็หายไปในความมืดอีกครา
นางมิได้ไปที่ไหนไกล หากแต่เป็นเรือนอีกหลังที่จากมาก่อนหน้านี้นั่นเอง
นางก็มีความคิดบางอย่างอยู่ในใจ หากเมินเฉยต่อนักล่าวิญญาณไป ต่อให้เรือนหลังที่เถาเซี่ยวเซี่ยวและทุกคนซ่อนตัวอยู่ยังถือเป็นที่ที่ปลอดภัย ทว่าสุดท้ายนักล่าวิญญาณก็คงจะหาทางเล่นงานพวกนางได้อย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น นางจึงต้องกำจัดศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวให้ได้เสียก่อนและทำให้สถานการณ์ของหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆากลับกลายเป็นปกติ
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ต้องการทราบว่านักล่าวิญญาณมาที่โลกแห่งเทพเพราะเหตุใด หากจับตัวมาได้ นางก็จะได้คำตอบที่ต้องการ
“นายหญิง เรามาร่วมมือกันวางข่ายอาคมดีกว่า ท่านจะได้มีเวลามากขึ้น”
มารยาเสนอความคิดเห็นออกไป ถึงอย่างไรนักล่าวิญญาณก็ไม่มีทางเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวได้โดยง่าย ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกนางจะต้องเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ !
“ตกลง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะทันที จากนั้นหนึ่งมนุษย์หนึ่งอสูรก็รวมพลังกันวางข่ายอาคมชุดใหญ่ไว้รอบตัวอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ เจ้ากลับเข้าไปก่อนเถอะ”
หลังจากส่งมารยาเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่ก็นั่งลงและเฝ้ารอการมาถึงของนักล่าวิญญาณอย่างเงียบ ๆ
แผนการของนางก็เรียบง่ายและไม่ซับซ้อนแต่อย่างใด นั่นคือนางจะเข้าสู่สภาวะการทำสมาธิชั่วคราวเพื่อตบตานักล่าวิญญาณ และเมื่ออีกฝ่ายปรากฏตัว นางก็จะใช้โอกาสนั้นดึงอีกฝ่ายเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวอย่างฉับพลัน